Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 307
บึ้ม!
ปลายกระบี่แหลมคมตวัดแกว่งไปรอบสารทิศ เลือดสาดกระเซ็นนองฉานชวนตกใจ
หลินสวินบุกฆ่าโดยไม่ถอยหลัง ไม่เคยเปลี่ยนทิศทางด้วยเป้าหมายง่ายๆ เป้าหมายของเขาเรียบง่ายมาก นั่นคือการขึ้นไปบนยอดเขา ไม่ใช่เพราะกลัว แต่สู้มาถึงตอนนี้แล้ว เด็กหนุ่มคะเนได้ว่าครั้งนี้ศัตรูใช้กำลังทั้งหมดเพื่อที่จะสังหารตนที่นอกเมืองมังกรเหลืองแห่งนี้!
ในสถานการณ์เช่นนี้ หลินสวินไม่กล้าต่อสู้อย่างรุนแรง เขาอาจเหนือกว่าฝ่ายศัตรูในเวลาอันสั้น แต่เมื่อเวลานานไปจะสูญเสียพลังกายเป็นอย่างมาก หากถูกโจมตีในยามอ่อนแอคงจะไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงต้องฝ่าวงล้อมออกไปก่อน แล้วค่อยตัดสินใจอีกครั้ง ทำเช่นนี้แล้วประหยัดแรงกายได้มากที่สุด
ใต้เท้าของหลินสวินมีร่างไร้วิญญาณมากมาย ดังเขาเป็นเทพสังหารที่เดินอยู่บนกองศพ เขาเจ้ามาถึงป่าลึกเกือบจะฝ่าวงล้อมศัตรูออกมาได้แล้ว
ทันใดนั้นเอง บนฟากฟ้ามีเสียงกระหึ่มดัง เห็นได้ชัดว่าบนโพ้นฟ้านั้นมีเรือที่ยาวกว่าร้อยจั้ง คล้ายสัตว์ขนาดใหญ่อย่างเรือรบวีรชนม่วงเคลื่อนที่อยู่บนกลุ่มเมฆตรงมายังทางนี้
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย เรือรบวีรชนม่วงที่สามารถสังหารผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ถึงห้าลำเชียวนะ!
เด็กหนุ่มคำรามก่อนรีบฝ่าวงล้อมออกไปไม่กดพลังตัวเองเอาไว้อีก ทั้งร่างเต็มไปด้วยพลังน่ากลัวกว่าเมื่อครู่
เขาเป็นคนออกแบบเรือรบวีรชนม่วงแบบใหม่นี้เองกับมือ จึงทราบดีว่าพลังของมันน่ากลัวเพียงใด หากมีเพียงลำเดียวเขายังพอมีวิธีจัดการได้ แต่ตอนนี้มีอยู่ถึงห้าลำ นั่นเท่ากับเขาว่ากำลังเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรปราณวิญญาณห้าคน
ไม่ต้องพูดถึงว่าจะจัดการอย่างไร แม้แต่จะหนีเอาตัวรอดยังอันตรายจนถึงชีวิตได้เลย ที่หนักหนาไปกว่านั้น เรือรบวีรชนม่วงยามเหาะแล่นบนฟ้าด้วยความเร็วสูงมาก หากถูกพวกมันไล่ตามทัน และด้วยพลังโจมตีของของปืนใหญ่สลักวิญญาณที่ครอบคลุมอย่างดีเยี่ยมแล้ว ผลลัพธ์เลวร้ายยากจะจินตนาการทีเดียว!
