Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 303
คำประกาศิตจากฉือฉางเหมย ทำเอาเหล่าผู้ช่วยหวาดหวั่น
ด้วยอำนาจของหนึ่งในเจ็ดตระกูลใหญ่ระดับสูงอย่างตระกูลฉือแล้ว ตระกูลลู่ที่เป็นเพียงตระกูลระดับกลางก็คงทำได้เพียงยอมตกลงอย่างว่าง่าย!
เมื่อเป็นเช่นนี้ ลู่เซ่าอวิ๋นก็ไม่มีทางได้ช่วยเหลือเป้าหมายหรือเป็นงัดข้อกับพวกเขาเลย!
เพื่อเป็นการระงับโทสะของตระกูลฉือ ตระกูลลู่ก็อาจจะสังหารลู่เซ่าอวิ๋นทิ้งเสียด้วยซ้ำ!
นี่คือพลังแห่งอำนาจ
เมื่อสองฝ่ายอำนาจไม่อาจคานกันได้ทัดเทียม ฝ่ายที่พ่ายแพ้ต้องยอมอ่อนโอน หากไม่เช่นนั้นก็ต้องรอโดนโจมตี
“แล้วจะทำอย่างไรกับทางฝั่งอัครการค้าเล่า” ใครบางคนโพล่งถามขึ้น
ฉือฉางเหมยนึกดูแคลนอยู่ในใจ ไม่ใช่ดูแคลนอัครการค้า แต่เป็นคนที่ตั้งคำถามนั่นต่างหาก
“เจ้าคิดว่าเพียงเพราะลู่เซ่าอวิ๋นคนเดียว จะทำให้ตระกูลฉือกับอัครการค้าผิดใจกันได้อย่างนั้นหรือ เจ้าให้ค่าลู่เซ่าอวิ๋นสูงเกินไปแล้วกระมัง” นางว่าด้วยน้ำเสียงเย็นเยือก เหน็บแนมจนคนผู้นั้นหน้าเสียอยู่ไม่สุข
หากคิดให้ดีก็เป็นดังที่นางว่า แม้ลู่เทียนจ้าว บิดาของลู่เซ่าอวิ๋นจะเป็นหนึ่งในผู้จัดการอาวุโสของอัครการค้า แต่คนสติดีอยู่ย่อมรู้กันทั้งนั้นว่าลู่เซ่าอวิ๋นเป็นเพียงคุณชายไร้วิชาความสามารถ อัครการค้าจะออกหน้าช่วยเขาอยู่หรือ
การกระทำของลู่เซ่าอวิ๋นในวันนี้ก็เป็นเพียงแค่การใช้อำนาจของบิดาตัวเองเท่านั้น
“เอาล่ะ เรื่องนี้พอไว้เท่านี้ ลู่เซ่าอวิ๋นก็แค่ตัวปัญหาเล็กน้อย ไม่ควรให้ความสำคัญ ที่พวกเราต้องทำคือจัดการเป้าหมาย” ฉือฉางเหมยสูดลมหายใจลึกแล้วเริ่มสั่งการ
“จัดกองกำลังทั้งหมดล้อมเมืองมังกรเหลืองชั้นนอกไว้ เมื่อเป้าหมายปรากฏ ให้จัดการกับเขาอย่างสุดความสามารถ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการใดก็ตาม!”
” นำเรือรบวีรชนม่วงอีกห้าลำออกมาภารกิจในครั้งนี้ เพื่อโจมตีเป้าหมายจากทางอากาศด้วย!”
เหล่าผู้ช่วยได้ยินเช่นนั้นก็ใจกระตุก ฉือฉางเหมยสั่งการเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับการดับเครื่องชนเลยสักนิด!
