Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2971 ศิษย์อาจารย์เจอกัน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2971 ศิษย์อาจารย์เจอกัน
เมืองจรดฟ้าเด่นตระหง่านและยิ่งใหญ่สง่างาม ส่องประกายเยียบเย็นเหมือนหล่อจากทองเทพ ท่ามกลางความรางเลือนยังมีแสงสีแดงเข้มชั้นหนึ่งปรากฏเหมือนแต้มแสงโลหิต
เล่าลือว่านี่คือเลือดจักรพรรดิที่ผู้แข็งแกร่งทุกยุคสมัยซึ่งสิ้นชีพไปหลั่งไว้ยามกรำศึกนับแต่โบราณ ถึงขั้นมีเลือดของระดับอมตะด้วย
แน่นอนว่าแห้งเกรอะกรังนานแล้ว แก่นพลังสลายสิ้น ไม่อย่างนั้นเมืองแห่งนี้คงมีไอสังหารแผ่ซ่าน ไม่อาจเข้าใกล้ได้แน่นอน
หอประตูเมืองมหึมาสูงถึงหลายพันจั้ง กว้างใหญ่ไพศาล แผ่ความกดดันทำให้ผู้คนหวั่นหวาด
ประตูทางเข้าซึ่งหลอมจากทรายเทพธารดารากับวัตถุอมตะ ทำให้ผู้คนรู้สึกสั่นสะท้าน
นี่ก็คือเมืองจรดฟ้า!
สถานที่ซึ่งผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนของโลกพันจักรวาลใฝ่ฝันอยากมาถึงนับแต่โบราณจวบจนบัดนี้ ขอแค่มาถึงที่นี่ก็มีโอกาสทะยานขึ้นไปสู่โลกยอดนิรันดร์!
สิ่งปลูกสร้างในเมืองจรดฟ้าล้วนเก่าแก่หาใดเปรียบ บรรยากาศครัดเคร่ง ท้องถนนตัดสลับกัน คึกคักรุ่งเรือง ทุกหนแห่งคือภาพจอแจอย่างผู้คนสัญจรคลาคล่ำ ม้าเกวียนสวนกันขวักไขว่
พวกหลินสวินล้วนเก็บกลิ่นอายทั้งตัวก้าวเดินอยู่ภายในนั้น
ระหว่างเดินเล่นในสมองหลินสวินปรากฏภาพมากมาย
ปีนั้นเขาเคยเจออาจารย์อาคงเจวี๋ยที่สูญสิ้นปัญญาราวกับเสียสติในเมืองนี้
เคยเข้าร่วมภารกิจใน ‘โบราณสถานทวยเทพ’ ที่อยู่ห่างจากเมืองนี้ไป ผูกพยาบาทกับผู้แข็งแกร่งของสี่ตระกูลตงหวง
เคยข้ามด่านเคราะห์ชั้นเลิศใต้ต้นหงเหมิงหมื่นมรรค แจ้งมรรคระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ สังหารคนจากน่านฟ้าที่แปดอย่างพวกฉีหลิงอวิ๋น จงหลีเซียว ชือพั่วจวินในคราเดียว
นอกโบราณสถานทวยเทพนี้เองที่เขาเจอเคราะห์สังหาร ด้วยมีศิษย์พี่สี่หลิงเสวียนจื่อกับอาจารย์อาคงเจวี๋ยคุ้มครองจึงโชคดีพ้นเคราะห์มาได้…
เวลานี้เรื่องในอดีตมากมายเหมือนแจ่มชัดขึ้นมา ทำให้ในใจหลินสวินทอดถอนใจไม่หยุด
เขามาถึงตรงจุดที่ ‘ศิลาศึกข้ามแดน’ ตั้งอยู่โดยไม่รู้ตัว
ศิลาศึกข้ามแดนสัมผัสพลังต่อสู้และผลงานการต่อสู้ในแดนใหญ่พันศึกของระดับจักรพรรดิได้ ปีนั้นหลินสวินก็เคยก้าวสู่อันดับหนึ่งของกระดานเร้นลับในคราเดียว ไม่มีใครเหนือกว่า!
