Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 316
ดังคาด หลังจากที่หลินสวินยกยอปอปั้นเสร็จสรรพ ตะพาบเขียวนั้นก็หายอารมณ์เสีย มันหัวเราะร่า ทำตัวสนิทสนมดั่งหลินสวินเป็นสหายรู้ใจ เด็กหนุ่มจึงใช้โอกาสนี้ถามหาคำตอบที่อยากรู้
ที่แท ผืนน้ำแห่งนี้อยู่ในทะเลกลืนวิญญาณ ห่างจากพื้นดินของจักรวรรดิจื่อเย่าหลายหมื่นลี้
ตะพาบเขียวบอกว่า หลายพันปีมานี้มีผู้ฝึกปราณมาถึงที่นี่น้อยมาก เพราะทะเลแห่งนี้ห่างไกลเกินไป ระหว่างทางก็เต็มไปด้วยอันตราย แม้จะเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะก็ยากจะมีชีวิตรอด
ความจริงตีแสกหน้าหลินสวินอย่างจัง เดิมทีเขาสู้เสี่ยงชีวิตเพื่อจะเดินทางไปนครต้องห้าม ใครจะคิดว่าจะถูกพัดมาอยู่กลางทะเลห่างไกลจากจักรวรรดิจื่อเย่ากว่าหลายหมื่นลี้ หากตอนนี้เขาจะเดินทางกลับจักรวรรดิจื่อเย่า ยังไม่พูดถึงอันตรายมากมายระหว่างทาง เพียงระยะเวลาเดินทางก็นานถึงสามเดือนแล้ว
“ใช่แล้ว”
ตะพาบเขียวเอ่ยขึ้น “เจ้าอ่อนแอขนาดนี้ เพียงฉลามมารหัวเขียวก็กินเจ้าได้ง่ายๆ เหตุใดถึงเข้ามาถึงที่นี่ได้”
หลินสวินถอนหายใจเอ่ยเล่าเรื่องราวของตัวเองบอกไปไม่ปิดบัง
เมื่อได้ยินทุกอย่างแล้วตะพาบเขียวจะร้องคำรามอย่างคับแค้น “แม่น้ำวนลวงตา! เจ้าเข้ามาในแม่น้ำวนลวงตาอย่างนั้นหรือ สวรรค์ เจ้ามีชีวิตรอดอยู่ได้ช่างเป็นปาฏิหาริย์ ปาฏิหาริย์ชัดๆ ”
หลินสวินแทบกลอกตาขาว แค่ไม่ตายก็นับว่าปาฏิหาริย์แล้วหรือ
“ผู้อาวุโส แม่น้ำวนลวงตาคืออะไรหรือขอรับ” เขาถาม
ตะพาบเขียวไม่ตอบคำถาม แต่มองหลินสวินด้วยตาเป็นประกายตื่นเต้น “เด็กน้อย ข้าเดาว่าเจ้าต้องมีของล้ำค่าที่สามารถป้องกันตัวเองจากพลังลวงตาใช่หรือไม่”
ตะพาบเขียวกระโดดโลดเต้นดีใจ “รอดแล้ว ในที่สุดก็รอดแล้ว ข้าติดอยู่ในทะเลแห่งนี้มานับพันปี ในที่สุดก็มีคนมาช่วยข้าเสียที ฮ่าๆๆ”
เจ้าตัวนี้บอกว่าตนเองเป็นราชาแห่งตะพาบเขียว ได้รับความนับถือจากสัตว์ใต้ท้องทะเลมากมาย แต่ยามนี้กลับบอกว่าติดอยู่ในที่แห่งนี้ เด็กหนุ่มกังวลว่าเขาจะเป็นแค่เต่าเฒ่าขี้โม้ หากเก่งอย่างที่ปากว่าจริง เหตุใดจึงมาติดอยู่ในที่ทะเลแห่งนี้ได้
น่าขันนัก
ใครเคยเห็นตะพาบเขียวที่สามารถควบคุมคลื่นลมในตำนาน ติดอยู่ในทะเลที่เป็นถิ่นของตัวเองเช่นนี้บ้าง
ตะพาบเขียวหยุดหัวเราะ คล้ายรับรู้ถึงสายตาที่เปลี่ยนไปของหลินสวิน กระแอมว่า “เด็กน้อย แม้ข้าจะมีความสามารถรอบรู้ แต่ก็ยังมีบางเรื่องบนโลกใบนี้ที่ข้ายังทำไม่ได้”
เขามีทีท่าเคร่งขรึม ปลงตก “ทะเลแถวนี้พิเศษมาก เป็นอนุสรณ์สถานโบราณที่แฝงไปด้วยพลังลี้ลับจากบรรพกาล ไม่ว่าตัวข้าหรือแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับสังสารวัฏติดอยู่ในนี้ ก็ไม่มีทางออกไปได้เช่นกัน”
อนุสรณ์สถานโบราณ!?
