Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3044 มาถึงกะทันหัน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3044 มาถึงกะทันหัน
จี้ป๋อเหวินร่างสูงใหญ่ องอาจดุจภูผา สวมชุดม่วงทั้งตัว เยื้องย่างดุจมังกรพยัคฆ์
เขากุมอำนาจของตระกูลมาในกาลเวลาไร้สิ้นสุด ตนเองยังเป็นระดับนิรันดร์ขั้นล่วงกฎขั้นปลายคนหนึ่ง
ส่วนคนที่ตามมาข้างกายจี้ป๋อเหวิน ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตของตระกูลจี้ ในจำนวนนั้นก็มีผู้อาวุโสขั้นล่วงกฎสองคน
ทั้งตระกูลจี้ถึงตอนนี้มีขั้นสรรสร้างสี่คน ขั้นล่วงกฎสิบสองคน!
ในบรรดาร้อยกว่าอารยธรรมยุคสมัยในแหล่งสถานศุภโชค รากฐานพลังระดับนี้สามารถก้าวขึ้นเป็นสามอันดับแรกอย่างมั่นคง
ราตรีดั่งสีหมึก
จี้ป๋อเหวินยืนนิ่งอยู่หน้าเสาหินสีดำสองต้นนั้น สายตาพิจารณาหลินฝานกับซูไป๋ที่ถูก ‘โซ่กักเทพ’ พันธนาการอยู่ กล่าวเสียงเบาทอดถอนใจ “คนหนึ่งมีสายเลือดหุบเหวกลืนกิน สามารถสืบทอดมรดกวิชาของจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ได้ อีกคนมีกระดูกกระบี่แห่งยุค พรสวรรค์ของคนหนุ่มสองคนนี้ล้วนโดดเด่นไม่น้อยกว่าคนรุ่นเดียวกันในตระกูลเรา”
พวกคนใหญ่คนโตที่อยู่ข้างกายก็กำลังสังเกตหลินฝานกับซูไป๋ที่กำลังสลบไสลไม่ได้สติเช่นกัน สายตากำเริบเสิบสานราวกับสำรวจเหยื่อ
“ผู้นำตระกูลพาพวกเรามากลางดึก คงไม่ใช่เพื่อวิจารณ์พรสวรรค์ของเจ้าตัวจ้อยสองคนนี้กระมัง” มีคนกล่าวยิ้มๆ
คนผู้นี้สวมชุดเขียว หนวดเคราโบกพลิ้ว มีนามว่าจี้ฉางซาน เป็นขั้นล่วงกฎสัมบูรณ์คนหนึ่ง
“แน่นอนว่าไม่ใช่”
จี้ป๋อเหวินยิ้ม “มีตัวประกันสองคนนี้ในมือ รวมกับฝีมือของผู้อาวุโสกุยเจิน ย่อมพาหลินสวินนั่นมาอาณาเขตของพวกเราได้”
เขาเว้นช่วงไปแล้วกล่าวต่อ “ส่วนที่พาทุกท่านมายามนี้เพราะมีเรื่องหนึ่งต้องทำ”
“เชิญผู้นำตระกูลชี้แจง” จี้ฉางซานกล่าว
จี้ป๋อเหวินแววตาวาบวาว “เมื่อวานเฒ่าชราบางส่วนของตระกูลเกาหยางและตระกูลเจียงพากันมาเยือน เพื่อแบ่งศุภโชคบนร่างหลินสวินกับพวกเรา นัยเร้นลับที่ควบคุมเมืองเทพศุภโชคอาจจะแบ่งได้ ทว่าเรือนิรันดร์กลับมีเพียงชิ้นเดียว”
นัยน์ตาพวกคนใหญ่คนโตพลันเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก
“ผู้นำตระกูลคิดจะเตรียมการบางอย่างล่วงหน้าหรือ”
หญิงชราผมเงินทั้งศีรษะ ท่าทางกระฉับกระเฉงคนหนึ่งเอ่ยปาก นางมีนามว่าจี้ฉางอวิ๋น มีมรรควิถีขั้นล่วงกฎสัมบูรณ์
