Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 305
‘ตอนนี้ศัตรูน่าจะยังไม่รู้ตัวกระมัง’ หลินสวินคิดในใจ เหตุการณ์หลังจากมาถึงเมืองมังกรเหลืองเป็นไปตามที่ตัวเองคาดเอาไว้
เริ่มต้นจากใช้ลู่เซ่าอวิ๋นมาบังหน้า เพื่อดึงดูดความสนใจศัตรู จากนั้นแอบเข้าไปในภาคีนักสลักวิญญาณ ใช้เวลาสี่วันถ้วนทะลุปราณขั้นผสานดินอย่างราบรื่น จนตอนนี้ใช้วิชาแปลงกายอย่างง่ายออกจากเมืองมังกรเหลือง หลินสวินรู้สึกแน่ชัดว่าพวกที่ติดตามเขาราวกับเห็บนั้นไม่ได้ปรากฏให้เห็น
‘หากสามารถออกจากเขตแดนเมืองมังกรเหลืองได้อย่างราบรื่น เกรงว่าหลังจากนี้หากศัตรูจะล้อมวงตนเองอย่างเมื่อก่อน ก็คงจะมีโอกาสอีกไม่มากแล้ว’
หลินสวินเคยศึกษาเส้นทางมาแล้ว จึงรู้ดีว่าเส้นทางจากเมืองมังกรเหลืองไปยังนครต้องห้าม มีกองทัพต้องห้ามคุ้มกันอยู่มากมาย และระหว่างทางยังมีกำแพงเมืองสวยงามกระจายตัวตั้งอยู่ ซึ่งมีความเป็นไปได้น้อยมากที่ศัตรูจะจัดการตนเองโดยไม่ส่งผลกระทบอย่างอื่น
กระนั้นหลินสวินก็ไม่กล้าประมาท ตามข้อมูลที่เขาถามได้ความว่า ผู้ที่ต่อกรกับตัวเองในครั้งคือผู้ฝึกปราณยอดฝีมือถึงสามพันคน!
พูดอีกอย่างก็คือ ผู้ฝึกปราณที่เขาสังหารร้อยกว่าคนมาตลอดทางนั้นเป็น เพียงส่วนน้อยๆ ส่วนหนึ่งเพียงเท่านั้น
ตามคาดการณ์แล้ว อันตรายที่แท้จริงอยู่บนเส้นทางระหว่างนี้ไปต่างหาก!
…
ตอนที่ออกจากเมืองมังกรเหลืองได้เกือบสิบลี้ คนเดินถนนก็เริ่มบางตาลงเรื่อยๆ เพราะส่วนมากจะโดยสารรถลากหรือรถรับส่งรอยสลักวิญญาณในการเดินทางออกจากเมือง ที่เดินเท้าอย่างหลินสวินเกือบทุกคนล้วนเป็นคนธรรมดา มีเพียงน้อยนิดที่เป็นผู้ฝึกปราณเช่นกันกับเขา
“เอ๋ ข้างหน้าเกิดอะไรขึ้น”
“เป็นด่านที่พวกผู้ฝึกปราณตั้งไว้ หากต้องการจะผ่านออกไป ต้องได้รับการตรวจค้นจากพวกเขา”
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้เล่า หรือเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้นอีกแล้ว”
เสียงเซ็งแซ่มาข้างหน้าพลันดึงดูดความสนใจของหลินสวิน เขาใจกระตุก ในภาพนิมิตสัมผัสได้ถึงมวลพลังมากมายกระจายเอ่อไหลปานน้ำนอง ทันใดนั้นเขากระจายสัมผัสรับรู้จนถึงระยะพันจั้ง จึงเห็นว่ามีผู้ฝึกปราณชุดดำกว่า ห้าสิบคน ในมือถืออาวุธวิญญาณหลายชนิดยืนอยู่สองฝั่งทางของถนน ด้านหน้าของผู้ฝึกปราณเหล่านี้มีแถวยาวเฟื้อยของเหล่าผู้คน ที่ต้องผ่านการตรวจค้นจากพวกเขาถึงจะผ่านออกไปได้
หลินสวินมองนิ่ง ศัตรูรู้ตัวไวยิ่งนัก!