เดิมทีหลินสวินยังคิดว่าศัตรูจะไม่ส่งยอดฝีมือที่มีปราณสูงกว่าระดับจิตผสานวิญญาณมาจัดการเขา แต่เมื่อเห็นเรือรบวีรชนม่วงทั้งห้าลำ เขาก็รู้ว่าความคิดของตัวเองช่างไร้เดียงสายิ่งนัก
ถูกต้อง ฝ่ายศัตรูไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับปราณสูงกว่าระดับจิตผสานวิญญาณมาเลยสักคน แต่เรือรบวีรชนม่วงห้าลำนั้นเป็นอาวุธที่สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณได้ หากเพียงควบคุมได้ดีก็ไม่ต่างไปจากการมีผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณโดยสิ้นเชิง
รังแกกันเกินไปแล้ว! ในยามนี้ความเกลียดแค้นในใจที่ถูกกดเอาไว้มานานกลับลุกฮือขึ้นใหม่ ชังพวกคนที่กีดกันเขาไม่ให้เข้าไปในนครต้องห้ามพวกนั้น
ความจริงที่โหดร้ายไม่ได้ทำให้หลินสวินเสียสติ เขารู้ดีว่าครั้งนี้ตัวเองจะเอาชีวิตรอดได้หรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมของตัวเองแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่ตัวเองยังทำได้คือหนี!
จะถูกเรือรบวีชนม่วงล้อมจากบนฟ้าไม่ไม่ได้เด็ดขาด!
…
หลินสวินคล้ายอสูรร้ายที่ถูกบีบจนอับจนหนทาง เด็กหนุ่มบุกไปข้างหน้าด้วยความบ้าระห่ำ พลางเหยียบย่ำอยู่บนกองศพมากมาย
ฮูม
เสียงหืดหาดจากเขาสัตว์แว่วมาจากที่ไกล พลันหวินสวินถึงได้พบว่าศัตรูที่ล้อมตัวเองอยู่คล้ายได้รับการแจ้งเตือนบางอย่าง และไม่ได้เข้ามาโจมตีเขาอีก ทว่าพากันหลบออกไป ชัดเจนว่าเสียงที่ดังขึ้นนั้นเป็นสัญญาณเรียกกลับทัพ
หลินสวินใจกระตุก ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าศัตรูกลัวการโจมตีจากเรือรบวีรชนม่วงจะทำร้ายพรรคพวกของตนพี่อยู่บนพื้น
ในความเป็นจริง อาวุธสังหารอย่างเรือรบวีรชนม่วงจะถูกใช้เป็นแนวหน้าในการศึกใหญ่เพื่อใช้โจมตีศัตรู ที่นำออกมาใช้จัดการกับเป้าหมายคนเดียวอย่างเช่นตอนนี้นั้นแทบจะพบได้ยาก
‘หากข้าคลุกวงอยู่กับพวกเขา เรือรบวีรชนม่วงบนฟ้านั้นจะกล้าลงมือหรือไม่’ หลินสวินผุดความคิดบ้าระห่ำขึ้นมา
ไม่นานความคิดนั้นก็ถูกความจริงอันโหดร้ายทำลายไป เสียงกระหึ่มจากบนฟ้าตามมาด้วยแสงแวววาวยิงออกมา ทะลุอากาศตรงมาทางหลินสวิน เขารีบวิ่งหลบจากการโจมตีอย่างไม่คิด
แต่ในที่ที่เขาเคยยืนอยู่นั้น ศัตรูที่หนีไม่ทันต่างถูกแสงแวววาวสังหาร โดยไม่ทันแม้จะได้เอ่ยร้องสิ่งใด จนปรากฏรอยหลุมใหญ่กว่าร้อยจั้งมีควันพุ่งพวยอยู่บนพื้นดิน
’โหดเหี้ยมนัก’ หลินสวินสูดลมหายใจ เพื่อสังหารตัวเขา แม้พวกพ้องของตัวเองจะตายก็ไม่สนใจ บ้าไปกันใหญ่แล้ว
จากเหตุการณ์นี้เห็นได้ว่า ศัตรูใช้ภารกิจครั้งนี้เป็นโอกาสตัดสินแพ้ชนะให้ชัดเจน เพื่อชัยชนะแล้วพวกเขาไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น
หนี!
หนี!
หนี!