หน้าศิลาศึกข้ามแดนมีเงาร่างมากมายรวมตัวกัน
แต่ละคนกลิ่นอายแข็งแกร่ง เผยอานุภาพผิดธรรมดา บ้างสง่างามไร้เทียมทาน บ้างอหังการทะยานฟ้า บ้างเหมือนเซียนเยือนโลกโลกีย์ บ้างราวกับนายเหนือหัวสัญจรกลางโลก…
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ขอเพียงเป็นผู้เข้าสู่แดนใหญ่พันศึกย่อมมีพลังปราณระดับจักรพรรดิขึ้นไปทั้งสิ้น
ส่วนผู้เดินทางและท่องผจญจากด่านนภาอมตะที่หนึ่งมาถึงด่านนภาอมตะที่สี่สิบเก้าได้ในที่สุด ก็เป็นบุคคลแห่งยุคชั้นยอดในระดับจักรพรรดิ เป็นผู้ร้ายกาจยากจะหาในหมื่นคน!
บริเวณใกล้เคียงศิลาศึกข้ามแดนนี้ล้วนเป็นบุคคลแห่งยุคเช่นนี้โดยไม่ต้องสงสัย
“ย้อนนึกถึงปีนั้น ผู้อาวุโสหลินสวินก็เคยทดสอบอันดับที่นี่ ตอนนั้นเขายังไม่แจ้งมรรคระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่ตอนนี้ได้ยินว่าเขาเป็นยักษ์ใหญ่ระดับอมตะซึ่งเจิดจรัสที่สุดของโลกยอดนิรันดร์แล้ว!”
มีคนทอดถอนใจ
หลินสวิน!
ผู้โดดเด่นในระดับจักรพรรดิที่อยู่ใกล้ต่างนัยน์ตาหดรัดอย่างอดไม่ได้ สีหน้าแตกต่างกันออกไป
“ใต้หล้ามักปรากฏอัจฉริยะ ยุคสมัยของหลินสวินต้องผันผ่าน ภายหน้าใต้หล้าย่อมถูกลิขิตให้เป็นยุคของพวกเราแน่!”
มีคนดวงตาวาวโรจน์ เปี่ยมความทะเยอทะยาน
“ไม่ผิด พวกเราผ่านการทดสอบเป็นตายและการเข่นฆ่าสังหารนับไม่ถ้วนจนมาถึงเมืองจรดฟ้านี้ วันหน้าต้องฉายแววเจิดจรัสอัศจรรย์ สร้างตำนานของพวกเราในโลกยอดนิรันดร์ได้แน่!”
“ใช่ ลูกผู้ชายต้องอย่างนี้!”
เสียงมากมายดังขึ้นทันที ล้วนมั่นใจเต็มเปี่ยม เหิมหาญใจกล้า
พวกหลินสวิน เสวียนจิ่วอิ้นสบตากันวูบหนึ่ง ล้วนเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
ด้วยฐานะของพวกเขาในปัจจุบัน แน่นอนว่าไม่มีทางสนใจเรื่องพวกนี้ กลับเป็นว่ารู้สึกสนใจยิ่งนัก เพราะตอนนั้นพวกเขาก็เป็นเช่นนี้
คลื่นลูกใหม่แซงคลื่นลูกเก่า คนรุ่นใหม่เหนือกว่าคนรุ่นเก่า
แต่จากมุมมองของเสวียนจิ่วอิ้นกับจินเทียนเสวียนเยวี่ย คนรุ่นใหม่รุ่นแล้วรุ่นเล่าต่อจากนี้ คิดจะทำลายทุกสถิติที่หลินสวินสร้างไว้ตอนนั้น… คงแทบไม่มีหวังเท่าไร
“คุยโวโอ้อวดไม่กระดาก”
ทันใดนั้นเสียงเย็นชาหนึ่งดังขึ้น ทำให้ระดับจักรพรรดิซึ่งฮึกเหิมในที่นั้นอดมุ่นคิ้วไม่ได้ หันมองไปพร้อมกัน
ก็เห็นชายหนุ่มชุดป่านพาดกระบี่คนหนึ่งเดินมา “ขอถามทุกท่านในที่นี้ จนปัจจุบันผู้แจ้งมรรคระดับมกุฎจักรพรรดิโดยใช้เวลาไม่เกินห้าร้อยปีมีกี่คน”
ทุกคนมองหน้ากันไปมา ไม่เข้าใจว่านี่หมายความว่าอะไรอยู่บ้าง