เขาหันไปรอบๆ พบว่าในป่าทึบทั้งสองฝั่งมีกลิ่นลมหายใจแอบแฝงอยู่ ชัดเจนว่าหากอยากหลีกเลี่ยงเส้นทางเข้าไปในป่านั้นทำไม่ได้เลย
ครั้นเงยหน้าขึ้นมองบนฟ้าสูงกว่าหมื่นจั้ง เด็กหนุ่มพบว่ามีจุดสีดำลอยอยู่
นั่นคือเหยี่ยวสอดแนม!
ครั้งที่เขาถูกล้อมวงสังหารก่อนหน้านี้ หลินสวินรับรู้การมีอยู่ของเหยี่ยวสอดแนมมากกว่าหนึ่งครั้ง รู้ว่านี่คือสัตว์ที่ได้รับการฝึกมาอย่างหนัก มีความสามารถในการสำรวจอันน่าครั่นคร้ามนัก
‘ดูท่าศัตรูคงจะปิดเส้นทางข้างหน้าไว้หมดแล้ว’ หลินสวินขมวดคิ้วสรุปสถานการณ์ในทันที เดิมทีเขาคิดว่าหลังจากปลอมตัวแล้วจะสามารถปะปนไปกับคนอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงศัตรูได้ แต่เห็นได้ชัดว่าทำอย่างนั้นไม่ได้แล้ว
จะทำอย่างไรดี เข้าไปในป่าเผชิญหน้ากับศัตรูเพื่อหาทางเอาตัวรอด หรือว่าจะฝ่าด่านตรงหน้าออกไปเลย ตอนนี้หลินสวินไม่แน่ใจว่าศัตรูจัดวางกลศึกไว้มากแค่ไหนจึงต้องระวังตัวให้ดี
ในขณะนั้น มีเสียงรีบร้อนดังมาจากด้านหลัง ไม่ต้องหันกลับไปหลินสวินก็รู้ว่ามีกลุ่มผู้ฝึกปราณชุดดำกำลังตรงเข้ามาทางนี้
‘หรือว่าถูกพบเข้าแล้ว’ หลินสวินคิดในใจ พลางปะปนอยู่กับคนธรรมดาเพื่อมองดูเหตุการณ์ เขาต้องการเวลาเพื่อประเมินสถานการณ์เสียก่อน
ผู้คนพากันถอยหนีหลบไปชิดริมถนนเมื่อเหล่าผู้ฝึกปราณชุดดำกรูเข้ามา “ช้าก่อน”
เหล่าผู้ฝึกปราณตรงไปที่กลุ่มคน ทันใดนั้นชายผิวขาวซีด นัยน์ตาปูดเส้นเลือดที่นำขบวนอยู่ข้างหน้าก็หยุดเดิน จากนั้นผู้ฝึกปราณข้างหลังเขาจึงหยุดลงด้วย
ชายผู้นำขบวนมีนัยน์ตาปูดเลือดสีแดงก่ำปราดตามองกลุ่มคนที่ยืนอยู่ ในขณะเดียวกันก็ใช้จมูกสูดดมอากาศคล้ายกำลังดมหากลิ่นบางอย่าง
ผู้ฝึกปราณที่เต็มไปด้วยไอสังหารและชายนัยน์ตาสีแดงท่าทางประหลาดทำเอาเหล่าคนธรรมดาหวาดกลัวทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายผู้นำขบวนหยุดสายตาไว้ที่หลินสวิน นัยน์ตาสีเลือดสว่างวาบ ก่อนจะเอ่ย “เป้าหมาย…”
ทว่าเพิ่งเปล่งเสียงออกไป เสียงฟึบหนึ่งและแสงวาบจากหน้าไม้ก็ลอยทะลุอากาศพุ่งไปทางชายผู้นำขบวนคนนั้นอย่างรุนแรง
กระนั้นก็ยังผิดคาด เมื่อชายคนนั้นร้องเสียงประหลาด เบี่ยงกายหลบหายไปดังค้างคาว
ฉึก!