แม้การล้อมวงสังหารครั้งก่อนๆ จะล้มเหลวไม่เป็นท่า รวมแล้วสูญเสียผู้ฝึกปราณไปไม่กี่ร้อยเท่านั้น กลับกันพวกเขายังเหลือกองกำลังอีกตั้งสองพันกว่านาย
แต่ยามนี้ฉือฉางเหมยให้กองกำลังทั้งหมดมารวบตัวกันที่นอกเมืองมังกรเหลือง และยังให้นำเรือรบวีรชนม่วงที่เหลืออีกห้าลำออกมาด้วย เห็นได้ชัดว่าในการรบครั้งนี้วางแผนจะสู้เป็นตายให้รู้ผลแพ้ชนะ
นี่มันบ้าระห่ำเกินไปแล้ว
ทำเช่นนี้เท่ากับต้องละทิ้งกลยุทธ์และแผนการรบทั้งหมด และใช้พลังอันแข็งแกร่งห้ำหั่นกันโดยตรง
แต่เมื่อไตร่ตรองดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ ถ้าทำอย่างที่ว่า โอกาสประสบความสำเร็จก็จะเพิ่มสูงขึ้นมาก
ลองจินตนาการว่า ผู้ฝึกปราณสองพันกว่านายกับเรือรบวีรชนม่วงอีกห้าลำ ออกภารกิจจัดการเป้าหมายพร้อมกันจะน่ากลัวสักเท่าไหร่ เช่นนี้แล้ว ไม่ว่าเป้าหมายจะมีพลังต่อสู้ล้ำเลิศเพียงใด ก็ไม่วายต้องตายจากการถูกโจมตีที่มากมายขนาดนี้
“ภารกิจครั้งนี้เป็นการทุบหม้อข้าวสู้ หากชนะ ข้าจะจัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ให้พวกเจ้า” ฉือฉางเหมยกวาดสายตาไปโดยรอบ “แต่หากแพ้…”
ทุกคนพลันรู้สึกสั่นสะท้านในหัวใจ เพราะรับรู้ได้ถึงความกดดันอย่างน่าประหลาด
“ข้าไม่มีคำพูดแก้ตัวต่อตระกูล ส่วนพวกเจ้าก็จะไม่มีวันได้รับการยกโทษจากข้า”
ฉือฉางเหมยพูดเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ครู่หนึ่งท่าทางก็กลับมาสงบนิ่งอย่างก่อน “แน่นอน ภายใต้การโจมตีระดับนี้ โอกาสที่เป้าหมายจะมีชีวิตเหลือรอดมีน้อยมาก ทุกท่านไม่ต้องเป็นกังวล หากไม่มีข้อผิดพลาดเราต้องชนะเป็นแน่แท้”
…
หลังประกาศคำสั่งเรียบร้อย ฉือฉางเหมยก็ออกจากเรือน เดินทอดน่องไปตามถนนยามค่ำคืนเพียงลำพัง
ที่นางทำเช่นนี้ไม่ใช่เพราะสิ้นไร้หนทางอื่น แต่เพราะรู้ดีว่าเมื่อเป้าหมายเหยียบเยื้องเข้ามาถึงเมืองมังกรเหลือง โอกาสของพวกนางก็เหลืออีกไม่มาก
เมืองมังกรเหลืองตั้งอยู่กลางจักรวรรดิ แม้จะอยู่ห่างจากนครต้องห้ามไม่ถึงพันลี้ แต่ระหว่างทางนี้กลับเต็มไปด้วยกองกำลังของทหารองครักษ์อยู่ทั่วทุกทิศ
นอกจากนี้ ระหว่างเมืองมังกรเหลืองกับนครต้องห้าม ส่วนใหญ่เป็นกำแพงเมืองโอ่อ่า ที่มีการขนส่งสินค้าและผู้คนสัญจรมากมาย ซึ่งในจำนวนนั้นมีผู้ฝึกปราณที่เก่งกาจปะปนอยู่ไม่น้อย
สถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปได้ยากที่จะโจมตีเป้าหมายโดยไม่เกิดผลกระทบอย่างอื่นตามมา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเลือกจัดการให้รู้ผลแพ้ชนะที่เมืองมังกรเหลืองเสีย
“หลินสวิน…เจ้าเด็กคนนี้มาจากไหนกันนะ”
หลายวันมานี้ฉือฉางเหมยนึกถามตัวเองอยู่หลายครั้ง เพราะถึงแม้นางจะได้รับคำสั่งจากตระกูล ให้รับผิดชอบดูแลภารกิจครั้งนี้ แต่นางก็ไม่รู้ว่าทำไมทางตระกูลจึงต้องทำเช่นนั้น
เกินกว่าจะคาดเดานัก แค่เด็กหนุ่มที่มีปราณเพียงขั้นผสานใจเท่านั้น ควรค่าให้ตระกูลฉือจัดการเช่นนี้เชียวหรือ
“รอสังหารเจ้าแล้ว บางทีข้าอาจจะได้คำตอบก็เป็นได้…”
