Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 301
หวังหลินยิ้มขื่น ขณะที่เหล่าองครักษ์โดยรอบต่างก็มีสีหน้าชื่นชมนับถือ ดูสิ เด็กหนุ่มผู้นี้ดุดันเพียงใด พูดกันไม่เข้าใจก็ลงไม้ลงมือเสียแล้ว ใจนักเลงดีจริงๆ!
เวลานี้หลินสวินพลันเงยหน้าขึ้น แล้วมองไปยังตรงกลางกองทหารก่อนเอ่ย “พี่หวั่นซู ข้าลำบากช่วยท่านจัดการแก้ปัญหาแล้ว หากท่านยังไม่ยอมปรากฏตัวข้าจะเสียใจแล้วนะ”
ที่แท้ ก่อนหน้าที่จะจัดการลงหมัดกับลู่เส้าหยุน หลินสวินก็รับรู้ถึงความสนใจที่มุ่งมาทางนี้ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเป็นมู่หวั่นซูอย่างไม่ต้องสงสัย
ยิ่งไปกว่านั้น ที่ตรงนี้เสียงเอะอะครึกโครม ผู้เป็นนายใหญ่ของขบวนสินค้านี้อย่างมู่หวั่นซูหรือจะไม่รับรู้
เป็นไปดังคาด หลินสวินเพิ่งกล่าวจบ เขาพลันเห็นมู่หวั่นซูในชุดกระโปรงดำ พร้อมกับใบหน้าสวยสะพรั่งดั่งดอกกุหลาบผลิบานเดินนวยนาดออกมา
“หึ ช่วยข้าจัดการปัญหาอะไรกัน เจ้าไม่ใช่พวกคนมุทะลุบุ่มบ่ามเสียหน่อย ในเมื่อกล้าลงมือโดยไม่เกรงกลัวก็เจ้าต้องมีแผนการเป็นแน่!”
มู่หวั่นซูเดินเข้ามาถลึงตาเป็นประกายใส่เด็กหนุ่ม
หลินสวินยิ้มรื่นโดยพลัน “พี่หวั่นซูสายตาเฉียบคมรอบรู้ยิ่งนัก ความจริงถูกท่านเตือนมาอย่างนี้ ข้าก็นึกได้ว่ามีเรื่องอยากให้พี่หวั่นซูช่วยจริงๆ “
“เลิกแกล้งเหลวไหลได้แล้ว คนอย่างเจ้าจะต้องมีแผนการมาก่อนอยู่แล้ว ตามข้ามา” มู่หวั่นซูกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ ว่าแล้วนางก็เดินกลับเข้าไปยังรถม้า แต่ต้นจนจบก็ไม่ได้มองลู่เซ่าอวิ๋นที่สลบอยู่สักกะผีก
หลินสวินยิ้ม ประสานมือไว้ตรงหน้า พร้อมกับเอ่ยว่าไปโดยรอบ “ทุกท่าน รบกวนพวกท่านสักเรื่อง ห้ามแตะต้องเด็กคนนี้เด็ดขาด เดี๋ยวข้าจะพาเด็กผู้นี้ไปด้วยจะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้พวกท่านอีก”
“คุณชาย ท่านมีคุณธรรมยิ่งนัก! พวกเรานับท่านเป็นเพื่อนแล้ว!” ทุกคนต่างยิ้มในทันใด ตอบกลับกันระรัว
หลินสวินยิ้มพลางเดินไปหามู่หวั่นซู
หวังหลินงงงันก่อนจะรีบตามเข้าไป “หลินสวิน เจ้าจะพาลู่เซ่าอวิ๋นไปด้วยจริงๆ หรือ พ่อของเขาเป็นถึง…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง คนชั่วมีคนชั่วกว่าจัดการเสมอ เพื่อจัดการกับคนผู้นี้ ข้าทำจะทำตัวเป็นคนชั่วชั่วคราว” อีกฝ่ายยังพูดไม่จบ หลินสวินก็ขัดขึ้นมา