ลูกดอกหน้าไม้ปักลงจมพื้นหายวับไปดังไรฝุ่นในที่สุด
หลินสวินแปลกใจที่ชายผู้นำขบวนหลบการโจมตีของตัวเองได้ แต่เขาไม่ได้หยุดใคร่ครวญนานนัก ก่อนจะหายตัววิ่งเข้าไปในป่าทึบ
“จะหนีไปไหน!”
“เป้าหมายปรากฏตัวแล้ว รีบตามไป!”
“ส่งสัญญาณบอกทุกคนให้เตรียมพร้อมสู้!”
รอบบริเวณวุ่นวายขึ้นมาในทันใด คนธรรมดาแถวนั้นหวีดร้องหวาดกลัวกับการต่อสู้ที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วพากันวิ่งหลบหนี แต่ไม่มีใครสนใจชีวิตของพวกเขา
ในยามที่เจอตัวหลินสวิน กลุ่มผู้ฝึกปราณชุดดำต่างก็เฮโลเข้าไปจัดการเขา ในขณะเดียวกัน ศัตรูที่ซ่อนตัวอยู่บริเวณนั้นก็รู้ตัว เริ่มส่งสัญญาณลงมือปฏิบัติภารกิจ
“จัดการมัน!”
ผู้ฝึกปราณชุดดำเจ็ดคนกรูเข้ามาขวางทางหนีของหลินสวินเอาไว้ ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ชายตามอง เขาตวัดกระบี่ออกไป ทันใดนั้นคล้ายกับมีความมืดมิดพุ่งพวยออกมาจากขุมนรก สะเทือนถึงวิญญาณ
ฉึก! ฉีก! ฉึก!
ผู้ฝึกปราณชุดดำทั้งเจ็ดถูกสังหารด้วยดาบเดียวตายลงในพริบตานั้น ทำเอาเลือดนองฉานไปทั่วทั้งบริเวณ
หลินสวินจะใช้โอกาสนี้หลบหนีเข้าไปในป่า เขาพลันหรี่ตาหยุดฝีเท้าทันทีเมื่อสัมผัสรับรู้พบว่าในป่าลึกนั้นมีคนไม่ต่ำกว่าร้อยกำลังมุ่งหน้าเข้ามา!
‘เหตุใดถึงเยอะขนาดนี้’ หลินสวินรำพึงด้วยความตกใจ ชั่วเวลาหนึ่งหยุดนั้นรอบกายของเขาทั้งสี่ทิศก็มีเงาของศัตรูกรูเข้ามา และมีผู้ฝึกปราณอีกจำนวนมากพุ่งมาจากหลากหลายทิศทาง
“จัดการมัน!”
“เป้าหมายอยู่ตรงนี้!” เสียงตระโกนกระหึ่มก้องทั่วบริเวณ เพิ่มบรรยากาศกดดันอย่างยิ่งยวด
‘นี่ไม่ใช่กลศึกของสวี่เชียนจิ้ง มันโหดร้ายและหยาบกระด้างเกินไป…’ นัยน์ตาสีดำคู่นั้นประกายเย็นเยือกวาบหนึ่ง รวมรวมสมาธิสงบนิ่ง พลังที่เพิ่งข้ามระดับผสานดินในกายของเขาปะทุออกมาดังภูเขาไฟระเบิดนั้น เพิ่มถึงระดับสูงสุดในทันที ทำให้เขามีแสงสีเขียวฟ้าเปล่งประกายอยู่รอบตัวคล้ายว่าเขาเป็นเทพเซียน
ฮูม
ดาบเวทเรืองแสงโบราณสีดำที่อยู่ในมือก็เรียกกระแสลับปลดปล่อยไออันตรายน่ากลัวออกมา ดังสัตว์บรรพกาลกระหายเลือดที่เพิ่งตื่นจากการหลับใหล
“จัดการมัน!”
“จัดการมัน!”
“จัดการมัน!”
