Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3133 หนีเตลิด
ตอนที่ 3133 หนีเตลิด
ด่านนภาสองลักษณ์
สร้างอยู่บนทะเลทรายอันกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้นราวกับมหาคีรีสีดำสนิทลูกหนึ่ง สูงถึงหมื่นจั้ง
“เจ้าหลินสวินคนนี้เติบโตกร้าวแกร่ง ฝั่งพวกเขาที่มีเขาเป็นหัวใจหลักกลายเป็นหนึ่งในขุมอำนาจชั้นยอดของโลกบัวชะตาแห่งนี้ไปแล้ว คิดจะกำจัดเขา… ยากดั่งขึ้นสวรรค์”
บนด่านนภาสองลักษณ์ จักรพรรดิเทพข่งอวี่ทอดถอนใจ
ในโลกบัวชะตาแห่งนี้ เฒ่าชรานับร้อยต่างร่วมมือกันจนเกิดเป็นขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ
และในนั้นขุมอำนาจที่อยู่ปลายยอดมีเพียงไม่กี่ฝ่าย
ได้แก่ฝ่ายที่นำโดยตู้เฟิงยุคธรรม ฝ่ายที่นำโดยเวิงซิงไห่ยุคพ่อมด ฝ่ายที่นำโดยกว่านเชียนชิวยุคมรรค ฝ่ายที่นำโดยจอมเทพหวงหลง…
นอกจากนี้ยังมีคนฉายเดี่ยวที่พลังต่อสู้น่ากลัวจนไม่มีใครกล้าหาเรื่องอย่างซู่หวั่นจวิน ฉือเชียนจี อี้อู๋อิ๋น
และไม่ว่าจะเป็นฝ่ายของพวกอิงเทียนเซิง เจียงหมิงสุ่ย จู๋เทียนจวิน หรือจักรพรรดิเทพข่งอวี่ ต่างเรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจชั้นหนึ่งทั้งนั้น
แน่นอนว่าขุมอำนาจชั้นหนึ่งด้วยกันมักจะเลือกเป็นพันธมิตรกัน ดังนั้นจึงมีพลังไปต้านทานขุมอำนาจชั้นยอดอื่นๆ
เช่นในด่านนภาสองลักษณ์แห่งนี้ ฝ่ายของจักรพรรดิเทพข่งอวี่กับเจียงหมิงสุ่ยเลือกเป็นพันธมิตรกัน กำลังพลที่มีก็สามารถต้านทานขุมอำนาจชั้นยอดอื่นได้แล้ว
“ยากดั่งขึ้นสวรรค์หรือ…”
เจียงหมิงสุ่ยสีหน้าอึมครึม
เขาฟังความหมายที่อยู่ในคำพูดของจักรพรรดิเทพข่งอวี่ออก
ถ้าฝ่ายที่นำโดยหลินสวินถูกมองว่าเป็นขุมอำนาจชั้นยอดได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าแทบจะถูกบดขยี้ได้ยากในโลกบัวชะตาแห่งนี้!