นี่มันเกินความคาดหมายของหลินสวินไปมาก แม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับสังสารวัฏยังหนีออกไปไม่ได้ สถานที่แห่งนี้ต้องมีพลังน่ากลัวเพียงใดกัน
ต้องรู้ว่านี่ไม่ใช่เพียงที่เดียวที่หลงเหลือมาจนถึงวันนี้ไม่รู้ว่าผ่านมาเป็นเวลาเท่าไหร่ แต่พลังของที่นี่แข็งแกร่งปานพลังจากทวยเทพ
“โชคดีที่เจ้าเข้ามา”
พลันตะพาบเขียวก็ตื่นเต้น มองหลินสวินตาเป็นประกายเหมือนมองสมบัติล้ำค่าที่หาได้ยาก สายตาเต็มไปด้วยด้วยความหวังและเฝ้ารอ “นี่เป็นโชคชะตา ชีวิตข้าจะไม่ดับสูญ”
หลินสวินยิ้มขื่น “ผู้อาวุโส ท่านอย่าเพิ่งดีใจไป ข้ายังไม่รู้เลยว่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร”
ตะพาบเขียวว่า “ง่ายมาก เพราะเจ้ามีของล้ำค่าที่สามารถทะลุผ่านน้ำวนลวงตาได้ ก็เพียงพอที่จะพาข้าออกไปได้แล้ว”
ว่าแล้วเขาก็เหม่อมองไปในที่แสนไกล “ทางออกอยู่ตรงนั้น เมื่อก่อนข้าไม่กล้าเข้าไปใกล้ แต่ไม่ใช่วันนี้”
หลินสวินได้สติขึ้นมา ของล้ำค่าที่ตะพาบเขียวหมายถึง คงจะเป็นมุกนักบุญอมตะในนิมิตเขาอย่างไม่ต้องสงสัยเพียงแต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่คิดว่าของสิ่งนี้จะมีประโยชน์ สามารถทะลุผ่านน้ำวนลวงตาได้
เมื่อเห็นหลินสวินลังเล ตะพาบเขียวก็กลอกตาขาวไปรอบๆ คล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง จึงยิ้มชี้ไปที่พืชน้ำสีเงินส่องประกายอยู่ “เด็กน้อยเจ้าดูสิ นี่คือหญ้ากระบี่เกล็ดเงิน ของวิเศษในใต้หล้าที่มีอยู่ในยุคโบราณเท่านั้น นับเป็นสุดยอดยาเซียนชั้นยอดบนโลก”
หลินสวินสนใจในทันที
ตะพาบเขียวได้ใจ “ในเมื่อถูกขนานนามว่าเป็นยาเซียนก็ย่อมมีสรรพคุณเหนือคณา หากกินเข้าไปจะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพ เนื้อกระดูกจะขับพลังร่างกายช่วยในการฝึกปราณ หากออกไปโลกภายนอก แม้แต่ราชาระดับหยั่งสัจจะก็ยังต้องแย่งชิง ราชาระดับสังสารวัฏก็ปรารถนาจนตาร้อน”
“สุดยอดขนาดนั้นเชียวหรือ” หลินสวินหวั่นไหว
เฒ่าตะพาบเขียวเอ่ยเบาๆ “ข้าไม่ได้โม้หรอกนะ แต่หากไม่ใช่เพราะตามหาสมบัติล้ำค่าเหล่านี้ ข้าก็คงไม่เสี่ยงมาที่นี่หรอก”
หลินสวินสงสัย “แล้ว…เหตุใดผู้อาวุโสถึงไม่เก็บไว้ใช้เองเล่า”
ตะพาบเขียวตอบ “เด็กน้อย เจ้าดูถูกข้าเกินไปแล้ว ติดอยู่ในนี้ตั้งหลายปี ข้ากินหญ้ากระบี่เกล็ดเงินเข้าไปไม่ต่ำกว่าร้อยต้น ปราณสูงจนถึงขีดจำกัด จนมันไม่เกิดประโยชน์กับข้าต่อไปแล้วต่างหาก”