หวังหลินตะลึง เป็นคนชั่วชั่วคราวอย่างนั้นหรือ หากเด็กหนุ่มผู้นี้เป็นคนชั่วขึ้นมา ใครจะไปโหดร้ายกว่าเขาอีกเล่า
ระหว่างพูดคุย หลินสวินก็เร่งสาวเท้าไปที่รถม้าที่อยู่กลางขบวน และนั่งลงตรงข้ามมู่หวั่นซูที่กำลังต้มชากลิ่นหอมอบอวล ใบหน้าของนางงดงาม ประกอบกับผิวเนียนเปล่งปลั่ง มือเรียวที่จดจ่อกับการชงชา ทุกกิริยาล้วนชวนพิศชม
“ครั้งนี้ขอบคุณเจ้ามาก หากเจ้าไม่ปรากฏตัว ข้าก็คงยังปวดหัว ไม่รู้จะจัดการกับลู่เซ่าอวิ๋นผู้นี้อย่างไร” มู่หวั่นซูยกแก้วหยกมันแพะที่ใส่ชาไว้เต็มแก้วให้หลินสวิน
“โถ่ พี่หวั่นซูท่านเกรงใจกันเกินไปแล้ว” หลินหวินยิ้มพลางยกชาขึ้นจิบ ก่อนจะกล่าวพร้อมสีหน้าจริงจัง “เห็นว่าพี่หวั่นซูตกลำบากอยู่ต่อหน้า น้องชายอย่างข้าจะไม่ช่วยเหลือได้อย่างไร”
“ช่วยเหลืออะไรกันล่ะ ผีน่ะสิถึงจะเชื่อเจ้าลง” มู่หวั่นซูต่อว่าเสียงเบา ก่อนถามด้วยความสงสัย “ครั้งนี้เราน่าจะพบกันโดยบังเอิญเท่านั้น ทำไมถึงมีเรื่องรบกวนข้าได้ล่ะ”
“บังเอิญจริงๆ นั่นแหละ ข้าก็ไม่คิดว่าจะเจอกับพี่หวั่นซูที่นี่” หลินสวินยิ้ม
“มีเรื่องอะไรกันแน่”
มู่หวั่นซูคร้านจะต่อความยาวสาวความยืด จึงเอ่ยขึ้นมาตามตรง
หลินสวินชี้ไปที่ตะกร้าข้างหลังตน
มู่หวั่นซูมองไป จึงสังเกตเห็นว่าในตะกร้ามีเด็กหญิงคนหนึ่งนอนอยู่ นางงงงัน “เจ้า…คงไม่ได้เสียสติไปลักพาตัวเด็กน้อยมาจากที่ไหนใช่หรือไม่ ข้าไม่ช่วยหรอกนะ”
“ข้าดูเหมือนคนเช่นนั้นหรือ” หลินสวินหัวเสีย
“ไม่เหมือน แต่ใช่เลยล่ะ” นางตอบจริงจัง ว่าแล้วก็หัวเราะร่าเบิกบาน นัยน์ตาของนางหวานหยาดเยิ้ม พร้อมกับความรู้สึกมากมาย
หลินสวินเองก็พลอยหัวเราะไปด้วย นับแต่ออกมาจากเมืองหมอกอำพรางเขาก็ถูกศัตรูตามฆ่ามาตลอด ต้องเคร่งเครียดอยู่ตลอดเวลา ประมาทไม่ได้เลย เมื่อได้พบคนคุ้นเคยอย่างมู่หวั่นซูครานี้ เขารู้สึกผ่อนคลายไปได้มากทีเดียว
ในขณะเดียวกันเขาก็เกลียดแค้นต่อตระกูลฉื่อแห่งนครต้องห้ามที่ทำเรื่องทุกอย่างขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งสงสัย และคาดเดาตามข่าวที่เสวี่ยจินได้บอกกล่าวในคราวนั้น ว่าตระกูลฉื่ออาจจะเป็นศัตรูที่ขโมยชีพจรวิญญาณของเขาไปตั้งแต่แรก!
ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่ทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางหลินสวินให้เข้าไปนครต้องห้าม หลังจากที่รู้เรื่องราวของเด็กหนุ่มแล้วกระมัง
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของหลินสวินเพียงเท่านั้น แต่ไม่ว่าอย่างไร ในเมื่อตระกูลฉื่อกล้าทำเช่นนี้ก็ย่อมมีความน่าสงสัยเป็นอย่างมาก!
“บอกมาสิว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร” มู่หวั่นซูถาม ไม่วายเติมน้ำชาให้หลินสวิน
หลินสวินคิดสักพักจึงว่า “ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าพาเด็กหญิงผู้นี้กลับไปที่เมืองหมอกอำพราง แล้วบอกกับสืออวี่ให้เขาช่วยออกหน้า ส่งเด็กคนนี้ไปที่ค่ายกระหายเลือด และให้ครูฝึกเสี่ยวหม่านดูแล”
“ข้าขอทราบเหตุผลได้หรือไม่” มู่หวั่นซูชะงักถาม
หลินสวินไม่ปิดบัง บอกเล่าเรื่องที่เขาถูกตามฆ่าคร่าวๆ
คำบอกเล่าเรียบง่ายและสั้นกระชับ กลับทำให้มู่หวั่นซูเคร่งขรึมขึ้นมา จนสุดท้ายในสายตาก็มีแววตกใจ “มีคนไม่อยากให้เจ้าไปยังนครต้องห้ามหรือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าศัตรูเป็นใคร”
หลินสวินกล่าวตอบทันใด “พี่หวั่นซู ทางที่ดีท่านอย่าถามเลยดีกว่า รู้เพียงว่าศัตรูของข้าในครั้งนี้มีอำนาจมากก็พอ”
มู่หวั่นซูขมวดคิ้ว “เจ้ากำลังเห็นข้าเป็นคนนอกนะ”
หลินสวินเพียงยิ้มไม่ว่าอะไร แต่สายตากลับแน่วแน่ เขาบอกไม่ได้ และจะให้มู่หวั่นซูมาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ไม่ได้
มู่หวั่นซูจับจ้องหลินสวินอยู่นาน ก่อนจะคิดได้ว่าแม้ตัวเองจะพยายามถามเพียงใด หลินสวินก็คงไม่ยอมบอกคำตอบกับนาง
“ด้วยความสัมพันธ์ของเจ้ากับคุณชายสาม ครั้งนี้ให้เขาช่วยเหลือได้ บางที…” นางยังคงไม่สบายใจ
หลินสวินยิ้มเล็กน้อย “อัครการค้าไม่ได้เป็นของสืออวี่ ยิ่งกว่านั้น แม้จะให้อัครการค้าออกหน้าก็คงช่วยข้าไม่ได้”
แม้แต่อัครการค้าก็ช่วยไม่ได้เชียวหรือ
มู่หวั่นซูสายตาแน่นิ่ง ใจสั่นระรัว แม้แต่อัครการค้าก็ช่วยอะไรไม่ได้ เช่นนั้นอำนาจที่หมายหัวหลินสวินจะยิ่งใหญ่แค่ไหนกัน
“เจ้านี่นะ เหตุใดถึงชอบสร้างศัตรูมากมายนัก เจ้า…ในเมื่อรู้อยู่แล้วว่าเข้าไปนครต้องห้ามมันอันตรายมาก เหตุใดยังต้องทำเช่นนี้อีก” มู่หวั่นซูกล่าวพร้อมสีหน้าอันซับซ้อน หลังจากเงียบอยู่นาน