“เช่นนั้นข้าขอถามอีกประโยค จนปัจจุบันผู้แจ้งมรรคระดับมกุฎจักรพรรดิ โดยใช้เวลาไม่เกินสองร้อยปีเล่ามีกี่คน”
ชายหนุ่มชุดป่านพาดกระบี่กวาดมองทุกคนในที่นั้น
บรรยากาศเงียบสงัดยิ่งกว่าเดิมในชั่วขณะเดียว ทุกคนตระหนักได้รางๆ แล้วว่าชายหนุ่มชุดป่านพาดกระบี่จะพูดอะไร
“ทำไมไม่มีใครพูดเล่า”
ชายหนุ่มชุดป่านพาดกระบี่กล่าว “ช่างเถิด ข้าบอกพวกเจ้าก็ได้ ตอนนั้นยามผู้อาวุโสหลินสวินแจ้งมรรคระดับมกุฎจักรพรรดิ เขาใช้เวลาฝึกปราณไม่เกินร้อยปี ฝึกปราณมาถึงตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่ถึงสี่ร้อยปี หากกล่าวถึงอายุ ตอนนี้เขาถึงขั้นอายุมากสู้คนส่วนใหญ่ในหมู่พวกเจ้าไม่ได้ แต่ปัจจุบันเขาเป็นยักษ์ใหญ่อมตะที่ชื่อเสียงสะเทือนโลกยอดนิรันดร์แล้ว!”
“รู้ไหมว่ายักษ์ใหญ่อมตะคืออะไร บุคคลที่มีพลังปราณทะลวงขั้นหลุดพ้น!”
“รู้ไหมว่าชื่อเสียงสะเทือนใต้หล้าคืออะไร ทั้งเก้าน่านฟ้าใหญ่ล้วนรู้จักชื่อของเขา!”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ในลานเงียบสนิทไร้สุ้มเสียง
ทุกคนอึ้งงันใจกระเพื่อมไหว ไม่ถึงร้อยปีก็แจ้งมรรคระดับมกุฎจักรพรรดิ?
ไม่ถึงสี่ร้อยปีก็แจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นแล้ว?
ชื่อเสียงสะเทือนเก้าน่านฟ้าใหญ่?
ทุกประโยคราวกับภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง กดทับใจเหล่าบุคคลแห่งยุคในที่นั้นเต็มแรง ทำเอาพวกเขาบางคนหน้าเจื่อน บ้างตกตะลึงเหม่อลอย
ทั้งมีคนเผยสีหน้าไม่พอใจ กล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าเป็นใคร ทำไมถึงรู้ตื้นลึกหนาบางของหลินสวิน อาศัยคำพูดนี้ของเจ้า ใครจะรู้ว่าจริงหรือเท็จ”
ชายหนุ่มชุดป่านพาดกระบี่กล่าว “เชื่อหรือไม่เชื่อล้วนขึ้นอยู่กับพวกเจ้า”
พูดจบเขาก็หันหลังจากไป
“ดูเหมือนว่าเจ้าหมอนี่จะรู้จักเจ้าดีทีเดียว”
เสวียนจิ่วอิ้นที่เห็นทุกอย่างนี้ในสายตาอดแปลกใจไม่ได้
“ศิษย์ของข้า ถ้าไม่รู้จักอาจารย์อย่างข้าจะไม่ได้ความแย่หรือ”
หลินสวินพูดพลางไล่ตามไป
ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนเก็บกลิ่นอาย คนในที่นั้นไม่มีใครสังเกตเห็น แต่ตอนนี้เมื่อหลินสวินตามไป ชายหนุ่มชุดป่านพาดกระบี่รู้ตัวทันที กล่าวโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง “ทำไม ไม่พอใจเลยคิดลงมือหรือ เมืองจรดฟ้านี้มีพลังระเบียบปกคลุม พวกเรามิสู้ไปนอกเมืองเพื่อประลองกันหน่อยเป็นอย่างไร”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่กลับเปี่ยมความหยิ่งผยองมั่นใจ