“ไม่ผิด”
สายตาจี้ป๋อเหวินมองไปทางหลินฝาน “บนร่างเด็กนี่มีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน ทุกท่านล้วนรู้ชัด ในข่าวลือมีเพียงพลังพรสวรรค์เช่นนี้ถึงจะควบคุมนัยเร้นลับทั้งหมดในเรือนิรันดร์ได้”
“ข้าเข้าใจแล้ว ผู้อาวุโสคิดจะชิงพลังพรสวรรค์บนร่างเจ้านี่มา ก่อนที่กำลังพลของตระกูลเกาหยางและตระกูลเจียงจะมาถึง”
จี้ฉางอวิ๋นเอ่ยหัวเราะเบาๆ “เช่นนี้ดียิ่ง เช่นนี้ดียิ่งแล้ว”
นางใบหน้านางเมตตา แต่รอยยิ้มนั่นกลับเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงชัดเจนภายใต้แสงโคมไฟ
คนอื่นๆ เองก็หัวเราะออกมาเช่นกัน เข้าใจในทันที
“เอากระดูกกระบี่บนร่างเจ้าหมอนี่มาด้วยเสียเลย”
สายตาจี้ฉางซานมองไปทางซูไป๋ เจือแววร้อนแรง “ต่อให้พรสวรรค์ของเหลนข้าคนนั้นจะแข็งแกร่ง แต่อย่างไรก็เทียบกับกระดูกกระบี่ฟ้าประทานนี่ไม่ได้ หากมีพรสวรรค์เช่นนี้ ไม่เกินหมื่นปี เหลนคนนั้นของข้าต้องครอบครองโอกาสทะลวงระดับนิรันดร์แน่”
“ถ้าตระกูลเกาหยางกับตระกูลเจียงสังเกตเห็นเรื่องนี้แล้วไม่พอใจจะทำอย่างไร”
มีคนกล่าวอย่างลังเล
จี้ป๋อเหวินสีหน้าเรียเฉยกล่าว “ครั้งนี้ใต้เท้าผู้อยู่เบื้องหลังเคราะห์แห่งยุคสมัยผู้นั้นเลือกพวกเราตระกูลจี้เป็น ‘ทูต’ ทั้งมอบรูปปั้นไท่ชูให้ตระกูลจี้ของพวกเรา ต่อให้พวกเขาไม่พอใจก็ทำได้เพียงข่มเอาไว้เท่านั้น”
พวกคนอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
“ทุกท่าน ตั้งแต่อดีตพวกเราตระกูลจี้ต้องผ่านภัยพิบัติมาไม่รู้เท่าไรและอยู่รอดมาถึงปัจจุบัน และตอนนี้โอกาสเปลี่ยนโชคชะตาของตระกูลเราอยู่ตรงหน้า! ขอแค่คว้าไว้ได้ ภายหน้าพวกเราตระกูลจี้อาจจะไม่ต้องถูกพันธนาการในแหล่งสถานศุภโชคนี้อีกต่อไป!”
แววตาจี้ป๋อเหวินวาววาม
คำพูดนี้ล้วนทำให้ความรู้สึกของคนอื่นๆ ปั่นป่วน
ไม่ว่าจะเป็นเรือนิรันดร์หรือนัยเร้นลับควบคุมเมืองเทพศุภโชค ล้วนเรียกได้ว่าเป็นศุภโชคชั้นเลิศ แต่เมื่อเทียบกับโอกาสในการเปลี่ยนโชคชะตาของตระกูลพวกเขา กลับล้วนไม่สำคัญ
ครั้งนี้ขอเพียงพวกเขาทำตามคำสั่งของนายเหนือหัวหลังม่านเคราะห์แห่งยุคสมัยผู้นั้นได้สำเร็จ ตระกูลจี้ของพวกเขาก็ไม่ต้องถูกพันธนาการในแหล่งสถานศุภโชคอีก และสามารถเดินออกจากโลกยุคทวยเทพนี้ได้อย่างแท้จริง!
นี่จึงจะเป็นสิ่งที่พวกเขาเฝ้าฝันที่สุด!