“ข้าไม่ใช่พวกเกรงอันตรายจนไม่ยอมเดินหน้า” หลินสวินตอบยิ้มๆ
ครานี้ม่หวั่นซูกลับไม่คิดว่าหลินสวินกำลังล้อเล่น นางครุ่นคิดอยู่เนิ่นนาน ก่อนจะกล่าวพร้อมถอนหายใจ “ช่างเถิด ในเมื่อเจ้าไม่ยอมบอก ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”
“เช่นนั้น ท่านว่าอย่างไรกับเรื่องที่ข้าพูดเมื่อครู่นี้” หลินสวินกล่าว
“เจ้าไม่ต้องห่วง ส่งเด็กคนนี้มาให้ข้าก็พอ” มู่หวั่นซูว่า
หลินสวินเหมือนได้ปลดภาระหนักหน่วงออกในทันใด วาดมือขึ้นมาทำความเคารพ “ขอบคุณท่านมาก”
“เจ้าทำท่าเกรงใจกันอย่างนี้ ใจข้าขนลุกไปหมด คิดว่าเจ้าวางแผนจะทำอะไร ดังนั้นจากนี้ไปก็อย่าเกรงใจข้าเลย” มู่หวั่นซูค่อนแคะ
หลินสวินพยักหน้าพอใจ
…
คุยกันอีกไม่นาน หลินสวินก็ขอตัวลาไป
ก่อนจากไป หลินสวินลูบหัวลั่วลั่วที่หลับอยู่ และบอกกับมู่หวั่นซูว่า “หางนางตื่นแล้วก็บอกนางว่า กล้าหาญที่จะเผชิญหน้ากับความจริง ถึงจะมีชีวิตอย่างเข้มแข็งต่อไป”
มู่หวั่นซูชะงัก “นางเพิ่งจะสามสี่ขวบ ไม่เข้าใจหรอก”
หลินสวินส่ายหน้า “ตั้งแต่วินาทีที่สูญเสียแม่ไป นางก็ควรที่จะเรียนรู้ที่จะเติบโตได้แล้ว”
ว่าแล้วหลินสวินก็ลากที่ลู่เซ่าอวิ๋นที่สลบอยู่จากไป
“นี่ ฐานะของลู่เซ่าอวิ๋นไม่ธรรมดา เจ้าอย่าทำเขาตายล่ะ” มู่หวั่นซูตะโกนบอกอยู่ไกลๆ
“ไม่ต้องห่วง ข้าจะดูแลเขาอย่างดี” หลินสวินตอบกลับและโบกมือให้โดยไม่ได้หันกลับไปมอง ก่อนที่เงาร่างของเขาจะหายลับไปในป่าอันกว้างใหญ่อย่างรวดเร็ว
“คุณหนูหวั่นซู ทำอย่างนี้…จะเป็นการสร้างปัญหาให้กับหลินสวินหรือไม่” หวังหลินว่าอย่างเป็นกังวล
มู่หวั่นซูยิ้มกว้าง “เด็กคนนี้มีปัญหาทุกวันไม่เคยว่างเว้น เจ้าควรจะห่วงว่าลู่เซ่าอวิ๋นจะตายเพราะหลินสวินหรือไม่ต่างหาก” ว่าแล้วนางก็เดินกลับเข้าไปในรถม้า
หวังหลินชะงักนึก ก่อนจะนึกถึงวีรกรรมของหลินสวิน เขาอดรู้สึกเช่นเดียวกับหมู่หวั่นซูไม่ได้ ถูกต้องแล้ว เจ้าเด็กหลินสวินคนนี้ไม่ใช่คนที่จะเอาตรรกะธรรมดาไปตัดสินได้
…
ยามใกล้ค่ำ ในที่สุดหลินสวินก็มองเห็นโครงร่างของเมืองมังกรเหลือง
สง่างาม
เก่าแก่
ตระการตา
สิ่งเหล่านี้คือความรู้สึกที่หลินสวินสัมผัสได้โดยตรง กำแพงเมืองโบราณที่ยาวเฟื้อยนั้น กำลังอาบแสงอาทิตย์อัสดงเป็นสีสันสวยงาม
แม้จะเย็นย่ำแล้ว แต่ยังคงเห็นผู้คนมากมายเข้าออกประตูเมือง แลดูครึกครื้นยิ่งนัก
