Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 304
“เร็วเข้า ไปตรวจสอบดูว่าเป้าหมายอยู่ในห้องพักหรือไม่!”
ทันทีที่คิดได้ ชายสวมงอบก็สังหรณ์ใจไม่ดี รีบสั่งการออกไป
“ขอรับ!” ลูกน้องนายหนึ่งรับคำแล้วรีบจากไป
โรงเตี๊ยมรวมโชค
ลู่เซ่าอวิ๋นจัดชายผ้าเตรียมออกไปแสดงละครที่หน้าประตูห้องหลินสวินอย่างเคย ในตอนนั้นเองคนงานของโรงเตี๊ยมมาเคาะประตูแล้วยื่นจดหมายลับฉบับหนึ่งให้แก่ลู่เซ่าอวิ๋น
เขาถึงกับผงะ นึกว่าเป็นจดหมายลับจากอัครการค้าแห่งเมืองมังกรเหลือง ทว่าเปิดดูแล้วกลับต้องหรี่ตา เพราะบนจดหมายเขียนไว้ว่า ‘คุณชายลู่ เมื่อท่านได้รับจดหมายฉบับนี้คงจะแปลกใจเป็นอย่างมาก ไม่ต้องเดา ข้าคือคนที่ท่านเรียกว่าสารเลว’
เด็กหนุ่มหน้าเปลี่ยนสี เขาไม่ได้อยู่ข้างๆ ห้องหรอกหรือ เหตุใดจึงต้องส่งจดหมายลับมาให้กันด้วย เขาอ่านจดหมายต่อ “ท่านสงสัยว่าเหตุใดข้าไม่ฆ่าท่านแต่เก็บท่านไว้ข้างกายสินะ ความจริงง่ายนิดเดียว เพราะข้าหลอกใช้ท่าน”
หลอกใช้!?
ลู่เซ่าอวิ๋นไม่เข้าใจ ตลอดเวลานี้แม้หลินสวินจะเย็นชากับเขา แต่ก็ไม่เคยทำอะไรที่เป็นการหลอกใช้เลย
“แน่นอน ท่านคงกำลังสับสนเป็นแน่ แต่อีกไม่นานท่านจะเข้าใจเอง ถึงตอนนั้นข้าหวังว่าท่านจะไม่ถือโทษข้าล่ะ ใครให้ท่านเคยทำให้ข้าไม่พอใจเล่า ข้าไม่ใช่คนดีอะไร จะมีก็ดีแต่แก้แค้นเท่านั้น”
เขายิ่งสงสัยกว่าเก่า หลินสวินกำลังพูดพล่ามอะไรอยู่
“อ้อ ตอนนี้ท่านคงจะงุนงงยิ่งกว่าเดิม ไม่เป็นไร ไม่แปลกหรอก ที่เขียนจดหมายฉบับนี้ ข้าแค่อยากบอกท่านว่าวันนี้ข้าโกหกท่าน จริงๆ แล้วท่านไม่ได้โดนพิษ มันเป็นแค่บทลงโทษน่ะ”
รู้ดังนั้นแล้ว ลู่เซ่าอวิ๋นก็สมองด้านชา หน้าตาถมึงทึง เขาหลอกข้า บังอาจนัก! แต่เมื่อรู้ว่าตัวเองไม่ได้โดนพิษ เขาก็แอบโล่งใจผ่อนคลายลงมาก
“ตอนนี้ท่านกำลังดีใจอยู่ใช่หรือไม่”
ลู่เซ่าอวิ๋นมุมปากกระตุกอย่างห้ามไม่อยู่ ดีใจกับปู่เจ้าสิ! เขาว่าในใจ เจ้ารอไปเถอะ อย่าให้ข้าจับตัวเจ้าได้นะ!
“แต่ว่าอีกไม่นานท่านก็จะดีใจไม่ออกแล้ว ข้ายืนยันได้ ดังนั้นท่านอย่าคิดว่าตัวเองโชคดี”
เด็กหนุ่มกัดฟัน อยากทึ้งฉีกจดหมายทิ้งไปเสีย จนตอนนี้แล้วเจ้าก็ยังขู่ข้าอีกหรือ ข้าจะไม่เชื่อคำเจ้าอีกแล้ว!