ฉือฉางเหมยพึมพำอยู่ในใจ ร่างโปร่งเดินทอดเงาไกลออกไปตามท้องถนนยามรัตติกาล
…
ในค่ำคืนเดียวกันนั้น
ณ ภาคีนักสลักวิญญาณ เมืองมังกรเหลือง
บุรุษในชุดดำคลุมหมวกปิดถึงครึ่งหน้า อาศัยความมืดมิดในยามค่ำคืนเดินเข้าไปในภาคีนักสลักวิญญาณ หลังจากหยิบป้ายสำริดบ่งบอกสถานะนักสลักวิญญาณระดับสามัญขึ้นมา หญิงรับใช้นางหนึ่งก็นำทางเขาไปที่ห้องรับรอง
นักสลักวิญญาณจะได้รับสิทธิประโยชน์ เพราะได้รับการรับรองจากภาคีนักสลักวิญญาณเท่านั้น
เมื่อหญิงรับใช้ออกไปแล้ว บุรุษผู้นั้นพลันถอดหมวกที่ปิดปังรูปลักษณ์ เผยให้เห็นเครื่องหน้าคมคาย ทว่าสุภาพอ่อนโยน เขาคนนั้นคือหลินสวินนั่นเอง
“ยังดีที่ทุกอย่างราบรื่น” หลินสวินนั่งขัดสมาธิลง สีหน้าผ่อนคลายขึ้น
นับตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในเมืองมังกรเหลือง เด็กหนุ่มสัมผัสได้ถึงสายตามากมายที่จับจ้องตัวเองจากมุมมืด จึงไม่โง่เขลานั่งเก็บตัวอยู่ที่โรงเตี๊ยมนำโชค
เขาหลอกใช้ลู่เซ่าอวิ๋นคนนั้นเป็นตัวล่อหลอกว่าตนจะเก็บตัว เพื่อดึงดูดความสนใจของศัตรู จากนั้นก็ใช้กระบี่ขุดทางลับ งัดพื้นของห้องพักในโรงเตี๊ยมแล้วหลบหนีออกมา จนสุดท้ายมาอยู่ที่ภาคีนักสลักวิญญาณแล้ว
หากเทียบกันแล้ว ในภาคีนักสลักวิญญาณย่อมปลอดภัยกว่าที่ใด เพียงอาศัยป้ายนักสลักวิญญาณระดับพื้นฐานที่ได้มาจากฉู่เฟิง เขาก็ได้รับสิทธิประโยชน์พร้อมกับการคุ้มครองชั้นดี นั่นหมายความว่าหลินสวินไม่ต้องกังวลว่าจะถูกโจมตีในระหว่างที่ฝึกปราณทะลุขั้นผสานดินอีกต่อไป
หลังจากนั่งพักเพียงครู่เดียว หลินสวินก็ไม่รอช้า นั่งขัดขาหยัดแผ่นหลังตั้งตรงเพื่อเริ่มโคจรพลังปราณ
หลินสวินมีลางสังหรณ์ว่าตนจะทะลุขั้นพลังปราณตั้งแต่ที่หมู่บ้านหลิวเขียวแล้ว ที่ต้องเก็บตัวในตอนนี้ก็เพื่อที่จะไม่ถูกรบกวนจากโลกภายนอกยามเพิ่มระดับปราณ
ฮูม
พลังปราณมหาศาลในร่างกายโคจรเปิดประสาน พลังวิญญาณบริสุทธิ์ไหลเอ่อท่วมท้นจนกึกก้องอยู่ภายใน ไม่ช้าหลินสวินก็จมลึกอยู่กับการบำเพ็ญ
ในโรงเตี๊ยมรวมโชค ลู่เซ่าอวิ๋นนั่งไขว่ขาร่ำสุราอย่างอารมณ์ดี วาดฝันแผนการแก้แค้นของตนอย่างย่ามใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งสุขใจ เขายังไม่รู้ว่าตนเองถูกเหล่าบุตรหลานตระกูลผู้ดีทั้งหลายชังน้ำหน้าเข้าเสียแล้ว ยิ่งไม่ทราบว่าฉือฉางเหมยได้ส่งคำประกาศิตไปยังตระกูลลู่ของตัวเองแล้วเช่นกัน
ความเข้าใจผิดทั้งหมดนั้นมาจากการที่เขาอยู่ข้างกายหลินสวิน เขาจึงถูกสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้
หากเขาไม่ติดต่อคนของอัครการค้าในเมืองมังกรเหลืองไป อาจจะไม่สร้างความเข้าใจผิดจนสถานการณ์ย่ำแย่ขึ้นก็เป็นได้
น่าเสียดายที่ลู่เซ่าอวิ๋นไม่รับรู้ เขาคิดเพียงแต่จะช่วยเหลือตัวเอง แต่ไม่คิดว่าการที่เขาติดต่ออัครการค้าในเมืองมังกรเหลืองนั้นถูกศัตรูมองว่าเป็นการช่วยเหลือหลินสวิน
ลู่เซ่าอวิ๋นไม่รับรู้เรื่องนี้แม้แต่น้อย ยังคงร่ำสุราสบายอารมณ์ สุนทรีย์ยิ่งนัก
“ไม่ถูกต้อง!”