“ที่รับมือได้ยากที่สุดก็คือเจ้าหมอนี่แค้นพวกเรายิ่งนัก เกรงว่าต่อไปในโลกบัวชะตาแห่งนี้จะไม่สงบไปพักใหญ่แล้ว”
จักรพรรดิเทพข่งอวี่แววตาไหววูบ “เมื่อวานข้าก็เสนอว่าจะเป็นพันธมิตรกับพวกอิงเทียนเซิง จู๋เทียนจวินต่อไป เช่นนี้อย่างน้อยก็รับประกันได้ว่ายามถูกเจ้าหลินสวินนี่ทวงแค้น พวกเรายังมีโอกาสโต้กลับและสังหารอีกฝ่าย แต่…”
พูดถึงตรงนี้เขาก็ถอนใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้อีกเฮือก
ไม่มีทางที่ขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ จะร่วมมือกันอย่างจริงใจ ด้วยต่างมีความสัมพันธ์เป็นคู่แข่งกันอยู่ โดยเฉพาะยามช่วงชิงแท่นมรรคบัวชะตายิ่งจะมีความขัดแย้งดุเดือดปะทุขึ้น
ในสถานการณ์เช่นนี้ แต่ละฝ่ายย่อมไม่มีทางเห็นพ้องร่วมกันรุกร่วมกันถอย
เช่นนี้เมื่อหลินสวินมาแก้แค้น พวกเขาจึงทำได้เพียงใช้ทุกวิธีไปรับมือ แต่ไม่อาจรวมเป็นกลุ่มก้อนเดียวกันได้
เจียงหมิงสุ่ยเห็นบรรยากาศออกจะอึมครึมจึงยิ้มเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร คราวนี้พวกเราสองขุมอำนาจร่วมมือกัน การเฝ้าด่านนภาสองลักษณ์แห่งนี้ย่อมไม่มีปัญหา”
จักรพรรดิเทพข่งอวี่พ่นลมหายใจขุ่นเฮือกหนึ่ง เอ่ยว่า “ถ้ายืนหยัดได้ถึงยามชิงแท่นมรรคบัวชะตา เช่นนั้นย่อมดีที่สุด แต่ถ้าถึงตอนนั้น…”
สายตาของเขามองที่เจียงหมิงสุ่ย “ข้าไม่หวังว่าจะเกิดการแบ่งแยกอะไรในพันธมิตรของพวกเรา”
เจียงหมิงสุ่ยนัยน์ตาหดรัด ประสานมือเอ่ยว่า “สหายยุทธ์วางใจ ถึงเวลาชิงแท่นมรรคบัวชะตา พวกเราต้องให้ความร่วมมือเต็มกำลัง!”
จักรพรรดิเทพข่งอวี่หัวเราะร่า “มีคำพูดนี้ของเจ้าข้าก็วางใจแล้ว”
ก็ในตอนนี้เอง…
“หัวเราะเบิกบานใจเช่นนี้ หรือจะรู้ว่าวันนี้มีเรื่องน่ายินดีมาเยือนถึงที่”
เสียงหนึ่งแว่วมาจากไกลๆ ชั่วขณะเดียวรอยยิ้มบนใบหน้าจักรพรรดิเทพข่งอวี่แข็งค้างทันที พวกเจียงหมิงสุ่ยกับคนอื่นๆ ก็หน้าเปลี่ยนสีเช่นกัน
ก็เห็นว่าไกลออกไปเงาร่างของพวกหลินสวิน สวินเต้าเยี่ยนกับจอมเทพหลิงหลงกำลังทะยานมาทางนี้
“หลินสวิน!”
“เขาถึงกับมาด่านนภาสองลักษณ์แห่งนี้แล้ว…”
“คราวนี้มีเรื่องสนุกให้ดูแล้ว!”
…รอบๆ บริเวณยังมีเงาร่างสัตว์ประหลาดเฒ่ากระจายตัวอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นพวกหลินสวินมาต่างก็ตกตะลึงยิ่ง จากนั้นเผยสีหน้าตื่นเต้นออกมา
การต่อสู้ที่เกิดขึ้นนอกด่านนภาห้าธาตุเมื่อวานนี้สะเทือนไปทั่วนานแล้ว และตอนนี้หลินสวินก็บุกมาถึงหน้าด่านนภาสองลักษณ์แห่งนี้!
ใครยังจะเดาไม่ออกอีกว่าหลินสวินมาเพื่อแก้แค้น
“บัดซบ!”
เจียงหมิงสุ่ยสีหน้าอึมครึม ตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
เขาคิดจนหัวแตกก็ยังคิดไม่ถึง ว่าการเคลื่อนไหวเพื่อแก้แค้นของหลินสวินจะมาเร็วปานนี้ มิหนำซ้ำยังเลือกพวกเขาเป็นเป้าหมายแรกด้วย!
พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าของพวกเขาสองฝ่ายต่างสีหน้าไม่สู้ดีนัก
“หลินสวิน เมื่อวานเจ้ามีด่านนภาห้าธาตุคุ้มครองถึงไม่กลายเป็นฝ่ายแพ้ แต่ถ้าข่าวที่เจ้าปรากฏตัวที่นี่ตอนนี้กระจายออกไป ไม่กังวลว่าจะถูกปิดล้อมสังหารที่นี่หรือ”
จักรพรรดิเทพข่งอวี่สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง เอ่ยสีหน้าเรียบเฉย
หลินสวินยิ้ม “ข้าคนแซ่หลินเพิ่งมาถึงเจ้าก็ขู่ข้าแบบนี้ หรือเสียความมั่นใจแล้ว”
หากเป็นก่อนหน้านี้ เมื่อเห็นศัตรูอย่างเขาปรากฏตัว พวกจักรพรรดิเทพข่งอวี่คงดีใจเป็นบ้าเป็นหลังไปนานแล้ว
แต่ตอนนี้พวกเขาแต่ละคนกลับสีหน้าย่ำแย่หาใดเทียบ เห็นได้ชัดว่าหลังผ่านการต่อสู้เมื่อวาน เฒ่าชราพวกนี้ต่างถูกเล่นงานจนหวาดหวั่นใจ!
หาไม่แล้วย่อมไม่มีทางเอ่ยถ้อยคำข่มขู่เช่นนี้ออกมาเด็ดขาด
“เสียความมั่นใจหรือ น่าขัน พวกเรามีอะไรมาเสียความมั่นใจ”
จักรพรรดิเทพข่งอวี่ยิ้มเย็นชา “กลับกัน ถ้าด่านนภาห้าธาตุนั่นไม่มีเจ้าหลินสวินดูแลอยู่ เกรงว่าจะรักษาไว้ไม่ได้แล้ว”
“ไม่รู้จริงแล้วยังมาแส่ เรื่องพวกนี้เกี่ยวบ้าอะไรกับเจ้าข่งอวี่”
สวินเต้าเยี่ยนหัวเราะลั่น
สีหน้าจักรพรรดิเทพข่งอวี่อึมครึมลงทันที พูดว่า “จะสู้จนตายตกไปตามกันจริงหรือ”
บรรยากาศอึดอัดหนาวยะเยือกขึ้นมา
กลับพบว่าหลินสวินยื่นมือข้างหนึ่งออกมาเคาะศิลาสังเวียนมหามรรค ‘ตัดสินเป็นตาย’ ผ่านอากาศทันที
นี่ก็คือคำตอบของเขา!
ทุกคนในที่นั้นต่างสะท้านในใจ สูดหายใจไหวหวั่นไม่หยุด
แข็งกร้าว!
แข็งกร้าวเกินไปแล้ว!
เทียบกับการข่มขู่อย่างต่อเนื่องจากจักรพรรดิเทพข่งอวี่ การกระทำนี้ของหลินสวินดูมั่นใจเต็มเปี่ยม โอหังยิ่งยวดอย่างไม่ต้องสงสัย
ไม่ว่าจะเป็นถ้อยคำใดต่างก็ดูอับแสงไร้พลังต่อหน้าการกระทำนี้
และสำหรับพวกจักรพรรดิเทพข่งอวี่ เจียงหมิงสุ่ย การกระทำนี้ของหลินสวินยิ่งเท่ากับฟ้าผ่ากลางวันแสกๆ!
พวกเขาจะคิดได้อย่างไรว่าหลินสวินจะถึงกับรวบรัดเช่นนี้ เลือกประลองตัดสินเป็นตายทันที
ทำอย่างไรดี
พวกจักรพรรดิเทพข่งอวี่ เจียงหมิงสุ่ยทั้งตกใจทั้งโกรธ ต่างมองหน้ากัน
ความแข็งแกร่งของหลินสวิน พวกเขาได้เห็นมาแล้ว ถ้าประลองตัดสินเป็นตาย ในฝ่ายของพวกเขาทั้งสองคงเลือกคนไปต้านทานได้ไม่กี่คน!
แต่ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้พวกเขาถึงขั้นปฏิเสธไม่ได้ด้วยซ้ำ!
ต้องไปรับการท้าสู้
หาไม่แล้วอีกสามสิบลมหายใจ พวกเขาจะถูกขับออกจากด่านนภาสองลักษณ์!
ฮูม!
เกิดคลื่นละอองแสงกฎระเบียบระลอกหนึ่ง ลานประลองเป็นตายปรากฏออกมากลางอากาศ
สายตาทุกคู่ในที่นั้นต่างมองไปยังพวกจักรพรรดิเทพข่งอวี่กับเจียงหมิงสุ่ยซึ่งอยู่บนด่านนภาสองลักษณ์ ต่างกำลังครุ่นคิดอย่างตื่นเต้นว่าสองฝ่ายนี้จะส่งใครออกมาสู้
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
จักรพรรดิเทพข่งอวี่ตะคอกกราดเกรี้ยว “ทุกท่าน คราวนี้ต่อให้ต้องเสียด่านนภาสองลักษณ์นี้ไปก็ต้องกำจัดเจ้าสารเลวนี่ให้ได้!”