ความเร็วในการหนีของหลินสวินเพิ่มขึ้นมากในป่าทึบที่ไม่มีศัตรูคอยดัก
เรือรบวีรชนม่วงบนฟ้าที่จับตำแหน่งของหลินสวินไว้แล้วกำลังประชิดเข้ามาเช่นเดียวกัน มันคล้ายเป็นป้อมปราการรบบนฟ้าบินฉวัดเฉวียนไปมา ทำให้คนกดดันและรับรู้ถึงความอันตราย
ยานสำเภาของเสวี่ยจินนั้น เทียบไม่ได้เลยกับอาวุธรบเหล่านี้
หลินสวินเคยถกปัญหาเรื่องเรือรบกับเสวี่ยจินและเหล่าโม่อยู่หลายครั้ง อาวุธสงครามที่สร้างโดยนักสลักวิญญาณพวกนี้ ผู้คนบนโลกล้วนทั้งรักทั้งชัง
รักเพราะมันช่างทรงพลังเหลือคณา เพียงขับมันให้ดีก็สามารถปลดปล่อยพลังที่น่ากลัวออกมาได้
ชังเพราะการปรากฏตัวของอาวุธสงครามชนิดนี้ ทำให้ความสามารถระหว่างผู้ฝึกปราณห่างชั้นออกไป
หากผู้ฝึกปราณขั้นผสานใจควบคุมเรือรบวีรชนได้อย่างคล่องแคล่ว และใช้ปืนใหญ่สลักวิญญาณบนเรือรบได้ ก็สามารถสังหารผู้แข็งแกร่งระดับมหาสมุทรวิญญาณได้
แล้วจะให้ผู้ฝึกปราณไม่ชังได้อย่างไร ในเมื่อผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณสามารถฆ่าผู้ฝึกปราณขั้นผสานใจได้เพียงกระดิกนิ้ว แค่เพราะมีเรือรบก็ทำให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป
สิ่งเดียวที่น่ายินดีก็คือ เรือรบในจักรวรรดิล้วนอยู่ในมือของขุนนางชั้นสูงและกองทัพเท่านั้น ไม่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป แม้ตระกูลมีอำนาจบางตระกูลจะมีอาวุธสงครามเช่นนี้ ทว่ามีอยู่ในจำนวนจำกัด
แน่นอนว่าความจริงแล้วขุนนางและกองทัพของจักรวรรดิแทบจะมาจากตระกูลมีอำนาจเหล่านี้ทั้งสิ้น ในบรรดาพวกเขา มีขุนนางบางคนเป็นขุนนางชั้นสูงในราชสำนัก มีบ้างที่เป็นแม่ทัพในกองทัพ แต่ก็ล้วนมาจากตระกูลมีอำนาจต่างๆ เช่นกัน
นี่เป็นเหตุผลว่าเหตุใดตระกูลมีอำนาจถึงยิ่งใหญ่นัก พวกเขาแสดงถึงผลประโยชน์ของตระกูล ฐานะสูงส่ง มีทรัพยากรของจักรวรรดิอยู่ในการควบคุมมากมาย เช่นนี้จะไม่ให้ยิ่งใหญ่ได้อย่างไร
เหมือนกับเรือรบวีรชนม่วงทั้งหกลำที่ตระกูลฉือใช้ในภารกิจจัดการหลินสวินครั้งนี้ มันเป็นอาวุธสังหารแบบใหม่ล่าสุดที่สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิผลิตออกมา ตระกูลธรรมดาไม่มีทางมีไว้ในครอบครอง
ตอนนี้หนึ่งในเรือรบวีรชนม่วงหกลำเสียหายอย่างหนักไปแล้ว จึงไม่สามารถนำกลับมาใช้ได้อีก ไม่อย่างนั้นสถานการณ์วันนี้คงจะอันตรายมากขึ้นไปอีก
บึ้ม!