ว่ามาถึงตรงนี้ คำพูดที่มักอวดดีของเขาก็แผ่วลง “คนบนโลกยกยอว่ามันเป็นของล้ำค่า แต่สำหรับข้า มันกลับเป็นพืชธรรมดา กินเข้าไปไม่ได้รสชาติ จะทิ้งก็เสียดาย รอเมื่อเจ้าเป็นเหมือนข้า มีระดับปราณสูงถึงขั้นอมตะ เข้าถึงจักรวาลไกลความตายแล้วก็จะเข้าใจเอง”
เด็กหนุ่มเมินผ่านคำยอตัวเองนั้น รู้ว่าที่แท้ตะพาบเขียวก็กินยาเซียนเข้าไปเยอะจนเอียนแล้ว มันจึงแนะนำพืชน้ำชนิดนี้ให้กับเขา
“เด็กน้อย ได้พบพานเป็นวาสนา คิดเสียว่าของเหล่านี้เป็นของขวัญที่ข้าให้เจ้าเถิด” ตะพาบเขียวเอ่ยเนิบนาบ
“ข้าขอบคุณในความเอ็นดูของท่าน”
หลินสวินยิ้ม ไม่ว่าตะพาบเขียวจะโม้ไปเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยเขาก็แน่ใจว่าหญ้ากระบี่เกล็ดเงินนั้นเป็นของล้ำค่าแน่นอน
“อย่าเพิ่งจับ ของสิ่งนี้รักษายากยิ่ง หากสัมผัสมันจะตาย หากเจอไฟจะไหม้ม้วย หากเก็บมาแล้วไม่รักษาอย่างดีก็จะสูญสลาย”
ตะพาบเขียวท้วงขึ้นเมื่อเห็นหลินสวินทำท่าจะเด็ดมัน จากนั้นจึงอ้าปากสำรอกแผ่นม้วนสีเขียวออกมากลายเป็นตาข่ายขนาดใหญ่ครอบหญ้ากระบี่เกล็ดเงินเอาไว้
หญ้ากระบี่เกล็ดเงินที่ถูกครอบนั้นลอยออกมาทั้งราก
“เด็กน้อย นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า เจ้ารับไว้สิ มีพลังของข้าปกป้องอยู่ ก็จะเก็บรักษาหญ้ากระบี่เกล็ดเงินนี้ได้อย่างไม่เสียหาย”
“เวลาจะใช้ ก็จงใช้พลังวิญญาณนำทาง เด็ดมันอกมาจากแสงครอบนั้น”
“ขอบคุณผู้อาวุโสขอรับ” หลินสวินไม่เกรงใจ เปิดแหวนเก็บของแล้วนำหญ้ากระบี่เกล็ดเงินทั้งหลายลงไปเก็บไว้
“ฮ่าๆๆ เด็กน้อย คราวนี้เจ้าจะพาข้าออกไปจากที่นี่ได้หรือยัง” ตะพาบเขียวหัวเราะ
หลินสวินใคร่ครวญสักพัก ยิ้มออกมา “ผู้อาวุโส ในเมื่อท่านแน่ใจว่าข้าสามารถพาท่านออกไปได้ เช่นนั้นก็หมายความว่าพวกเราจะออกไปเมื่อใดก็ได้ ทว่าการเข้ามาในที่อนุสรณ์สถานโบราณนี้ไม่ง่าย หากรีบด่วนไปจากคงน่าเสียดายแย่”
ตะพาบเขียวผงะ “ไม่คิดว่าเจ้าจะโลภมากอย่างนี้”
หลินสวินยิ้ม “สมบัติพวกนี้หากเหลือทิ้งไว้ที่นี่ ไม่เท่ากับว่าทิ้งไปเสียเปล่าๆ หรือ”
เฒ่าตะพาบเอ่ยเสียงเข้ม “ความจริงแล้ว สมบัติของอนุสรณ์สถานชั้นที่หนึ่ง ข้าเก็บไปด้วยความถูกใจจนหมดแล้ว ของพวกนี้ข้ายกให้เจ้าไม่ได้ แต่ว่าก็ยังมีบางอย่างที่อาจมีประโยชน์กับเจ้า”
“ตามข้ามา” ว่าแล้วตะพาบเขียวก็หายแวบไปเวิ้งทะเลข้างหน้า
“อนุสรณ์สถานชั้นที่หนึ่ง…” หลินสวินตื่นเต้น รีบตามหลังไป
ยิ่งเดินไปข้างหน้า น้ำทะเลก็ยิ่งใส พลังลึกลับจากกระแสน้ำแม้จะไม่เป็นผลกระทบต่อการเคลื่อนไหว แต่ก็ทำให้ใจคนสะท้านด้วยสัมผัสได้ถึงพลังน่ากลัวดุดันของมัน
แม้แต่ตะพาบเขียวก็ยังพูดน้อยลง ท่าทีเคร่งขรึมเมื่อเดินลึกเข้าไป
ข้างภูเขาหินใต้น้ำปรากฏต้นไม้สีแดงดุจเพลิงกัลป์ ลำต้นแข็งแรงปานดาบ กิ่งก้านห้อยย้อยผลสีแดงขนาดประมาณหัวแม่มือ เหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยโดดเด่นสะดุดตา
“ผลแกนมังกรสุริยา สามารถเปิดปัญญาวิญญาณให้ตื่นขึ้น เป็นยาวิญญาณเทพเทวะที่หาได้ยาก แต่ผู้ฝึกปราณกินได้แค่ลูกเดียวเท่านั้น มากกว่านั้นก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”
ตะพาบเขียวสะบัดเท้าหน้า ผลแกนมังกรสุริยายี่สิบกว่าลูกก็ลอยมาทางหลินสวิน
หลินสวินรีบควักขวดหยกขึ้นมาเก็บพวกมันเข้าไป แล้วปิดฝาอย่างระมัดระวัง เก็บมันไว้ในแหวนเก็บของ
เดินเข้าไปอีกไม่นาน ตะพาบเขียวมุดคอเข้าไปในกอพืชน้ำสีฟ้า เมื่อโผล่หน้าออกมา ก็เป็นที่เท้าของมันหนีบผลึกสีม่วงขนาดเท่าเหรียญทองแดงส่องประกายทั้งก่อนออกมาด้วย
“ผลึกวิญญาณพิสุทธิ์ม่วง สามารถนำมาทำเป็นอาวุธวิญญาณ พวกมนุษย์ที่เป็นนักสลักวิญญาณน่าจะชอบมันมาก ได้ยินว่าสามารถใช้มันได้ตอนหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ แต่สำหรับข้าแล้วไม่มีประโยชน์ใดเลย”
ตะพาบเขียวว่าแล้วก็โยนมันมาให้หลินสวินเหมือนเป็นเพียงขยะ
หลินสวินกลับตื่นตาตื่นใจมาก เขารู้จักผลึกวิญญาณพิสุทธิ์ม่วงดี อย่ามองว่ามันมีขนาดเท่าเหรียญทองแดง เพราะมีคุณค่าเหลือคณานัก
ในยามต้องสร้างชุดศึกวิญญาณ หากมีของสิ่งนี้แม้เพียงเศษไรฝุ่น และใช้มันใส่รวมไปพร้อมกับสิ่งของวิญญาณอื่นๆ ก็จะทำให้โอกาสในการสร้างชุดศึกวิญญาณสำเร็จสูงมากขึ้น
เมื่อเดินไปเรื่อยๆ ตะพาบเขียวก็หาของได้มากขึ้น มันคุ้นเคยกับที่นี่มาก ไม่ต้องเสียเวลามากมายก็หาสมบัติล้ำค่าได้กว่าสิบชนิด แน่นอนว่าของเหล่านี้เป็นเพียงของเหลือเลือกจากตะพาบเขียว
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว ของล้ำค่าเหล่านี้มีแต่ของดีๆ ทั้งนั้น มูลค่าของมันไม่มีสามารถประเมินได้ เด็กหนุ่มกระทั่งลืมความคิดที่จะออกไปจากที่นี่ ก็บนโลกนี้จะมีอะไรที่น่าดีใจไปกว่าการได้ค้นหาสมบัติกันเล่า