แต่เพราะความใคร่รู้อันแรงกล้าในใจทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นอ่านจดหมายไปเรื่อยๆ “ข้าเดาว่าท่านคงคิดว่าข้ากำลังโกหกท่านอีก ถ้าข้าเป็นท่าน อย่างแรกที่จะทำคือขอความช่วยเหลือจากพ่อของท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายได้ หากท่านถูกศัตรูพวกนั้นเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกับข้า ท่านก็จบเห่แล้ว”
ลู่เซ่าอวิ๋นกระสับกระส่าย ศัตรู ความวุ่นวายอะไรกัน เจ้าช่วยพูดให้มันชัดเจนหน่อยได้ไหม ทั้งยังให้ข้าขอความช่วยเหลือจากท่านพ่อ ตัวสารเลวอย่างเจ้าโง่นักหรือ หลายวันก่อนข้าติดต่ออัครการค้าไว้รอจัดการกับเจ้าแล้ว
แม้ในคุกรุ่นโมโหแต่ลู่เซ่าอวิ๋นกลับรู้สึกกระวนกระวาย คำพูดที่หลินสวินบอกมาคล้ายกับว่าไม่ได้โกหกตัวเองสับสนยิ่งนัก!
“จำไว้ ข้าไม่มีแค้นฝังลึกกับท่าน อย่าให้ความแค้นครอบงำดวงตา แน่นอน หากท่านไม่อยากเชื่อก็ตามใจ ข้าแสดงความจริงใจต่อท่านแล้ว หากท่านยังหลุดไม่พ้นจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ก็เพราะท่านทำตัวท่านเอง”
เนื้อความในจดหมายจบลงแค่นี้ ลู่เซ่าอวิ๋นแทบบ้า เขาหมายความว่ายังไงกัน เหตุใดถึงต้องเขียนจดหมายลับเข้าใจยากฉบับนี้ด้วย
เขาหายใจเข้าลึกๆ หลายครั้งเพื่อสงบสติอารมณ์ สุดท้ายลู่เซ่าอวิ๋นก็ฉีกจดหมายฉบับนั้นทิ้ง ก่อนจะกัดฟันต่อว่า “หลอกลวง ข้าไม่เชื่อหรอก ข้าน่ะหรือจะได้รับวุ่นวายอะไรนั่น!”
พอคิดว่าตนเองมาจากตระกูลลู่ที่เป็นตระกูลอำนาจขนาดกลางในนครต้องห้าม แถมลู่เทียนจ้าวผู้เป็นบิดายังเป็นหนึ่งในผู้จัดการอาวุโสของอัครการค้าสาขาใหญ่ จิตใจของลู่เซ่าอวิ๋นก็สงบลงไม่น้อย
เขาไม่เชื่อ ว่าศัตรูกับความวุ่นวายที่หลินสวินกล่าวถึงจะทำอะไรเขาได้
ก๊อกๆๆ!
ในตอนนั้น ที่ประตูมีเสียงเคาะรัวติดกันจนดูหยาบคาย
ลู่เซ่าอวิ๋นหน้าขรึม ใครช่างไร้มารยาทเช่นนี้ เขาเดินไปเปิดประตู แต่ก็ต้องตกใจเมื่อนอกประตูมีชายชรากับกลุ่มชายชุดแพรจีน พวกเขาคือหลีเทียนเป่า ผู้จัดการของอัครการค้าในเมืองมังกรเหลืองกับเหล่าผู้ติดตาม
เด็กหนุ่มพลันขมวดคิ้วไม่สบอารมณ์ “ผู้จัดการหลี เหตุใดถึงมาที่นี่ ที่ข้านัดกับท่านไว้ไม่ใช่วันนี้”
ครั้นเผชิญหน้ากับหลีเทียนเป่า ลู่เซ่าอวิ๋นยังกล้ามีท่าทางหยิ่งผยอง หากนับตามศักดิ์แล้วเขาย่อมสูงกว่าหลีเทียนเป่าอยู่ไม่น้อย
ทว่าสิ่งที่ทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นประหลาดใจ คือหลีเทียนเป่าที่เคารพนอบน้อมกับเขาในครั้งก่อน บัดนี้กลับแสยะยิ้มเย็นชาไม่ใส่ใจตน
ชายชราว่าเสียงเย็น “คุณชายลู่ ท่านทราบหรือไม่ว่าตัวเองก่อวีรกรรมเลวร้ายอะไรเอาไว้”
ลู่เซ่าอวิ๋นหน้าเปลี่ยนสี “ท่านว่าอะไรนะ”
นัยน์ตาของหลีเทียนเป่าปรากฏประกายเกลียดชังอยู่ปลาบหนึ่ง “คุณชายลู่ ถึงเวลานี้แล้วก็อย่าทำเฉไฉเลย การกระทำของท่านครั้งนี้เกือบทำร้ายข้าแล้ว หรือกระทั่งเกือบทำลายตระกูลลู่ของท่านด้วย หรือว่าท่านยังมัวเมาไม่รู้ตัวอีก”
ฝ่ายลู่เซ่าอวิ๋นนิ่งแข็งไปทั้งร่าง ท้วงถามกลับ “ท่านกำลังพูดอะไร ทำไมข้าฟังไม่รู้เรื่องเลย”
เขาไม่รู้จริงๆ ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เรื่องที่ตกลงกันดีแล้ว เหตุใดจึงกลายเป็นเช่นนี้ เขาคิดไปทำร้ายหลีเทียนเป่าตั้งแต่เมื่อไร และคิดจะทำลายตระกูลของตัวเองเมื่อไรกัน
หลีเทียนเป่าโมโหที่เห็นลู่เซ่าอวิ๋นไม่รู้สำนึก ทำเอาชายชราบันดาลโทสะ โบกมือสั่ง “นำตัวเขาไป!”