“ไม่ผิด แทนที่จะสู้ตัดสินเป็นตายทีละคน ไม่สู้ต่อสู้สุดตัวกับเขาดีกว่า!”
เจียงหมิงสุ่ยก็ไอสังหารเดือดพล่าน
ทุกคนในที่นั้นสะท้านสะเทือน ต่างเผยสีหน้างุนงง
ทิ้งด่านนภาสองลักษณ์!
นี่ไม่ได้หมายความว่ากระทั่งยักษ์ใหญ่อย่างจักรพรรดิเทพข่งอวี่กับเจียงหมิงสุ่ย ยังไม่กล้าประลองตัดสินเป็นตายกับหลินสวินหรือ
หลินสวินก็อึ้งไปเช่นกัน จากนั้นพลันหัวเราะลั่นอย่างอดไม่ได้ “ดูท่าข้าจะประเมินพวกเจ้าสูงไป”
เสียงก้องไปทั่วฟ้าดิน
น้ำเสียงถากถางในคำพูดนั้นกระตุ้นจนใบหน้าชราของพวกจักรพรรดิเทพข่งอวี่และเจียงหมิงสุ่ยร้อนฉ่า ในใจทั้งโกรธทั้งอาย
“ฆ่า!”
ไม่พูดพร่ำทำเพลงสักนิด จักรพรรดิเทพข่งอวี่ตะคอกลั่นครั้งหนึ่ง นำเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่ายุคปราชญ์กระโจนออกมา
แทบจะในขณะเดียวกัน เจียงหมิงสุ่ยก็นำทุกคนในฝ่ายเขาพุ่งโจมตีออกมาเช่นกัน
ตูม!
ฟ้าดินเปลี่ยนสี แสงเทพเปล่งประกายตระการตาสาดส่องทะเลทรายแห่งนี้
สัตว์ประหลาดเฒ่าสองฝ่ายนี้รวมกันมีจำนวนยี่สิบกว่าคน แต่ละคนกลิ่นอายน่าครั่นคร้าม บัดนี้ออกเคลื่อนไหวพร้อมกันก็ราวกับปวงเทพออกศึก
“รีบหนี!”
คนอื่นที่อยู่บริเวณใกล้เคียงเห็นดังนี้ต่างหน้าเปลี่ยนสี พากันหลบไปไกล กลัวแต่จะโดนลูกหลงไปด้วย
สวินเต้าเยี่ยนกับจอมเทพหลิงหลงสบตากัน ต่างเผยสีหน้าเคร่งเครียด ตั้งกระบวนพร้อมสู้
มีแต่หลินสวินที่สุขุมเยือกเย็น แต่ดวงตาลุ่มลึกดุจหุบเหวของเขากลับมีจิตต่อสู้เร่าร้อนจุดประกายอยู่กลายๆ
เทียบกับการต่อสู้แบบหนึ่งต่อหนึ่งแล้ว เขาตั้งตาคอยการต่อสู้ตะลุมบอนแบบนี้มากกว่า!