เรือรบวีรชนม่วงห้าลำไล่ตามมา พร้อมทั้งโจมตีจากระยะไกล แสงแวววาวหลายสายพุ่งเข้ามาคล้ายดาวหางตกจากฟากฟ้า
ป่าทึบอุดมสมบูรณ์ถูกเผาไหม้เป็นหย่อมๆ บนพื้นเกิดเป็นรอยหลุมขรุขระ ฝุ่นดินตลบคลุ้งอบอวล
’น่ากลัวเกินไปแล้ว!’ หลินสวินขนลุกชัน ในใจมีกลิ่นอายของอันตรายคุกรุ่นขึ้นมา เมื่อครู่เขาหลบอยู่หลายครั้งถึงหวุดหวิดหลบพ้นจากการโจมตีได้ เขาในยามนี้เปรียบดังหนอนบนพื้นดิน และลูกกระสุนพวกนั้นเป็นกับดักจากบนฟ้าที่หมายจะสังหารตัวเขา
สรรพสิ่งบนโลกล้วนไม่จีรัง ก่อนหน้านี้เขายังฝ่ายเข่นฆ่าศัตรู แต่ในยามนี้กลับกลายเป็นฝ่ายต้องหนีเอาชีวิตรอดเสียเอง
เสียงระเบิดดังขึ้นจากเบื้องหลัง ข้างหูยังได้ยินเสียงโจมตีมาจากเรือรบวีรชนม่วงที่อยู่กลางอากาศ หลินสวินไม่กล้าหันหลัง ยิ่งไม่กล้าคิดอะไรมาก เขากลัวว่าหากประมาทไปเพียงนิดเดียว ก็อาจจะถูกไฟจากลูกปืนวิญญาณเผาเป็นจุณ เด็กหนุ่มวิ่งฉิวหลบหลีกไปทางซ้ายบ้างขวาบ้างเพื่อหลบจากการโจมตี
พลังจากการรับรู้วิญญาณทำให้เขารู้ว่าอันตรายเข้ามาใกล้ทุกที กลิ่นไอคร่าชีวิตหนัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ คล้ายคมมีดกำลังจ่อคอที่อันตรายถึงชีวิต
บึ้ม! บึ้ม!
พลังไฟที่ยิงมาจากบนฟ้ารุนแรงสะท้านไปแปดทิศ
หลินสวินหน้าเปลี่ยนสี เมื่อเบี่ยงตัวหลบถึงได้รู้สึกถึงไอความร้อนแผดเผาอยู่ข้างหลัง เด็กหนุ่มตัวกระดอนลอยฟ้าทั่วร่างถูกไฟครอก อวัยวะตันทั้งห้าอวัยวะกลวงทั้งหกเจ็บเหมือนโดนฉีก
เขากัดฟันคำรามในลำคอ ใช้พลังจากแรงสะเทือนนั้นเพิ่มความเร็วในการหลบหนี
ทิวป่าตรงหน้าดูบางตาขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายความว่าอีกไม่นานร่างของเขาก็จะไร้กำบังจากมุมมองบนฟ้า และเมื่อนั้นสถานการณ์คงยิ่งอันตรายมากขึ้น
แต่หลินสวินไม่มีทางเลือก เขาทำได้เพียงวิ่งไปข้างหน้า ไม่รู้ว่าตัวเองอดทนมานานแค่ไหน แต่เขารู้ชัดว่าหากล้มเลิกการหนี แม้ตายก็คงตายอย่างไม่ยินยอม
เสื้อผ้าของหลินสวินขาดวิ่น ผิวข้างหลังถูกเผาเกรียมจนมีเลือดอาบไหล ทั้งร่างคลุกไปด้วยฝุ่นดินแลดูเหนื่อยล้า แต่บนใบหน้าของเขากลับยังมีแววยืนหยัด แม้จะอยู่ในสภาวะอับจนหนทางเช่นนี้ก็ไม่เคยคิดยอมแพ้
เด็กหนุ่มผ่านการฝึกฝนอยู่บนความเป็นความตายมาหลายครั้ง และเคยสัมผัสการเฉียดตายจากดินแดนลี้ลับแห่งสมรภูมิร้อยศึกในทางเดินเมฆาหยกมาแล้ว ทั้งหมดนี้ทำให้เขาไร้ซึ่งความตระหนกและตื่นกลัว กลับกันในใจของเขาสงบนิ่งดั่งแม่น้ำยามฤดูใบไม้ร่วง