ทันใดนั้นเหล่าชายชุดแพรจีนไม่พูดพร่ำทำเพลง กรูเข้ามาคุมตัวลู่เซ่าอวิ๋นเอาไว้เหมือนเป็นนักโทษ และพาตัวเขาออกไปจากโรงเตี๊ยมรวมโชค ไม่ว่าเด็กหนุ่มจะตวาดร้องอย่างไรก็หลุดไม่พ้น
ลู่เซ่าอวิ๋นอ้อนวอนด้วยความกลัว “ผู้จัดการหลี พอจะบอกข้าได้หรือไม่ ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
หลีเทียนเป่าแค่นหัวเราะไม่พูดจา
“เช่นนั้นท่านก็ควรบอกข้า ว่าจะพาข้าไปที่ไหน” ลู่เซ่าอวิ๋นเอ่ยด้วยสีหน้าสิ้นหวัง
“ไปที่ไหนงั้นหรือ ก็คุมตัวท่านไปส่งตระกูลลู่อย่างไรเล่า! นี่เป็นคำสั่งของบิดาท่านเชียวนะ!” หลีเทียนเป่ามองลู่เซ่าอวิ๋นอย่างเวทนา “คุณชายลู่ กลับไปกินข้าวให้อิ่มท้องนะ ไม่แน่ว่าหลังจากนี้…เฮ้อ ช่างเถอะ ท่านจัดการตัวเองก็แล้วกัน”
คำสั่งของท่านพ่อ!
ลู่เซ่าอวิ๋นดังโดนสายฟ้าฟาด ไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เป็นไปได้อย่างไร เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้
แวบหนึ่งในหัวของลู่เซ่าอวิ๋นพลันนึกถึงจดหมายลับของหลินสวิน
‘ถ้าข้าเป็นท่าน อย่างแรกที่จะทำคือขอความช่วยเหลือจากพ่อของท่าน ไม่แน่ว่าอาจจะหลีกเลี่ยงความวุ่นวายได้ หากท่านถูกศัตรูพวกนั้นเข้าใจผิดว่าเป็นพวกเดียวกับข้า ท่านก็จบเห่แล้ว’
คำพูดนี้สะท้อนขึ้นมาในหัวของลู่เซ่าอวิ๋น ทำเอาเขาชาไปร่าง ในที่สุดก็ตระหนักได้แล้วว่าปัญหาอยู่ที่
ที่แท้การหลอกใช้ของหลินสวิน คือการทำให้ศัตรูเหลานั้นคิดว่าตนเป็นพวกเดียวกับเขา!
ที่ทำให้ลู่เซ่าอวิ๋นหวากลัวที่สุดก็คือเบื้องหลังของศัตรูของหลินสวินนั้นทำให้บิดาของเขาก้มหัวให้ และสั่งให้คุมตัวเขาส่งกลับตระกูล ความวุ่นวายนี้…ใหญ่หลวงนัก!