เมื่อสงบจิตใจลงแล้ว สายตาจี้ป๋อเหวินมองไปทางหลินฝานอีกครั้ง “ผู้อาวุโสฉางอวิ๋น ขอเชิญท่านลงมือด้วย นำพรสวรรค์หุบเหวกลืนกินบนร่างเจ้านี่ออกมา”
จี้ฉางอวิ๋นที่คล่องแคล่วกระปรี้กระเปร่ายิ้มตอบรับ พุ่งไปข้างหน้าโดยไลนแล้วยื่นแขนขวาออกมา นิ้วทั้งห้าที่คมกริบผอมบางดุจกรงเล็บไก่ปักเข้าไปในทรวงอกของหลินฝานโดยพลัน
พรูด!
หลุมโลหิตหลุมหนึ่งปรากฏ เลือดสดๆ สาดกระจาย หลินฝานที่สลบอยู่พลันร้องครวญเจ็บปวด ได้สติขึ้นมาแล้ว
เขามองไปยังเหล่าคนที่อยู่ไกลๆ จากนั้นก้มมองมือที่แทงเข้าหน้าอกตน ใบหน้าหล่อเหลาเปลี่ยนเป็นซีดขาวแล้ว เหงื่อเย็นไหลผุดเต็มหน้าผาก
ความเจ็บปวดรุนแรงประหนึ่งอกแหวกทรมานจิตใจเขาไม่หยุด ทว่าภายใต้ความทรมานอันโหดร้ายและนองเลือดเช่นนี้ สีหน้าเขากลับยังสงบหาใดเปรียบเช่นเดิม
“เด็กดี เจ็บแค่ครู่เดียว รอข้าตัดพลังพรสวรรค์ของเจ้าออกมาเรียบร้อยก็จะช่วยรักษาบาดแผลของเจ้า”
จี้ฉางอวิ๋นหน้าตามีเมตตา ยิ้มแย้มบางๆ น้ำเสียงเองก็อบอุ่นยิ่ง
เพียงแต่การกระทำที่มือของนางกลับเรียกได้ว่าโหดเหี้ยม นิ้วมือปักเข้าไปในหน้าอกหลินฝาน ห้านิ้วปลดปล่อยพลังนิรันดร์อหังการ ทำการตัดแยกชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของหลินฝาน
เลือดสดคล้ายน้ำตกไหลนองออกมาไม่หยุด
“เจ้าเฒ่า มีฝีมืออะไรก็สำแดงออกมาให้หมดเป็นพอ”
เสียงหลินฝานแหบแห้ง กัดฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นเย็นชา “ครั้งนี้ขอเพียงข้าหลินฝานไม่ตาย วันหน้าต้องมาฆ่าพวกเจ้าทุกคน!!”
“เหอะๆ ทุกท่านดูเอาเถิด เดรัจฉานน้อยนี่ยังข่มขู่พวกเราด้วย” จี้ฉางซานที่อยู่ไกลๆ อดขำขึ้นมาไม่ได้
คนอื่นๆ เองก็ล้วนหัวเราะเช่นกัน
การข่มขู่ของผู้อ่อนแอ แต่ไหนแต่ไรล้วนเป็นเสียงร้องแห่งความสิ้นหวังก็เท่านั้น
คนโง่เท่านั้นถึงจะใส่ใจ
“เกรงว่าเด็กน้อยนี่จะไม่รู้ว่าบิดาของเขาก็ประสบเคราะห์ไปแล้วเช่นกัน โลกหล้านี้ใครจะยังช่วยเขาได้อีก”
มีคนกล่าวเนิบๆ
“อะไรนะ ท่านพ่อก็ประสบเคราะห์ไปแล้ว” ในใจหลินฝานพลันสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีแล้ว
เขาที่แม้จะเจ็บปวดและทรมานเพียงใดก็ยังไม่ขมวดคิ้ว กลับไม่อาจไม่สนใจความเป็นความตายของบิดาตนได้ “คงไม่ใช่เป็นพวกเจ้าทำร้ายท่านพ่อข้ากระมัง… ต้องเป็นเช่นนี้แน่ พวกเจ้าจับข้าไม่ใช่เพื่อจะจัดการกับท่านพ่อหรือ”
ชั่วขณะหนึ่งนัยน์ตาหลินฝานเต็มไปด้วยเลือด ใบหน้าหล่อเหลาล้วนเปลี่ยนเป็นดุดันหาใดเปรียบ ตะโกนลั่น “ท่านพ่อข้าไม่มีทางประสบเคราะห์แน่นอน!!!”