แต่ว่า…
ครู่ต่อมาหลินสวินก็อึ้งไป
จากนั้นสวินเต้าเยี่ยนและจอมเทพหลิงหลงก็อึ้งค้างเช่นกัน
ถัดมาพวกผู้ชมการต่อสู้ที่หลบออกไปไกลๆ อยู่ก่อนแล้วต่างก็อึ้งงัน
ก็พบว่า…
พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าจากฝ่ายของจักรพรรดิเทพข่งอวี่กับเจียงหมิงสุ่ยที่บุกออกมาอย่างดุดัน หลังจากเพิ่งกระโจนออกมาจากด่านนภาสองลักษณ์ก็เคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศเต็มกำลัง หลบหนีไปไกล…
แต่ละคนต่างหนีไปอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเด็ดขาดฉับไว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ใครจะเชื่อได้
ทั้งใครจะกล้าคิดว่าเพียงเพราะการมาเยือนของหลินสวิน ก็สร้างความตกใจจนทำให้พวกจักรพรรดิเทพข่งอวี่กับเจียงหมิงสุ่ยละทิ้งด่านนภาสองลักษณ์ หนีออกไปอย่างรวดเร็วทันที
แต่ก็เพราะกะทันหันเกินไป ทำให้ยามพวกหลินสวินคิดจะไล่ตามไปก็ไม่ทันแล้ว
“เฒ่าชราพวกนี้… ขนาดความกล้าสักนิดยังไม่มี”
หลินสวินมุมปากกระตุก
เขาคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเรื่องน่าขันเช่นนี้
“ถ้าสู้กันตรงๆ พวกเขาก็จะต้องจ่ายค่าตอบแทนหนักหน่วง แทนที่จะทำเช่นนี้ จากไปเสียให้จบๆ ยังดีกว่า เช่นนี้แล้วต่อให้ขายขี้หน้าไปบ้างก็ยังรักษากำลังพลได้ทั้งหมด”
สวินเต้าเยี่ยนสีหน้าแปลกพิกลเช่นกัน หัวงเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “แต่พวกเขาก็หนีเร็วไปหน่อย…”
“นี่ก็ยุ่งยากแล้ว ถ้าพวกเราจากไปแบบนี้ พวกเขาจะต้องกลับมาที่นี่อีกครั้งเพื่อชิงด่านนภาสองลักษณ์กลับไปอีกแน่ แต่ถ้าพวกเราเฝ้าอยู่ที่นี่ ทางด่านนภาห้าธาตุอาจจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน”
จอมเทพหลิงหลงนิ่วหน้าเอ่ย
หลินสวินพลันกวาดสายตามองไปรอบๆ พูดเสียงกังวานว่า “ทุกท่าน ตอนนี้ด่านนภาสองลักษณ์แห่งนี้ไร้เจ้าของแล้ว ข้าคนแซ่หลินก็ไม่อยากฝืนยึดที่นี่เป็นของตัวเอง ถ้าทุกท่านอยากเข้ามาครอบครอง ตอนนี้ก็ทำได้”
ประโยคเดียวทำให้พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นต่างสบตากัน ใจเต้นระส่ำขึ้นมา
พวกเขาคิดไม่ถึงว่าจะยังได้ของดีชิ้นใหญ่มาเปล่าๆ แบบนี้
แต่ไม่นานนักพวกเขาก็สงบใจลง ยิ่งตระหนักว่าทันทีที่พวกหลินสวินจากไป พวกจักรพรรดิเทพข่งอวี่กับเจียงหมิงสุ่ยจะต้องย้อนกลับมาชิงด่านนภาสองลักษณ์กลับไปอีกครั้งแน่
สำหรับพวกเขาแล้วนี่เป็นอันตรายใหญ่ยิ่ง
แต่คำพูดต่อมาของหลินสวินก็กวาดความกังวลในใจของพวกเขาทิ้งไปหมด
“ทุกท่านวางใจ ถ้าเจ้าพวกนั้นกล้ากลับมา ทุกท่านแค่ส่งข่าวมาให้ข้าคนแซ่หลินทันที ข้าคนแซ่หลินย่อมมาสังหารศัตรู!”
ทันใดนั้นทั้งที่นั้นก็ครึกโครมแล้ว สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นดวงตาเปล่งประกาย
นี่ช่างดียิ่งนัก!
“สหายยุทธ์หลิน ไม่ทราบว่าจะติดต่อท่านได้อย่างไร”
สัตว์ประหลาดเฒ่าผู้หนึ่งเอ่ยปากอย่างอดไม่อยู่แล้ว
หลินสวินยิ้ม สะบัดมือส่งยันต์สัญญาณชิ้นหนึ่งผ่านอากาศออกไป “ขอเพียงขยี้ยันต์นี้ให้แหลก ข้าคนแซ่หลินก็จะรู้ได้ทันที”
“ขอบคุณสหายยุทธ์หลิน!”
แววปรีดาปรากฏขึ้นบนใบหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าคนนั้น เก็บยันต์สัญญาณนั่นไว้อย่างระมัดระวัง