ในตอนที่ออกมาจากโรงเตี๊ยม ลู่เซ่าอวิ๋นเหลือบเห็นคนกลุ่มหนึ่งบุกเข้าไปในห้องหลินสวิน แต่ว่าในห้องนั้นกลับว่างเปล่า ไร้ซึ่งเงาเจ้าของอย่างหลินสวิน
“ทำได้ดี ข้าถูกตัวสารเลวอย่างเจ้าต้มจนเปื่อยแล้ว”
…
“หัวหน้า ไอ้หมอนั่นถูกจับไปแล้ว นี่แหละคือโทษของมัน เรื่องบางเรื่องไม่ใช่ว่าเด็กอวดดีจะมาสอดมือได้” ชายหนุ่มร่างผอมมองลู่เซ่าอวิ๋นถูกคุมตัวไปไม่วายยกยิ้ม
“ไอ้หมอนี่ไม่สำคัญ ที่สำคัญก็คือเป้าหมายหายไปจากสายตาของเราแล้ว” ชายสวมงอบหน้าดำคร่ำเคร่ง ไร้ซึ่งความยินดี
“หัวหน้า พบร่องรอยแล้วขอรับ พื้นห้องของเป้าหมายมีรอยกรีด มิน่าถึงได้หายไปโดยที่เราไม่รู้ตัว” มีลูกน้องคนหนึ่งเข้ามารายงาน
“ไป ไปดูกัน!”
ชายสวมงอบสูดหายใจลึก สาวเท้ายาวก้าวไปที่ห้องของหลินสวิน เมื่อดูร่องรอยโดยละเอียดแล้วก็ก็ยิ่งสังหรณ์ใจไม่ดี แค่ดูรอยกรีดก็รู้แล้วว่าเป้าหมายหนีออกไปตั้งแต่วันแรกที่เข้ามา
“ตรวจสอบปลายทางของช่องลับหรือยัง” ชายสวมงอบถามเสียงเข้ม
“เป็นถนนใหญ่ขอรับ ตามหาร่องรอยเป้าหมายไม่ได้แล้ว แต่เสี่ยวมู่กำลังจัดการ ไม่นานก็คงจับกลิ่นของเป้าหมายได้”
ได้ยินชื่อเสี่ยวมู่ชายสวมงอบก็วางใจ เพราะเสี่ยวมู่เป็นสหายของเขาที่ฝึกฝนวิชาลับ เรียว่า ‘สืบสัมผัสทั้งหก’ หากเขาได้มองใครสักคนแล้ว ก็ย่อมหลบหนีจากการเสาะหาของเขาไม่พ้น
“ส่งข่าวออกไปว่าเป้าหมายอาจจะออกจากเมืองมังกรเหลืองแล้ว ให้กองกำลังเตรียมพร้อมตามหาและจู่โจมเป้าหมาย” ชายสวมงอบสั่งการ แล้วพาลูกน้องทั้งหลายออกจากโรงเตี๊ยมนำโชคไป
กองกำลังของพวกเขารวมถึงเรือรบวีรชนม่วงทั้งห้าลำได้ประจำการที่นอกเมืองมังกรเหลืองแล้ว หากพลาดจากเป้าหมาย และปล่อยให้เป้าหมายหนีฝ่าวงล้อมไปได้ในครั้งนี้ ผลสุดท้ายคงเลวร้ายเกินจินตนาการ!
นอกเมืองมังกรเหลือง
หลินสวินเดินตามกลุ่มคนเลาะเลียบออกไปตามถนน เขาแต่งกายด้วยชุดธรรมดาไม่สะดุดตา ไม่แตกต่างไปจากผู้ฝึกปราณทั่วไป ด้วยวิชาแปลงกายอย่างง่ายนั้นทำให้หลินสวินยังคงมีลักษณะที่คล้ายเดิม แต่ลมหายใจ สีหน้า และการเคลื่อนไหวเปลี่ยนไปจากแต่ก่อนราวกับเป็นคนละคน
วิชาแปลงกายอย่างง่ายนั้น เป็นเคล็ดลับที่ใช้ลอบสังหาร ซึ่งเขาเรียนรู้มาจากค่ายกระหายเลือด ทำให้หลินสวินในตอนนี้เป็นเหมือนเด็กหนุ่มธรรมดาที่แข็งแรงและบึกบึน หน้าตาไม่เตะตาอย่างยิ่ง จึงถูกมองข้ามไปได้ง่ายนัก
“ไม่รู้ว่าลู่เซ่าอวิ๋นจะรู้ตัวหรือยัง แต่ถ้าตายไปก็คงโทษใครไม่ได้” หลินสวินครุ่นคิดระหว่างเดินไปข้างหน้า
เขาไม่รู้ว่าลู่เซ่าอวิ๋นถูกคุมตัวเหมือนเป็นนักโทษอยู่ และคนที่ออกคำสั่งก็คือลู่เทียนจ้าว บิดาของลู่เซ่าอวิ๋นเอง