Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3006 วันที่จารึกลงประวัติศาสตร์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3006 วันที่จารึกลงประวัติศาสตร์
ตูม!
พริบตานี้โคมบัวสุญญากาศเหมือนดอกบัวหนึ่งจริงๆ ผลิบานกลางอากาศ เพลิงธรรมชวนประหวั่นมากมายลุกโชนเหมือนกลีบดอกหลายชั้นเบ่งบาน
ไพศาลศักดิ์สิทธิ์ เจิดจรัสไร้ขอบเขต สาดส่องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
นัยน์ตาของหลินสวินหดรัด การโจมตีนี้ไม่เพียงแต่ผลาญมรรควิถีของเจียหนานจนหมดเกลี้ยงเท่านั้น ยังหลอมพลังต้นกำเนิดของยอดสมบัติอย่างโคมบัวสุญญากาศถึงขีดสุดด้วย!
ความรู้สึกอันตรายเสียดกระดูกแผ่ไปทั่วร่าง สัญชาตญาณการต่อสู้ที่เคี่ยวกรำจากการเข่นฆ่าทำให้หลินสวินสะบัดแขนเสื้อโดยไม่ลังเล
อภินิหารประตูเนรเทศทะยานออกมากลางอากาศ!
พริบตานั้นโคมบัวสุญญากาศซึ่งเบ่งบานลุกโชนเหมือนดอกบัว กลับถูกประตูเนรเทศกลืนกินจนหายลับไปภายใต้แรงสั่นสะเทือนรุนแรง
เมื่อเห็นภาพนี้เจียหนานดูอึ้งงันอย่างเห็นได้ชัด
จากนั้นเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่
เฮ้อ…
ท่ามกลางเสียงถอนใจเจือความหดหู่และผิดหวังนั่น เงาร่างผอมแห้งของเขากลายเป็นละอองแสงโปรยปรายหายไปทีละน้อย จิตสิ้นวิญญาณสลาย
เจียหนาน พุทธปัจจุบันแห่งลัทธิฌานผู้แจ้งมรรคนิรันดร์มาไม่รู้กี่หมื่นปีคนหนึ่ง
ในใต้หล้ายุคปัจจุบันย่อมเรียกได้ว่าเป็นผู้เก่งกาจที่ยืนอยู่เหนือโลก เหยียดมองห้วงฟ้า
โคมบัวสุญญากาศ ยอดสมบัติพิทักษ์สำนักของลัทธิฌาน ศาสตรามรรคนิรันดร์ชิ้นหนึ่งที่หลอมโลกใหญ่แห่งหนึ่งเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา
แต่ตอนนี้ภายใต้สถานการณ์ที่เจียหนานหลอมมรรควิถีของตนโดยไม่สนใจ ทั้งทำลายยอดสมบัติอย่างโคมบัวสุญญากาศโดยไม่เสียดาย ล้วนยังไม่อาจสั่นคลอนหลินสวินได้ สุดท้ายก็สิ้นชีพ!