จู่ๆ ลู่เซ่าอวิ๋นคล้ายนึกอะไรขึ้นได้ พลันขมวดคิ้วใคร่ครวญ “ไอ้เด็กน่าตายนั่นบอกว่าจะเก็บตัว ใครจะรู้ว่าเขาไม่ได้กำลังแอบจับตามองข้าอยู่”
“ไม่ได้ จะทำตัวผิดปกติไม่ได้ ข้าต้องแสดงละครแสร้งทุกข์ระทมสักหน่อยให้เขาดูสักหน่อย!”
นึกมาถึงตรงนี้ลู่เซ่าอวิ๋นก็หยัดกายลุก เปิดประตูห้องพักเดินไปที่หน้าประตูห้องของหลินสวินที่ปิดสนิท สูดลมหายใจลึกทำหน้าระทมคับแค้น บีบเสียงแหบพร่าร่ำไห้อยู่ในคอ “เจ้าคิดจะทำอย่างไรกันแน่ ข้าให้ความร่วมมือกับเจ้าขนาดนี้แล้ว เจ้าจะไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับข้าเลยหรือ”
“ไอ้สารเลว! พูดมาสิว่าจะให้ข้าทำยังไงอีก”
เขากดเสียงเบาทำเสียงพร่าพูดกับประตูห้องพักของหลินสวิน ไม่ได้โวยวายเสียงดังเรียกความสนใจผู้คน ไม่อย่างนั้นใครมาเห็นเข้าคงคิดว่าเขาเสียสติเป็นแน่
เหตุการณ์ที่เหมือนไม่เป็นที่สนใจ กลับมีคนจับตามองอยู่ในมุมมืด ไม่นานข่าวที่ลู่เซ่าอวิ๋นไปหาหลินสวินก็แพร่งพรายออกไป
“เขาบอกว่าร่วมมือกับเป้าหมาย แถมยังให้เป้าหมายให้คำตอบที่ชัดเจนด้วยงั้นหรือ”
จุดรวมพลแห่งหนึ่งนอกโรงเตี๊ยมรวมโชค ชายสวมงอบมีสีหน้าหม่นลงเมื่อได้ฟังรายงานจากลูกน้อง เขากัดฟันกล่าวว่า “ลู่เซ่าอวิ๋นคนนี้เป็นพวกเดียวกันกับเป้าหมายอย่างที่คาด! ไป จับตาดูเขาต่อไป ข้าอยากรู้นักว่าเขากับเป้าหมายจะทำอะไรกันอีก!”
ลู่เซ่าอวิ๋นที่แสดงละครร้องทุกข์กลับเข้ามาห้องพักของตัวเอง เขาอดยิ้มย่ามใจไม่ได้ นี่สิถึงจะเรียกว่าปกติ การแสดงของเขาคงพอทำให้ไอ้สารเลวนั่นเชื่อสนิทใจ
ยิ่งคิด ลู่เซ่าอวิ๋นก็ยิ่งได้ใจ พลางชื่นชมตัวเองว่าแผนการครั้งนี้แยบยลนัก ด้วยเหตุฉะนี้ หลายวันต่อมาเขาจึงออกไปแสดงละครที่หน้าห้องของหลินสวินทุกวัน
ผู้ฝึกปราณของตระกูลฉือที่รับรู้เรื่องราวทั้งหมดนี้ต่างก็ปักใจเชื่อว่าลู่เซ่าอวิ๋นนั้นเสียสติไปแล้ว ยามนี้แม้จะมีหลักฐานมายืนยันว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับหลินสวิน พวกเขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาด
ทางด้านชายสวมงอบหน้าตั้งเมื่อนึกถึงปัญหาบางอย่างขึ้นได้
หลายวันนี้พวกเขามัวแต่สนใจลู่เซ่าอวิ๋นจนละเลยบางสิ่งไป หลังจากที่เป้าหมายเข้าพักในโรงเตี๊ยมก็ไม่เคยปรากฏหน้าให้เห็นเลย นี่ชักไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว