Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3149 ตำราหยกวิชามรรค
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3149 ตำราหยกวิชามรรค
ตอนที่ 3149 ตำราหยกวิชามรรค
เมืองเมฆากว้างใหญ่ไพศาล หลินสวินกับซย่าจื้อเดินเล่นด้วยกันพักหนึ่งก่อนท่องไปกลางอากาศ
ปราณมรรคฟ้าดินของอาณาจักรสมโภชตั้งอยู่กลางเมืองหลวง หากออกเดินทางจากเมืองเมฆา ต้องข้ามเมืองหนึ่งร้อยสามสิบหกแห่ง ระยะทางไกลเป็นอย่างยิ่ง
ต่อให้หลินสวินกับซย่าจื้อเคลื่อนตัวเต็มกำลังก็ต้องใช้เวลาหนึ่งวันจึงไปถึง
แต่หลินสวินไม่ได้เร่งเดินทาง
บนท้องฟ้าเหนือทุกเมืองในอาณาจักรสมโภชนี้ล้วนปกคลุมด้วยพลังระเบียบมรรควัฏจักรต่างๆ ทำให้ในแต่ละเมืองมีชีวิตหลากรูปแบบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ระหว่างทางหลินสวินกับซย่าจื้อโฉบผ่านเมืองเหล่านี้ ทุกการมองเห็นและความรู้สึกล้วนต่างกันไป
การเกิดแก่เจ็บตาย รักแค้นเกลียดกลัวที่ชีวิตหลากรูปแบบนั้นเผยให้เห็น ไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิงเพราะความแตกต่างของกฎระเบียบวัฏจักร
ความแตกต่างของร้ายดี การแบ่งขาวดำ การเลือกดีชั่วบนโลกมีข้อแตกต่างมากมายตามไปด้วย
ตลอดทางมานี้หัวคิ้วของหลินสวินกลับขมวดขึ้นทีละน้อย
ความแตกต่างของระเบียบมรรคแต่ละอย่าง ส่งผลกระทบต่อสรรพชีวิตต่างกันไป
หลินสวินยิ่งเห็นว่าบางเมืองมีพลังระเบียบมรรคสิบกว่าอย่างปกคลุม ทำให้สรรพชีวิตในเมืองเกิดการปะทะและขัดแย้งมากมาย ด้วยกฎเกณฑ์และกฎระเบียบที่ศรัทธาไม่เหมือนกัน กระทั่งเกิดการปะทะและการนองเลือดมากมาย เผยภาพความตายน่าสังเวชต่างๆ
ความรู้สึกนี้ก็เหมือนอารยธรรมต่างๆ เผ่าพันธุ์ที่ต่างกันกำลังปะทะและฆ่าฟันกัน
‘จำนวนของกฎระเบียบวัฏจักรนี้ยิ่งมากก็ใช่ว่าเป็นเรื่องดีเสมอไป’
หลินสวินอดคิดไม่ได้ ‘หากกฎระเบียบวัฏจักรนี้มีเพียงหนึ่ง คอยจัดระเบียบบนโลกแปรปุถุชนนี้ เช่นนั้นระหว่างสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสนในสี่สิบเก้าอาณาจักรแห่งโลกแปรปุถุชนนี้ น่าจะไม่เกิดการปะทะและความขัดแย้งมากขนาดนั้นแล้วกระมัง’
เมื่อมีระเบียบมรรควัฏจักรอย่างเดียวเช่นนี้ ทุกอารยธรรมในโลกปุถุชนนี้ก็จะหลอมรวมเป็นหนึ่ง ทำให้ทุกคนนับถือคำสอนเดียวกัน ยึดตามกฎเกณฑ์เดียวกัน
เช่นนี้ใต้หล้าก็จะเป็นหนึ่งเดียว!
‘ข้าคิดเรื่องพวกนี้ได้ ผู้มากสามารถคนอื่นมีหรือจะคิดไม่ถึง จากมุมมองนี้ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน การต่อสู้มหามรรคที่เกิดขึ้นในโลกแปรปุถุชนนี้น่าจะเกิดการต่อสู้ด้วยเรื่องนี้ทั้งสิ้น!’
หลินสวินเข้าใจได้รางๆ
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ขอแค่เป็นผู้มากสามารถที่มาถึงโลกแปรปุถุชนนี้ ใครก็คิดใช้วิชามรรคของตนผงาดเหนือปวงสวรรค์ กลายเป็นบรรทัดฐานสูงสุดเพียงหนึ่งเดียว อาศัยสิ่งนี้มาขัดเกลาสรรพสิ่งทั่วหล้า
ถ้าอยากทำได้ถึงขั้นนี้ก็ต้องตัดสินสูงต่ำบนมหามรรค
นี่อาจเป็นสาเหตุหลักที่ก่อให้เกิดการต่อสู้มหามรรค
วันต่อมา
เมืองหลวงของอาณาจักรสมโภช
เมื่อเห็นเมืองของอาณาจักรแห่งนี้ไกลๆ หลินสวินหรี่ตาอย่างอดไม่ได้
บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงนั้นมีกฎระเบียบวัฏจักรปกคลุมแค่อย่างเดียว ราวเมฆมงคลตะวันออก เด่นตระหง่านหนาทึบ มีอานุภาพยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต น่าอัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง
ตลอดทางมานี้หลินสวินข้ามเมืองมาหนึ่งร้อยสามสิบหกแห่ง เห็นพลังระเบียบมรรควัฏจักรนานัปการมามากมาย แต่เปรียบเทียบกันแล้วพลังกฎระเบียบพวกนั้นล้วนแข็งแกร่งสู้ ‘ระเบียบมรรคสีม่วง’ บนท้องฟ้าเหนือเมืองหลวงนี้ไม่ได้
ก็เหมือนความแตกต่างของลำธารกับมหาสมุทร!
‘พลังวิชามรรคเช่นนี้ต้องเป็นของผู้มากสามารถคนหนึ่งที่มีอานุภาพเทียมฟ้าหยั่งปฐพีแน่’
หลินสวินลอบกล่าวในใจ
พร้อมกันนี้เขายังเห็นว่าในเมืองมีกลิ่นอายสรรพชีวิตนับหมื่นพัน กลิ่นอายโลกีย์พวยพุ่งพลิกตลบ นอกจากนี้ยังมีกลิ่นอายน่ากลัวมากมายปนเปอยู่ในนั้น
นั่นคือพลังของขั้นไร้ขอบเขต!
‘มิน่าระหว่างทางถึงเจอสหายร่วมวิถีแค่ไม่กี่คน ที่แท้ก็ซ่อนตัวอยู่ในเมืองหลวงนี้หมดแล้ว…’
หลินสวินรู้สึกได้รางๆ ว่าเมื่อก้าวเข้าสู่เมืองหลวงนี้ เกรงว่าคงต้องรับลมฝนที่ไม่อาจคาดเดาแล้ว
“ซย่าจื้อ”
“หืม?”
“ในเมืองหลวงนี้ไม่ต่างอะไรกับถ้ำพยัคฆ์วังมังกร เกรงว่าพวกเราคงต้องเตรียมตัวพร้อมสู้”
ซย่าจื้อได้ยินดังนี้แล้วนัยน์ตากระจ่างเป็นประกาย เหมือนว่าในที่สุดก็ไม่ต้องเบื่อหน่ายเช่นนั้นอีก นางกล่าวเสียงชัดกระจ่าง “การต่อสู้มหามรรคจะเริ่มแล้วหรือ”
หลินสวินพยักหน้าพลางกล่าว “เริ่มแล้ว”
ขณะกล่าวทั้งสองคนก้าวเข้าไปในเมืองหลวง
สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่อยู่ในเมืองล้วนไม่รู้ตัวเหมือนก่อนหน้านี้
แต่ในสายตาหลินสวินกลับมองเห็นได้ชัดเจน ใจกลางเมืองหลวงนั้น หรือก็คือหน้าพระราชวังของอาณาจักรสมโภช มีกลิ่นอายระเบียบมรรควัฏจักรที่ยิ่งใหญ่หาใดเปรียบอยู่!
ปราณมรรคฟ้าดินของอาณาจักรสมโภชต้องตั้งอยู่ในบริเวณนั้นโดยไร้ข้อกังขา
หน้าวังคือจัตุรัสใหญ่โตแห่งหนึ่ง ไกลออกไปก็คือถนนซึ่งเชื่อมผ่านถึงกัน สองข้างทางมีอาคารมากมายตั้งอยู่ เปิดกิจการอย่างหอสุราและโรงน้ำชาเป็นต้น เจริญรุ่งเรืองคราคร่ำถึงขีดสุด
เมื่อหลินสวินกับซย่าจื้อเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ระหว่างทางก็เจอขั้นไร้ขอบเขตมากมาย
มีเด็กหนุ่มนั่งขัดสมาธิบนท้องฟ้าเหนือโรงน้ำชา ชุดขาวดุจหิมะ วางกระบี่บนหน้าตัก
มีชายชราผมเครารุงรัง นั่งอยู่หน้าหอสุรา มือถือน้ำเต้าสุราสีชาดมหึมา ร่ำสุราพลางมองสิ่งมีชีวิตบนโลกที่ขวักไขว่คับคั่ง
มีชายสวมเกราะเทพยืนตระหง่านเหนือเมฆ สองมือไพล่หลัง ราวกับเทพสงครามสัญจรบนโลก
มีหญิงสาวแรกแย้มกระโปรงรุ้งอยู่กลางฝูงชนในโรงสุรา ฟังตำนานวีรบุรุษจากปากนักเล่าเรื่องอย่างออกรสออกชาติ
มี…
มีตัวตนน่ากลัวถึงสิบกว่าคนกระจายอยู่รอบพระราชวังนี้ แต่ละคนต่างทำธุระของตน ไม่รบกวนกัน
แต่เมื่อเห็นหลินสวินกับซย่าจื้อปรากฏตัว สายตามากมายล้วนพากันมองมา
‘เอ๋ ในที่สุดก็มีสหายยุทธ์คนใหม่ปรากฏตัวแล้ว’
‘ทุกท่านรู้จักสหายยุทธ์ชายหญิงสองคนนี้หรือไม่’
‘ไม่รู้จัก ไม่คุ้นหน้านัก’
…เสียงพูดคุยผ่านเจตจำนงระหว่างตัวตนน่ากลัวพวกนั้นดังเป็นระลอก
แม้ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยพวกนี้ แต่หลินสวินและซย่าจื้อกลับรับรู้ได้จากสายตาโดยรอบพวกนั้น
คิ้วประณีตของซย่าจื้อขมวดเล็กน้อย
หลินสวินยิ้มพลางกล่าว “ไม่ต้องสนใจพวกเขา”
ทั้งสองคนเดินไปโดยไม่สนใจ เมื่อเห็นว่าใกล้ถึงจัตุรัสมหึมาหน้าราชวังนั่น เสียงไพเราะดุจลมวสันต์หนึ่งดังขึ้นทันใด
“สหายยุทธ์ทั้งสองเพิ่งฟันฝ่ามาจากทะเลโชคชะตาในช่วงนี้หรือ”
ผู้พูดคือบันฑิตวัยกลางคนที่สวมเสื้อแขนกว้าง เครายาวพลิ้วไหวคนหนึ่ง มือถือม้วนไม้ไผ่สีเขียว ทั่วร่างอบอวลด้วยไอพลังยิ่งใหญ่
“ไม่ผิด”
หลินสวินหยุดเท้า กวาดสายตามองไป “สหายยุทธ์มีเรื่องใดชี้แนะ”
บันฑิตวัยกลางคนยิ้มพลางประสานมือ “มิกล้าให้คำชี้แนะหรอก เพียงแต่สหายยุทธ์เพิ่งมาใหม่ เกรงว่ายังไม่รู้เรื่องราวหน้าราชวังอาณาจักรสมโภชนี้ ข้าแค่อยากอธิบายให้สหายยุทธ์ฟังเล็กน้อย”
หลินสวินอึ้งงัน ประสานมือเล็กน้อยพลางกล่าว “ข้าอยากฟังรายละเอียด”
บันฑิตวัยกลางคนกวาดสายตามองเหล่าขั้นไร้ขอบเขตซึ่งกระจายอยู่ในพื้นที่โดยรอบ “เหล่าผู้ร่วมวิถีในที่นี้รวมแล้วมีสิบเจ็ดคน แต่ละคนเฝ้ารออยู่ที่นี่ก็เพื่อเป้าหมายสองอย่างเท่านั้น”
“หนึ่งคือรอคนที่ต้องฆ่า”
“สองคือคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ”
หลินสวินฟังถึงตรงนี้แล้วอดถามไม่ได้ “คนที่ต้องฆ่าคืออะไร”
บันฑิตวัยกลางคนหัวเราะพลางกล่าว “รอหลังจากสหายยุทธ์ทั้งสองควบรวม ‘ตำราหยกวิชามรรค’ ของแต่ละคนออกมาก็รู้แล้ว”
พูดจบเขาก็ไม่พูดมากความอีก
เมื่อมองคนอื่นในที่นั้นก็ไม่คิดจะเอ่ยปากเช่นกัน
หลินสวินไม่คิดมากอีก มาถึงจัตุรัสมหึมาหน้าราชวังนั้นพร้อมซย่าจื้อ
ทั้งสองคนสัมผัสได้ถึงพลังปราณมรรคฟ้าดินนั้นพร้อมกันทันที พลุ่งพล่านอยู่ในส่วนลึกใต้จัตุรัสแห่งนี้ราวกับหินหนืด
เมื่อหลินสวินโคจรมรรควิถีของตนแล้วยื่นมือขวาออกไป
ละอองแสงนับไม่ถ้วนแผ่คลุมเหมือนถูกดึงดูดทันที รวมตัวอยู่กลางมือขวาหลินสวิน ควบรวมเป็นมายาตำราหยกประหลาดเล่มหนึ่งช้าๆ
ในหัวหลินสวินกลับปรากฏภาพน่าเหลือเชื่อมากมาย
มีพลังวิชามรรคนับร้อยพันกลายเป็นระเบียบมรรควัฏจักร ปกคลุมบนท้องฟ้าเหนือโลกแปรปุถุชน ส่งผลต่อสิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสนในสี่สิบเก้าอาณาจักร
ต้นกำเนิดของพลังวิชามรรคพวกนี้กระจายอยู่ในอาณาเขตไร้สิ้นสุดของโลกแปรปุถุชน
บ้างกลายเป็นทิวเขาสูงตระหง่าน
บ้างกลายเป็นศิลากระบี่ ตั้งอยู่ในอาณาจักรบางแห่ง
บ้างกลายเป็นเมฆมงคล ม้วนตำรา อาวุธ ต้นไม้ใบหญ้า… กระจายอยู่ในสถานที่ต่างๆ
แม้รูปลักษณ์ต่างกัน แต่ล้วนเคยได้รับผลมรรคแรกกำเนิด เคยวิวัฒน์จากวิชามรรคของผู้มากสามารถที่เคยบุกผ่านประตูสวรรค์โลกแปรปุถุชน
หลินสวินยังเคยเห็นอารามที่ตั้งอยู่กลางหุบเขาหลังนั้น อารามนี้คือสิ่งที่วิวัฒน์จากวิชามรรคของราชันวิญญาณฉีอวี้ ตอนนั้นหลินสวินก็เคยเห็นเนี่ยถิงกำลังต่อสู้กับอารามนี้
นี่ทำให้หลินสวินเข้าใจทันที
สิ่งที่ตนเห็นตอนนี้ก็คือ ‘วิชามรรค’ ที่กระจายอยู่ทั่วโลกแปรปุถุชน เป็นวิชามรรคพวกนี้ที่กลายเป็นระเบียบมรรควัฏจักรนับพันนั่น
สิ่งของนานาชนิดที่วิวัฒน์จากวิชามรรคเช่นนี้ถูกเรียกว่า ‘รูปจำลองวิชามรรค’ !
หรือกล่าวได้ว่า ‘อาราม’ ที่วิวัฒน์จากวิชามรรคของราชันวิญญาณฉีอวี้นั้น ก็เป็นรูปจำลองวิชามรรคอย่างหนึ่ง
ไม่นานภาพในสมองหลินสวินพลันเปลี่ยนไป ปรากฏเงาร่างมากมายหลายหลากนับไม่ถ้วน เหมือนจุดแสงหลากสายกระจายร่วงหล่นในโลกแปรปุถุชน
สิ่งเหล่านี้คือกลิ่นอายของผู้มากสามารถที่กระจายอยู่ในโลกแปรปุถุชน!
มีมากนับหมื่น!
ขณะเดียวกันมายาตำราหยกกลางฝ่ามือหลินสวินเด่นชัดขึ้นมาทีละน้อย
เมื่อสัมผัสตำราหยกนี้อีกครั้ง หลินสวินเห็นตำแหน่งของ ‘รูปจำลองวิชามรรค’ นับพันกับผู้ฝึกปราณนับหมื่นที่กระจายอยู่ต่างอาณาเขตทั่วโลกแปรปุถุชนนั้นทันที!
เมื่อหลินสวินมองอาณาจักรสมโภชในตำราหยกก็พบว่าในเมืองหลวงนี้ ถ้ารวมเขากับซย่าจื้อด้วยแล้วก็จะมีผู้ฝึกปราณสิบเก้าคนดังคาด!
ทั้งในเมืองหลวงนี้ยังมีรูปจำลองวิชามรรคสามอย่างกระจายอยู่ ได้แก่ลัญจกรที่ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของราชวัง เตาทองแดงที่ตั้งอยู่หน้าอารามมรรค รวมถึงต้นไม้เก่าแก่ที่หยั่งรากหน้าประตูตะวันออกของวัง!
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้หลินสวินใจกระตุกวูบ
เมื่อมีตำราหยกนี้แล้ว ไม่ได้หมายความว่าสามารถระบุตำแหน่งของคู่ต่อสู้ทั้งหมดในใต้หล้านี้ได้โดยง่ายหรอกหรือ
กล่าวอีกนัยหนึ่งคือตำราหยกนี้ก็เหมือนแผนที่ บอกตำแหน่งของรูปจำลองวิชามรรคที่วิวัฒน์จากระเบียบมรรควัฏจักรนี้
ทั้งจับตำแหน่งของผู้ฝึกปราณที่กระจายอยู่ในโลกแปรปุถุชนจากตำราหยกนี้ได้เช่นกัน!
‘หากถูกศัตรูหมายตา ไม่ว่าหนีไปไหนก็คงไม่พ้น…’
หลินสวินตระหนักถึงปัญหาของตำราหยกนี้ทันที
แม้ว่ามันทำให้ตนรู้ตำแหน่งของคู่ต่อสู้พวกนั้น แต่ก็ทำให้คนอื่นรู้ตำแหน่งของตนเช่นกัน!
กล่าวได้ว่ามีทั้งข้อดีข้อเสีย
‘นี่ก็คือนัยเร้นลับของตำราหยกวิชามรรคหรือ’
หลินสวินนึกถึงคำพูดที่เนี่ยถิงกล่าวเมื่อตอนนั้นขึ้นมา เมื่อมีตำราหยกวิชามรรคจะเท่ากับมีคุณสมบัติเข้าร่วมการต่อสู้มหามรรค สามารถรู้ตำแหน่งของคู่ต่อสู้ในโลกแปรปุถุชนนี้อย่างชัดเจน
เมื่อเริ่มการต่อสู้มหามรรค ยามวิชามรรคของตนไปอยู่ในกฎระเบียบวัฏจักร สามารถอาศัยตำราหยกวิชามรรคนี้ดึงดูดผลมรรคแรกกำเนิดได้!