เสียงตะโกนนั้นราวกับเสียงคำรามของสัตว์ป่า เต็มไปด้วยความกราดเกรี้ยว
เพียงแต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นเสียงหัวเราะเฉยชาระลอกหนึ่ง ไม่มีใครใส่ใจเรื่องนี้
ที่นี่คือที่ไหน
เขตแดนมหาวัฏจักรของโลกยุคทวยเทพ!
เป็นเขาเทพเฟิ่งฉีที่อยู่ของพวกเขาตระกูลจี้!
อย่าว่าแต่หลินสวิน หากเปลี่ยนเป็นระดับนิรันดร์คนอื่นก็ไม่ต่างอะไรกับมารนหาที่ตาย
“อืม ช่างเถอะ ให้ข้าเอากระดูกกระบี่ของเจ้านี่ไปแล้วกัน” จี้ฉางซานทนไม่ไหวอีกต่อไป พุ่งตัวมาเบื้องหน้าซูไป๋แล้วกรีดนิ้ววาดลงไปเบาๆ
ซูไป๋พลันถูกผ่าท้อง!
ซ่า…
เลือดสดๆ ไหลทะลักปานน้ำตก ภายใต้ความเจ็บปวดรุนแรง ซูไป๋ก็ได้สติขึ้นมาเช่นกัน เขามองจี้ฉางซานที่อยู่ตรงหน้ากับพวกจี้ป๋อเหวินที่อยู่ไกลออกไปก็พลันเข้าใจสถานการณ์ของตนแล้ว บนใบหน้าเย็นชาเต็มไปด้วยไอสังหาร
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาไม่ปริปากสักคำ ทว่าความเย็นเยียบในแววตากลับทำให้ระดับนิรันดร์ยังล้วนรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง
“มองอะไร ถ้ามองอีกข้าจะควักลูกตาเจ้า!”
เพียะ!
จี้ฉางซานอับอายจนพาลโกรธ ฟาดฝ่ามือใส่หน้าซูไป๋ทันที
การตบที่ปวดแสบปวดร้อนนั่นยังไม่อาจสร้างคลื่นอารมณ์ใดๆ ให้ซูไป๋ได้ เขาจ้องจี้ฉางซาน นัยน์ตาเต็มไปด้วยความเฉยเมย
“ศิษย์พี่ซูไป๋ คิดไม่ถึงว่าท่านก็ถูกสารเลวพวกนี้จับมาด้วย…”
เสียงแหบแห้งของหลินฝานดังมาจากด้านข้าง
ซูไป๋สะท้านไปทั้งร่าง มองไปยังหลินฝานที่อยู่ด้านข้างและถูกพันธนาการบนเสาหินสีดำเหมือนตนอย่างยากจะเชื่อ สีหน้าที่เดิมทีเย็นชาไร้คลื่นอารมณ์ก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “หลินฝาน เป็นเจ้าได้อย่างไร!”
สิ่งที่เขามองเห็นคือหน้าอกของหลินฝานถูกฝ่ามือจี้ฉางอวิ๋นแทงทะลุ เลือดไหลลงมาไม่หยุด ภาพเหี้ยมโหดนองเลือดนั่นกระตุ้นจนเขาเดือดดาล ตวาดลั่น “ปล่อยเขาไป แล้วข้าจะให้พวกเจ้าจัดการได้ตามใจ!”