เมื่อเห็นภาพนี้ในใจจี้ตงหยารู้สึกขมขื่นยิ่ง อกสั่นขวัญหาย ไม่ดิ้นรนอีก เลิกต่อต้านอย่างสมบูรณ์
แต่เมื่อเขารอรับความตายกลับได้ยินหลินสวินพูดว่า “จี้ซีกับจี้ซานไห่สบายดีหรือไม่”
จี้ตงหยาตัวสั่น เผยสีหน้ายากจะเชื่อ “สาเหตุที่เจ้าชักช้าไม่ลงมือรุนแรง ด้วยอยากถามสถานการณ์ของพวกนางสองคนพี่น้องหรือ”
หลินสวินเก็บห้ากายมรรคไปแล้วกล่าวง่ายๆ “ไม่ผิด”
“พวกนาง…”
สีหน้าจี้ตงหยาพลันวูบไหวไม่หยุด ครู่ใหญ่จึงกล่าวเย็นชา “พวกนางทำให้ตระกูลจี้ของข้าอับอาย คนหนึ่งถูกกักบริเวณตั้งแต่หลายปีก่อน อีกคนถูกกักขังหลังกลับมาจากแดนมารสิบทิศ ถูกมองเป็นคนบาปของตระกูล เจ้าคิดว่า… พวกนางยังมีจุดจบที่ดีไหม”
กลับเห็นหลินสวินถอนใจยาวพลางกล่าว “ขอแค่คนยังมีชีวิตอยู่ก็พอแล้ว”
จี้ตงหยาหน้าเปลี่ยนสี คล้ายตระหนักบางอย่างได้ กล่าวอย่างขุ่นเคือง “เจ้า… เจ้าคิดจะทำอะไร”
“แน่นอนว่าทวงความเป็นธรรม ล้างมลทินให้พวกนาง ที่ควรแก้แค้นก็แก้แค้น ความเป็นธรรมที่ควรทวงคืนก็ไม่อาจปล่อยไป”
หลินสวินเอ่ยเสียงเบา
ตอนเด็กซีเคยช่วยเขาหลายครั้ง ทั้งเคยช่วยชีวิตเขาด้วย หญิงสาวผู้เจิดจรัสไร้ใครเทียมเช่นนั้น กลับถูกคนตระกูลตนมองเป็นความอัปยศและกักขัง นี่จะไม่ให้หลินสวินโกรธได้อย่างไร
และเขาไม่มีทางลืมว่าปีนั้นยามอยู่แดนมารสิบทิศ จี้ซานไห่ช่วยเหลือเขาอย่างไร
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินสวิน สีหน้าจี้ตงหยาเปลี่ยนเป็นคล้ำเขียวขึ้นมา เขารู้ว่าท่าไม่ดีโดยสิ้นเชิง
ด้วยพลังต่อสู้ของหลินสวินตอนนี้ กวาดสายตามองทั่วน่านฟ้าที่เก้าใครจะขวางหนทางของเขาได้
อย่าว่าแต่ตระกูลจี้ ต่อให้ขุมอำนาจเผ่าเทพนิรันดร์พวกนั้นร่วมมือกันก็คงไม่ไหว!
ด้วยเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถไปแก่งแย่งในแหล่งสถานคุนหลุนล้วนไปจากเผ่าเทพนิรันดร์ของตนนานแล้ว เหล่าระดับนิรันดร์ที่เหลืออยู่ตอนนี้ล้วนเป็นพวกที่มีพลังปราณพอกับเขาทั้งสิ้น!
หากเป็นเมื่อก่อนขอแค่มีระดับนิรันดร์ดูแล เผ่าเทพนิรันดร์พวกนั้นย่อมไม่ห่วงว่าจะถูกศัตรูบุกโจมตีแน่ เพราะนั่นไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตาย
แต่ตอนนี้กลับมีหลินสวินโผล่มา!
จี้ตงหยานึกถึงตรงนี้แล้วจิตใจว้าวุ่น
“เจ้าวางใจเถอะ ก่อนไปถึงตระกูลจี้ของพวกเจ้า ข้าไม่ฆ่าเจ้าแน่”
หลินสวินพูดพลางลงมือทันที กำราบจี้ตงหยาเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
ตอนนี้ระดับนิรันดร์เก้าคนที่มาครานี้ นอกจากจี้ตงหยาแล้ว คนอื่นล้วนถูกฆ่าตายคาที่่!
ฟ้าดินเงียบสงัด ระเบียบระดับเทพสองสายปกคลุมบนเวิ้งฟ้า หลินสวินกวาดสายตามองโดยรอบ นึกถึงทุกเหตุการณ์ก่อนหน้านี้แล้วผ่อนคลายลงอย่างอดไม่ได้
วันนี้เขาแจ้งมรรคนิรันดร์ที่นี่ ทลายมหาเคราะห์ที่ไม่เคยมีมาก่อน ก้าวสู่มรรคานิรันดร์อย่างแท้จริง!
ทั้งวันนี้เขายังสังหารเหล่าระดับนิรันดร์จนเลือดอาบท้องนภาด้วย!