เสียงหัวเราะหนึ่งดังขึ้น “เอ๋ ไม่เจอกันหลายปีเจ้ากล้าท้าทายข้าแล้ว”
ชายหนุ่มชุดป่านพาดกระบี่ร่างสะท้านหันหลังขวับ เมื่อเห็นรูปลักษณ์ของผู้เอ่ยปากอย่างชัดเจน บนสีหน้าราบเรียบนิ่งสงบก่อนหน้านี้ฉายแววอึ้งงันโดยไม่อาจระงับ ดวงตาเบิกกว้างเล็กน้อย
ครู่ใหญ่เขาจึงเหมือนได้สติกลับมา กล่าวเสียงหลง “อาจารย์ ทำไมท่านถึงอยู่ที่นี่”
หลินสวินยิ้มละไมกล่าว “พูดแล้วก็บังเอิญ เมื่อครู่ข้าเพิ่งมาถึงเมืองนี้ แต่กลับไม่คิดว่าจะเจอเจ้าหนูอย่างเจ้า”
ชายหนุ่มชุดป่านพาดกระบี่ตรงหน้านี้ก็คือซูไป๋!
ไม่เจอกันหลายปี ซูไป๋ก้าวสู่ระดับมกุฎจักรพรรดิแล้ว ทั้งมีพลังปราณด่านแปด อยู่ห่างจากระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิไม่ไกล
นี่ทำให้หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้
ปีนั้นเขาเคยกลับไปดินแดนรกร้างโบราณ ช่วยซูไป๋ซึ่งกรำศึกอาบเลือดในกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิกลับมาด้วยตัวเอง ตอนนั้นซูไป๋มีมรรควิถีแค่ระดับกึ่งจักรพรรดิ
ปัจจุบันเพิ่งผ่านไปร้อยกว่าปีเท่านั้น ซูไป๋กลับกลายเป็นระดับมกุฎจักรพรรดิด่านแปดแล้ว พัฒนาการนี้มากจริงๆ
แน่นอนว่าหากเทียบกับถังเจียงที่ฝึกปราณในลัทธิแรกกำเนิดตลอดแล้วก็ด้อยกว่าอยู่บ้าง
ถึงอย่างไรคนหนึ่งก็ถูก ‘เลี้ยงแบบปล่อย’ ในทางเดินโบราณฟ้าดารา ส่วนอีกคนได้รับการอบรมบ่มเพาะอย่างใส่ใจจากเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าในลัทธิแรกกำเนิดตั้งแต่เด็ก
แต่บุคลิกและสภาวะจิตที่ผ่านการเคี่ยวกรำเข่นฆ่านองเลือดนับไม่ถ้วนบนตัวซูไป๋ กลับเป็นสิ่งที่ถังเจียงไม่อาจเทียบอยู่โข
เวลานี้ซย่าจื้อ เสวียนจิ่วอิ้น จินเทียนเสวียนเยวี่ยล้วนเดินมาแล้ว
“นี่ก็คือศิษย์ชื่อซูไป๋ที่เจ้ากล่าวถึงหรือ” เสวียนจิ่วอิ้นมองซูไป๋ตั้งแต่หัวจรดเท้า อดจุ๊ปากอย่างประหลาดใจไม่ได้
“ไม่ผิด”
หลินสวินพูดพลางแนะนำซูไป๋กับทุกคน
จนถึงตอนนี้ซูไป๋ยังรู้สึกเหมือนกำลังฝัน
หลายปีนี้เขาก้าวผ่านฟ้าดารา บุกสังหารจากด่านนภาอมตะที่หนึ่งมาจนถึงเมืองจรดฟ้านี้ ระหว่างทางไม่ว่าเดินไปที่ไหนล้วนได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงอาจารย์
ในใจมุ่งหวังอยู่บ่อยครั้งว่าภาพเหตุการณ์ยามพบอาจารย์ที่โลกยอดนิรันดร์นั้นจะเป็นอย่างไร
แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเจออาจารย์ในเมืองจรดฟ้านี้!