ในน้ำเสียงเผยแววร้อนรน
เขาไม่กลัวตาย แต่กลับไม่อาจมองดูลูกของอาจารย์ถูกทรมานจนกลายเป็นเช่นนี้ได้ตาปริบๆ
“เหอะๆ เจ้านับเป็ฯตัวอะไร เทียบกับเด็กนี่ได้หรือ”
จี้ฉางซานเหยียดหยาม
“ศิษย์พี่ซูไป๋ อย่าพูดไร้สาระกับเดรัจฉานเฒ่าพวกนี้เลย พวกเขาไม่กล้าสู้กับท่านพ่อข้าซึ่งๆ หน้า ทำได้แค่ใช้อุบายต่ำช้าไร้ยางอายเช่นนี้มาทรมานพวกเรา”
เสียงหลินฝานแหบพร่า ทั่วร่างสั่นเทิ้มรุนแรง เขารู้สึกว่าชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดกำลังถูกตัดชิงไปทีละนิด ความเจ็บปวดเสียดแทงใจนั่นทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือดหาใดเปรียบ
จี้ป๋อเหวินส่งเสียงหยันเย็นชา “ปิดปากพวกเขาซะ จะได้ไม่ระคายหูพวกเรา”
“ดี”
จี้ฉางอวิ๋นกับจี้ฉางซานต่างยิ้มขานรับ
ก้เป็นตอนนี้…
ไอสังหารเย็นเยียบเสียดกระดูกราวกับคมดาบอุบัติขึ้น ทำเอาจี้ฉางอวิ๋นกับจี้ฉางซานแข็งทื่อไปทั้งร่าง สีหน้าล้วนเปลี่ยนไป
ที่นี่เป็นเขตผนึกของตระกูลจี้ของพวกเขา จี้ฉางอวิ๋นและจี้ฉางซานจึงไม่ได้ระแวดระวังใดๆ เห็นได้ชัดว่าผ่อนคลายยิ่ง
ใครจะคิดว่าจะเกิดอันตรายขึ้นในบ้านของตนได้
ทว่าไอสังหารนี้มาอย่างรวดเร็ว คล้ายว่าปรากฏขึ้นกลางอากาศ พริบตาเดียวก็จับจ้องมาที่พวกเขา!
แย่แล้ว!
เฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นล่วงกฎสองคนนี้หลบหนีด้วยพลังทั้งหมดอย่างแทบจะเป็นไปตามสัญชาตญาณ ความเร็วของการตอบสนองเรียกได้ว่าน่าตกตะลึง
ตูม!
ในตอนที่ร่างพวกเขาออกไปจากจุดเดิม เงาร่างสองสายก็แยกกันปรากฏอยู่เบื้องหน้าหลินฝานกับซูไป๋แล้ว
ย่อมเป็นร่างต้นและกายมรรคไม้เขียวของหลินสวิน
เหตุการณ์กะทันหันนี้ทำให้พวกจี้ป๋อเหวินทั้งหมดล้วนไม่ทันตั้งตัว แต่ละคนหน้าเปลี่ยนสี
“เป็นไปได้อย่างไร”
“สมควรตาย! มีคนบุกเข้ามาได้อย่างไร”
“นี่…”
ในที่นั้นล้วนลนลาน พวกจี้ป๋อเหวินต่างรับมือไม่ทันอยู่บ้าง
ที่นี่คือเขาเทพเฟิ่งฉี
เป็นเขตผนึกของตระกูลพวกเขา!
ปกคลุมด้วยพลังระเบียบระดับเทพไม่ใช่แค่หนึ่งชนิด ใครจะกล้าจินตนาการว่าภายใต้ความมืดยามราตรีเช่นนี้กลับมีคนลอบเข้ามาอย่างไร้สุ้มเสียง ทั้งยังบุกเข้ามาอย่างไม่คาดคิดเช่นนี้
นี่กะทันหันเกินไป ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึง ถึงขั้นล้วนตกตะลึง
“ท่านพ่อ!”
“อาจารย์!”
และในเวลาเดียวกันนี้ หลินฝานกับซูไป๋เบิกตาโต มองเงาร่างสูงสง่าที่คุ้นเคยนั้นซึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าอย่างยากจะเชื่อ รู้สึกประหนึ่งเหมือนฝันไป