ทางเข้าแดนแรกเริ่ม เมื่อแสงเทพวูบไหว พวกเสวียนเฟยหลิง ฟางเต้าผิง ตู๋กูยงต่างทยอยก้าวออกมา แต่ละคนมองหลินสวินอย่างตื่นเต้น สีหน้ายังเหลือความตกตะลึงและมึนงง
คำพูดนับหมื่นพันอยู่ในปาก แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เพราะประหลาดใจ ผิดคาด ทั้งตกตะลึงเกินไป!
แม้แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึง ว่าหลินสวินที่เพิ่งข้ามด่านเคราะห์และก้าวเข้าสู่มรรคานิรันดร์ได้สำเร็จ ถึงกับกอบกู้สถานการณ์อันตรายบนทะเลหมื่นดารานี้ สังหารศัตรูแข็งแกร่งระดับนิรันดร์มากมายที่นี่!
“ทุกท่าน ไม่เป็นไรแล้ว”
หลินสวินยิ้มพลางเดินไปหาพวกเสวียนเฟยหลิง “ไป พวกเรากลับไปดื่มเหล้ากัน”
คราวนี้เสวียนเฟยหลิงจึงกล่าวเหมือนเพิ่งตื่นจากฝัน “ใช่! ต้องฉลองให้เต็มที่! ฮ่าๆๆๆ…”
เขากล่าวถึงตอนท้ายแล้วแหงนมองฟ้าหัวเราะร่าอย่างอดไม่ได้
สัตว์ประหลาดเฒ่าคนอื่นอดหัวเราะไม่ได้ เสียงหัวเราะนั้นเจือความตื่นเต้น ภาคภูมิ และผ่อนคลาย
…
ลัทธิฌาน
ในถ้ำสถิตที่มีดอกบัวมากมายเบ่งบานนั้น
ปัง!
ดอกบัวหนึ่งในนั้นแตกละเอียดเงียบๆ กลีบดอกโรยราแห้งเหี่ยว สลายหายไปจนเกลี้ยง
ฟ่านอั้นซึ่งหนวดเคราขาวโพลน ร่างผอมบางสั่นไปทั้งตัว จ้องมองดอกบัวที่หายไปนั้นอยู่เนิ่นนาน สีหน้าเต็มไปด้วยแววอึมครึม
เขาหยิบรูปปั้นหินที่สลักคำว่าไม่ชูออกมาจากอกช้าๆ กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “ทำไมครั้งนี้… ถึงมีคนตายอีก”
รูปปั้นไท่ชูเงียบไปเนิ่นนาน ไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย
พริบตานั้นฟ่านอั้นรู้สึกอยากทำลายรูปปั้นไท่ชูนี้ทิ้งนัก
แต่สุดท้ายเขาก็ข่มกลั้นไว้
เกิดอะไรขึ้นในลัทธิแรกกำเนิดกันแน่
เจียหนานสิ้นชีพได้อย่างไร
ฟ่านอั้นไม่สนใจแล้ว เขารู้แค่จากนี้ไปสิ่งเดียวที่ลัทธิฌานต้องทำมีเพียงเรื่องเดียว…
ป้องกันตัวเอง!
เพราะทั้งลัทธิฌานเหลือระดับนิรันดร์อย่างเขาแค่คนเดียวแล้ว…
…
ลัทธิพ่อมด
“ผู้อาวุโสตายได้อย่างไร นี่เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้!!”
“ลัทธิแรกกำเนิดนั่นไม่มีระดับนิรันดร์คนใดดูแล ภารกิจครั้งนี้ของราชครูฟ้าล้มเหลวได้อย่างไร”
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?”