ความเจ็บแสบจากฝ่ามือที่ตบกระทบบนหน้าทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นตื่นจากการสลบไสล ครั้นลืมตาขึ้นเห็นหลินสวิน เขาก็หน้าตื่น เตรียมจะหวีดร้องในทันใด
หลินหวินบอกขัดเสียงเนิบ “ไม่อยากตายก็อยู่เงียบๆ ดีๆ “
น้ำเสียงของหลินสวินราบเรียบ แต่ในสายตาไม่วายมีประกายสังหารดั่งมีดเย็นเยียบปักลงในหัวใจแผ่ออกมาอย่างไม่ยี่หระ ทำเอาลู่เซ่าอวิ๋นตัวสั่น สีหน้าตระหนกกลัว “เจ้า…เจ้าจะพาข้าไปไหน”
เขากลัวจริงๆ เพราะเมื่อตื่นขึ้นมา ก็เหลือเพียงหลินสวินอยู่ตรงหน้า แล้วลู่เซ่าอวิ๋นจะเข้าใจสถานการณ์ของตนเองได้อย่างไรกัน
“ไม่ต้องห่วง เมื่อข้าออกจากเมืองมังกรเหลือง เจ้าก็จะเป็นอิสระเอง” หลินสวินว่าแล้วมุ่งหน้าไปยังเมืองมังกรเหลืองที่อยู่ห่างออกไป
“อ้อ จริงสิ ข้าวางยาพิษเจ้า ดังนั้นทางที่ดีตามข้ามาซะ อย่าคิดจะหนี”
ยาพิษ!
ลู่เซ่าอวิ๋นหน้าตาตื่น พลางสำรวจร่างกายตัวเอง แต่กลับไม่พบอะไร ครั้นเห็นท่าทางไม่หวั่นเกรงสิ่งใดของหลินสวิน เขาพลันคิดได้ว่าตนเองคงไม่มีโชคดีแล้ว
เขาจำต้องเชื่อ ถ้าหาก…ถ้าหากถูกพิษจนตัวตายจริง เช่นนั้นก็จบเห่!
“เจ้า…เจ้าต้องการอะไรกันแน่” ลู่เซ่าอวิ๋นเดินตามไป ถามอย่างร้อนรนระคนโมโห
“ก็ไม่อย่างไร” หลินสวินตอบโดยไม่ต้องคิด
เขาพูดอย่างนี้ก็ยิ่งทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นสับสน และยิ่งโมโหขึ้นไปอีก จึงกัดฟันกล่าวอย่างอดไม่อยู่ “เจ้าอย่าอย่าได้รังแกคนอื่นมากนักเลย! หากเจ้ากล้าวางแผนใดกับข้า เจ้าไม่มีทางพบจุดจบที่ดีแน่!”
“อื้ม”
“เจ้า…เจ้า…สารเลว!”
“อื้ม”
“เจ้ามันชั่วช้านัก!”
“อื้ม”
“เจ้ามีการตอบโต้ที่พึงมีหน่อยไม่ได้หรือ ปัดโธ่เอ๊ย จ้าไม่เคยพบเห็นคนเช่นเจ้าเลยจริงๆ!”
“อื้ม”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินไม่เกรงกลัวยี่หระตัวเอง ยิ่งทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นโมโห ทั้งหวาดหวั่น ทั้งกังวล จิตใจมีแต่ความสับสน หมดเรี่ยวแรงและไร้ซึ่งความหวังอย่างบอกไม่ถูก
แต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเจอใครที่ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมณ์ พอได้ลงมือก็ไม่หวาดหวั่นสิ่งใดอย่างเจ้าคนนี้มาก่อน จึงทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นได้แต่สิ้นหวัง ดังตัวเองเป็นปลาในเขียง ทำได้เพียงรอให้เขาฆ่าแกง