ศัตรูล้อมเข้ามาจากรอบด้านล้วนเต็มไปด้วยกลิ่นไอสังหาร ปฏิบัติล้อมวงที่ล้มเหลวเมื่อหลายวันก่อนได้ยืนยันแล้วว่าเป้าหมายในครั้งนี้น่ากลัวเพียงใด แม้พวกเขาจะมีจำนวนคนที่มากกว่าแต่ก็ยังไม่กล้าวางใจ ในทางกลับกัน ทุกคนที่อยู่ตรงนี้ได้ใช้ที่พลังแข็งแกร่งที่สุดของตัวเองแล้ว
ฉับพลันนั้น พื้นที่บริเวณนี้ก็เต็มไปด้วยแสงวิญญาณหลากสีฟาดฟัน เคล็ดวิชาการต่อสู้มากมายถูกนำมาใช้ เสียงกระทบกระทั่งสะท้านปานสายฟ้าถล่ม
ผู้ฝึกปราณยอดฝีมือกว่าร้อยพันคนไม่มีใครมีปราณต่ำกว่าขั้นผสานใจ และยิ่งไม่ขาดแคลนคนเก่งจากขั้นผสานดินหรือขั้นผสานฟ้า ในยามที่พวกเขาลงมือพร้อมกันยิ่งราวกับกองทัพกล้าหาญไร้เทียมทานพอจะจัดการนายทหารนับพันให้ราบเป็นหน้ากลอง!
น่าสลดใจที่สุดก็คือ การถูกล้อมวงเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะหนีรอดออกไปได้เลย!
หากเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น เกรงว่าจะถูกความน่ากลัวเช่นนี้ข่มขวัญหวาดหวั่นได้แต่นั่งรอความตายแล้ว แต่ว่า…หลินสวินที่ตกอยู่ในวงล้อมเพียงยิ้มเย็น ไม่หลบหลีก ไม่เกรงกลัว ท่าทีนิ่งสงบเฉยชา ดาบเวทเรืองแสงในมือที่ส่งเสียงเรียกมานานนั้นทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า
ตู้ม!
เสียงกระหึ่มตามมาด้วยเสียงร้องขานของสรรพสัตว์ ทั่วบริเวณดังตกอยู่ในห้วงรัตติกาล ดวงดาวที่ร่วงหล่นส่องแสงประกายเจิดจรัส หลินสวินไม่ลังเลที่จะใช้วิชาที่ร้ายกาจที่สุด!
กระบวนท่าคว้าดารา!
ศัตรูที่รุมล้อมเข้ามาต่างมึนงง ตกอยู่ในความหวาดกลัว ทั้งร่างคล้ายกับจมดิ่งในห้วงความมืดมิดไร้ซึ่งทางออก
นี่คือความน่าสะพรึงของพลังวิชา ยิ่งเคล็ดวิชาโบราณเท่าไร พลังที่แสดงออกมายิ่งน่ากลัวเท่านั้น ท่าคว้าดาราเป็นหนึ่งในสามของกระบวนท่าในเพลงดาบวัฏจักรฟ้าจากห้องโถงมรรคาซึ่งเดิมทีมีที่มาลึกลับยิ่ง หลินสวินผ่านการฝึกฝนความเป็นตายจากด่านสมรภูมิร้อยศึกจนฝึกกระบวนท่าคว้าดาราถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว
พลังจากการใช้กระบวนท่าคว้าดาราในครั้งนี้มีความน่าเกรงขามและทำให้ผู้คนหวาดกลัวได้มากขึ้น แตกต่างไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง หลังจากที่หลินสวินมีปราณขั้นผสานดินแล้ว พลังของเขามากขึ้นกว่าวันวานจนเทียบกันไม่ติด
ฟิ้ว! ฟิ้ว! ฟิ้ว!
เพียงหนึ่งดาบที่ฟาดลง เปรียบดังรัตติกาลมาเยือน ดวงดาวมากมายร่วงหล่นลงมาพุ่งไปยังผู้ฝึกปราณนับร้อยคนที่นิ่งค้างไปพร้อมกันคล้ายรูปปั้นที่ถูกกำหนดไว้ พลันร่างของเหล่าผู้ฝึกปราณต่างปริแตก เลือดเนื้อสาดกระเซ็นย้อมทั่วทั้งบริเวณเป็นสีแดงฉาน
พื้นดินตรงหน้าหลินสวินแตกระแหงยาวกว่าหนึ่งร้อยจั้ง ลึกเกินหยั่งเห็น คล้ายหุบเหวทอดลงไปสู่นรกภูมิ