เสียงคำรามโศกเศร้าระลอกหนึ่งดังก้อง
ยามโจมตีลัทธิแรกกำเนิดครั้งก่อน ราชครูดินถูมู่หุนนำเหล่าบุคคลสำคัญขั้นหลุดพ้นขั้นปลายกับขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์มุ่งหน้าไปด้วยกัน ทั้งนำรูปจำลองเจตจำนงของบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดกับร่างต้นระดับนิรันดร์สองคนไปด้วย
แต่สุดท้ายกลับพินาศทั้งกองทัพ ไม่รอดกลับมาสักคน
ครั้งนี้แม้แต่ถานอู่ก็สิ้นชีพ สำหรับลัทธิพ่อมด ทุกอย่างนี้ย่อมเป็นการโจมตีอย่างหนักหน่วงถึงขั้นไม่มีอะไรหนักยิ่งกว่า
วันนี้ลัทธิพ่อมดปิดประตูทางเข้าภูเขา ตัดการติดต่อทุกอย่างกับโลกภายนอก
ลัทธิพ่อมดเลือกป้องกันตัวเองเหมือนลัทธิฌานแล้ว
…
น่านฟ้าที่เก้า
วันนี้เผ่าเทพนิรันดร์เจ็ดตระกูลอย่างตระกูลเหวิน ตระกูลเย่ ตระกูลหยาง ตระกูลอู่ ตระกูลจี้ ตระกูลสิงเทียน ตระกูลจื่อเชอตกสู่ความสั่นสะเทือนเช่นกัน ล้วนรู้ข่าวร้ายที่เกิดขึ้นบนทะเลหมื่นดาราขในลัทธิแรกกำเนิดแล้ว
เสียงตื่นตระหนกมากมายดังขึ้นในเผ่าเทพนิรันดร์แต่ละตระกูล ไม่ว่าใครล้วนไม่อาจนิ่งเฉย
เมื่อข่าวแพร่สะพัด เผ่าเทพนิรันดร์กับเผ่าเทพอมตะอื่นในน่านฟ้าที่เก้าต่างเกิดความโกลาหลขึ้น
แต่สรรพสิ่งทั่วหล้ากลับไม่รู้ทุกอย่างนี้
เพราะศึกใหญ่ครานี้เกิดขึ้นบนทะเลหมื่นดารา มีระเบียบปฐมและระเบียบวัฏจักรฟ้าปกคลุม ไม่ได้ทำให้คลื่นการต่อสู้ครานี้กระจายออกมาแม้แต่น้อย
คนทั่วไปไม่รู้เรื่องที่หลินสวินแจ้งมรรคนิรันดร์ สังหารศัตรูตัวฉกาจในวันนี้โดยสิ้นเชิง
ถึงขั้นว่าแม้แต่ผู้คนทั้งลัทธิแรกกำเนิดที่ถูกย้ายไปอยู่ในแดนลับแรกฟ้า ตอนนี้ก็ยังถูกปิดหูปิดตา
กระทั่งถึงเวลาจัดงานเลี้ยงในวันนั้น ทุกคนทั้งลัทธิแรกกำเนิดถึงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้ ทั้งแดนแรกเริ่มต่างเดือดพล่านทันที
“หัวหน้าหอหลินถึงกับแจ้งมรรคนิรันดร์แล้ว! สวรรค์ เร็วเกินไปแล้วกระมัง”
ผู้คนนับไม่ถ้วนส่งเสียงตื่นเต้น ถูกทำให้ตกตะลึง
“ไม่ได้ยินหรือ หัวหน้าหอหลินเพิ่งทะลวงปราณก็สังหารผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์ที่มาจากขุมอำนาจศัตรูนั่นจนหมด!”
“นี่… นี่ช่างเหมือนฝันจริงๆ…”
“ยินดีด้วยหัวหน้าหอหลิน!”
“ยินดีด้วยหัวหน้าหอหลิน!”
ในงานเลี้ยงหลินสวินที่นั่งตรงกลางกลายเป็นผู้ที่ทุกคนจับจ้องทันที ก่อเกิดความปั่นป่วนไปทั่ว ทุกเสียงพูดคุยและยินดีดังขึ้นกลางฟ้าดินเหมือนหม้อระเบิด
“นายน้อยร้ายกาจเกินไปแล้ว”
หลินจงยิ้มไม่หุบ หรือพูดได้ว่าตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก
ลั่วชิงสวินกับหลินเหวินจิ้งสบตายิ้มมองกัน ในใจรู้สึกภาคภูมิและยินดียิ่ง
นี่คือบุตรชายของพวกเขา!