เหนือความคาดหมายเกินไป ทั้งน่ายินดีอย่างมาก!
“ไปเถอะ หาสถานที่คุยกันดีๆ”
ในใจหลินสวินมีเรื่องมากมายอยากถามซูไป๋เช่นกัน
“อาจารย์โปรดรอสักครู่”
สีหน้าซูไป๋ดูอึดอัดอยู่บ้างเล็กน้อย “ยังต้องรออีกคน”
“ใครหรือ”
หลินสวินเลิกคิ้ว
ตอนนี้เองเสียงไพเราะหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล “ท่านพี่ ที่แท้ท่านก็อยู่ที่นี่”
พร้อมกับเสียงนั้น หญิงสาวชุดฟ้าร่างสูงโปร่ง ผิวขาวกระจ่าง ท่าทางงดงามคนหนึ่งก้าวเดินมา
หลินสวินจำได้ทันที ผู้หญิงคนนี้คือกู้ซี!
ปีนั้นยามอยู่ดินแดนรกร้างโบราณ กู้ซีเดินทางอย่างยากลำบากจนมาถึงตระกูลหลินเพื่อขอความช่วยเหลือจากหลินสวินภายใต้อาการบาดเจ็บสาหัส จึงทำให้หลินสวินไปถึงกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิทันเวลา ช่วยซูไป๋ซึ่งตกอยู่ในสภาพโดดเดี่ยวไร้ที่พึ่งกลับมาได้
“ที่แท้พวกเจ้าก็เป็นคู่บำเพ็ญกันแล้ว” หลินสวินยิ้มพลางเอ่ยปาก
ยามนี้กู้ซีเห็นหน้าตาของหลินสวินชัดเจนเช่นกัน นางอดกล่าวอย่างตกใจไม่ได้ “ผู้อาวุโส ทำไม… ทำไมถึงเป็นท่านเล่า”
ซูไป๋รีบอธิบายเป็นพัลวัน แต่ดูเหมือนกู้ซียังประหลาดใจยิ่ง เห็นชัดว่าการเจอหลินสวินที่นี่เป็นเรื่องคาดไม่ถึงสำหรับนาง
“ไปเถอะ ข้าจำได้ว่าในเมืองจรดฟ้านี้มีหออุดมทรัพย์อยู่ ‘จอกล่องธารไหล’ เหล้ากลั่นที่หอนั้นจำหน่ายเรียกได้ว่าเป็นเลิศ ข้าจะพาพวกเจ้าไปลองชิม”
หลินสวินยิ้มกล่าว ปีนั้นอาจารย์อาคงเจวี๋ยที่จิตใจไม่สมประกอบก็ปรากฏตัวนอกหออุดมทรัพย์ โวยวายว่าอยากดื่มจอกล่องธารไหล
หออุดมทรัพย์ ในห้องหรูหราแห่งหนึ่ง
จอกล่องธารไหลไหแล้วไหเล่าถูกยกมา ยังมีอาหารเลิศรสหลายหลากอีก
พวกหลินสวินต่างนั่งอยู่ในนั้น ร่ำสุราเจรจาพาที เบิกบานปรองดอง
แต่เพียงครู่หนึ่งห้องที่ปิดสนิทมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
ปึงๆๆ!
เสียงเคาะประตูดุดันหนักหน่วงนัก เสียงเยียบเย็นหนึ่งดังมาจากด้านนอก “ซูไป๋ ข้ารู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ ถ้ากล้าเจ้าก็ออกมาเจอข้า!”
พวกหลินสวินสบตากันวูบหนึ่ง ล้วนหันสายตาไปทางซูไป๋
ซูไป๋ขมวดคิ้ว “อาจารย์ พวกท่านโปรดรอที่นี่สักครู่ เดี๋ยวข้ามา”
เขาพูดพลางหยัดร่างขึ้น
กู้ซีลุกขึ้นตาม “ข้าไปกับเจ้า”
“เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น อาซี เจ้าอยู่คุยกับอาจารย์ ข้าจัดการเอง”
ซูไป๋ว่าพลางผลักประตูออกไป