“เยี่ยม! เยี่ยม! เยี่ยมมาก!”
ลู่ป๋อหยาดื่มยอดเมรัยอย่างสะใจ รู้สึกว่าเรื่องน่ายินดีที่สุดในชีวิตคงไม่พ้นวันนี้ เรื่องน่าภูมิใจที่สุดในชีวิตก็คือตนเลี้ยงดูตำนานระดับนิรันดร์คนหนึ่งจนเติบใหญ่
จ้าวจิ่งเซวียนและซย่าจื้อนั่งอยู่ด้วยกัน ในใจจ้าวจิ่งเซวียนตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง ถึงขั้นว่ายามมองมาทางหลินสวิน ในดวงตาคู่งามจะฉายแววเหม่อลอยเป็นครั้งคราว
เด็กหนุ่มที่นางหลงรักเมื่อปีนั้น ตอนนี้แจ้งมรรคนิรันดร์แล้ว!
“ไม่นานข้าก็จะเปลี่ยนเป็นร้ายกาจเหมือนเขา”
สีหน้าซย่าจื้อนิ่งสงบ ใบหน้าผุดผ่องดั่งภาพวาดดูงดงามชวนใจสั่นภายใต้เงาตะเกียง
จ้าวจิ่งเซวียนกุมมือของซย่าจื้อเงียบๆ กลีบปากเขยิบเข้ามาใกล้ข้างหูซย่าจื้อ สื่อจิตกล่าวเสียงเบา ‘รอภายหน้าค่อยหาโอกาสจัดงานแต่งให้เจ้ากับเขา ให้เขารับเจ้าเข้ามาอย่างผ่าเผย’
ซย่าจื้อไม่ลำบากใจหรือขวยอายเหมือนหญิงสาวคนอื่น กลับเผยสีหน้าเฝ้ารอ นัยน์ตาทอประกายวาววับกล่าวว่า “ถึงตอนนั้น… ก็มีลูกได้แล้วใช่หรือไม่”
ที่แท้หลายปีนี้นางก็นึกถึงเรื่องนี้มาตลอด
จ้าวจิ่งเซวียนกลับขวยเขินอยู่บ้าง เรื่องลับส่วนตัวเช่นนี้หากพูดขึ้นมา… ย่อมรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง…
“อืม ได้สิ”
ผ่านไปครู่ใหญ่จ้าวจิ่งเซวียนจึงเอ่ยเสียงอืมเหมือนเสียงภมร
ซย่าจื้อกลับเผยรอยยิ้มสดใส กล่าวเสียงใสกระจ่างราวเสียงธรรมชาติ “เช่นนั้นข้าก็เฝ้ารอนัก”
จ้าวจิ่งเซวียนอดยิ้มไม่ได้ นางพอจะมองออกแล้ว ต่อให้มาถึงตอนนี้ซย่าจื้อก็ยังไม่รู้ว่าการมีบุตรต้องผ่านเรื่องละเอียดอ่อนน่าอายเช่นไร
ยามทั้งสองคนพูดคุยกัน บริเวณอื่นในงานเลี้ยงมีพวกเสวียนจิ่วอิ้น จินเทียนเสวียนเยวี่ย พวกเจ้าคางคก อาหลู่ อาหู พวกเสี่ยวอิ๋น เสี่ยวเทียน ตระกูลลั่วกับตระกูลหลินทั้งบนล่าง… ญาติมิตรทั้งหมดของหลินสวินต่างยิ้มหน้าบาน
ตื่นเต้น ดีใจ ภาคภูมิ ตกตะลึง
ค่ำคืนนี้เสียงหัวเราะร่าเริงปกคลุมบนท้องฟ้าเหนือแดนแรกเริ่ม ไม่ซ่านสลายเนิ่นนาน
วันนี้ย่อมถูกจารึกลงประวัติศาสตร์ของลัทธิแรกกำเนิด เล่าขานต่อไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า