Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3161 แนวคิดรังสรรค์มรรค
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3161 แนวคิดรังสรรค์มรรค
ตอนที่ 3161 แนวคิดรังสรรค์มรรค
กลางป่าเขาแถบหนึ่ง
หลินสวินนั่งขัดสมาธิ ท่วงทำนองมรรคแห่ห้อมรอบตัวเขา ดุจดั่งเทพเซียน
หลังจากเอาชนะรูปจำลองวิชามรรคของอีกาดำ เขาก็เลือกตกตะกอนและฝึกปราณ ไม่ได้รีบร้อนไปท้าทายวิชามรรคที่อาจารย์และจักจั่นทองทิ้งไว้
เพราะหลินสวินตระหนักถึงปัญหาข้อหนึ่ง
อย่างเฉินหลินคง บรรพจารย์วานร และอีกาดำสามคน ยามอยู่โลกแปรปุถุชนแห่งนี้มรรคาของพวกเขาล้วนบรรลุถึงขั้น ‘หมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง หนึ่งวิวัฒน์หมื่นมรรค’
แต่มรรควิถีของพวกเขากลับยังคงติดปัญหาคอขวด ไม่อาจก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ได้อย่างแท้จริง
นี่หมายความว่าพลังขแห่งหมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง หนึ่งวิวัฒน์หมื่นมรรค เป็นเพียงพลังที่จอมมรรคไร้ขอบเขตครอบครองได้เท่านั้นใช่หรือไม่
และหากหมายจะก้าวสู่ขั้นสัมบูรณ์กลายเป็นจอมราชันไร้ขอบเขต ต้องบรรลุการทะลวงขั้นอย่างไรบนมรรคาอีกกันแน่
‘หมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง หนึ่งวิวัฒน์หมื่นมรรค ล้วนเป็นหนึ่งเตาหลอมมรรคแห่งการหลอมโลก และเตาหลอมนี้ก็คือมรรคาในตัวเอง สามารถวิวัฒน์ออกมาจากจุดนี้ ขณะเดียวกันก็เป็นมรรคของโลก…’
ระหว่างนั่งสมาธิหลินสวินจมสู่ห้วงคิด ‘มรรคของโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใด มากมายแค่ไหน แต่ไล่ย้อนต้นกำเนิดของมันล้วนอุบัติขึ้นในบ่อเกิดแรกกำเนิด และบ่อเกิดแรกกำเนิดสรรสร้างมหามรรคมากมายเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกันแน่’
‘เดี๋ยวก่อน… สรรสร้าง!!’
ทันใดนั้นในใจหลินสวินสั่นไหว บ่อเกิดแรกกำเนิดสามารถสร้างมหามรรคที่ไม่มีในโลกได้ แล้วเหตุใดผู้ฝึกปราณไม่สามารถครอบครองพลังสรรสร้างระดับนี้ได้
หากทำได้ถึงขั้นนี้จริง มีหรือจะไม่สามารถบรรลุ ‘ก่อเกิดในความว่างเปล่า’ บนมหามรรคได้
หมื่นมรรคแปรเป็นหนึ่ง สิ่งที่แปลงไปคือมหามรรคที่มีอยู่ในโลกแต่เดิมอยู่แล้ว
หนึ่งวิวัฒน์หมื่นมรรค สิ่งที่สำแดงออกมาก็คือนัยเร้นลับกฎระเบียบที่คงอยู่ในโลกนี้แต่ต้นแล้วเช่นกัน
‘มี’ ในโลก สามารถหลอมและสำแดงได้
เช่นนั้น ‘ไร้’ ในโลก สามารถรังสรรค์ได้ด้วยตัวเองหรือไม่
ราวกับอสนีแหวกความมืดดำสายหนึ่งกำลังปั่นป่วนในใจหลินสวิน พริบตานั้นเขาเสมือนแหวกฝ่าพยับหมอกที่บดบังเบื้องหน้า มองเห็นโลกกว้างใหญ่อันน่าเหลือเชื่อทันที โลกใบนั้นเต็มไปด้วยนัยเร้นลับที่ทำให้สภาวะจิตของเขาสะท้านไหว ฮึกเหิม และถึงขั้นระส่ำระสาย
รังสรรค์มหามรรค รังสรรค์พลังแห่ง ‘โลกไร้สรรพสิ่ง’ !
ความคิดนี้บ้าคลั่งมากเกินไปจริงๆ เสมือนแตะสิ่งต้องห้ามของนัยเร้นลับชั้นยอด ทำเอาตัวหลินสวินเองยังตื่นเต้นและประหม่า
บนโลกนี้มีพลัง ‘สรรสร้าง’ เช่นนี้จริงหรือ
ก็ไม่รู้นานเท่าไรหลินสวินจึงค่อยๆ สงบลง
เขาเริ่มอนุมานมรรคานิรันดร์ใหม่อีกครั้ง
มรรคานิรันดร์ แบ่งเป็นขั้นล่วงกฎ ขั้นสรรสร้าง ขั้นไร้ขอบเขต
ขั้นล่วงกฎ ความหมายตามชื่อ ‘กฎ’ ที่เรียกกันก็หมายถึงกฎเกณฑ์ กฎระเบียบ
ล่วงกฎ ก็คือหลังจากครอบครองและใช้กฎระเบียบ สามารถทะลวงผ่านกฎระเบียบฟ้าดินได้
นี่คือขั้นพลังแรกในมรรคานิรันดร์
ขั้นสรรสร้าง เป็นการใช้ประโยชน์จากกฎระเบียบที่ครอบครอง สามารถรังสรรค์สรรพสิ่ง สรรสร้างหมื่นลักษณ์ประดุจ ‘ผู้สร้าง’
บรรลุถึงขั้นนี้ พลังกฎระเบียบที่หลอมยิ่งมากเท่าไร มรรควิถีในตัวก็ยิ่งแข็งแกร่ง
นี่คือขั้นพลังที่สองของมรรคานิรันดร์
หากบอกว่าไป ‘รังสรรค์มหามรรคของโลกที่ไร้สรรพสิ่ง’ ก็คล้ายคลึงกับนัยเร้นลับของขั้นสรรสร้างอยู่บ้างอย่างไม่ต้องสงสัย
แต่หลินสวินรู้ดีว่าทั้งคู่มีความต่างสำคัญ
ฝ่ายหนึ่งรังสรรค์สรรพสิ่ง สรรสร้างหมื่นลักษณ์
อีกฝ่ายคือรังสรรค์มหามรรคที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก ประดุจบ่อเกิดแรกกำเนิดฟ้าประธาน
นอกจากนี้พลังที่ขั้นสรรสร้างครอบครองมาจากพลังกฎระเบียบที่หลอมขึ้นมาเอง ยิ่งกฎระเบียบที่หลอมมาก ยิ่งมีศักยภาพบรรลุการรังสรรค์สรรพสิ่ง สรรสร้างหมื่นลักษณ์ได้
และการสรรสร้างมหามรรคก็เกี่ยวโยงถึงความลับของการถือกำเนิดมหามรรค ไปจนถึงนัยเร้นลับต้องห้ามของบ่อเกิดแรกกำเนิด!
ทั้งคู่ไม่มีจุดเหมือนกันสักนิด
ส่วนขั้นไร้ขอบเขตเป็นขั้นพลังสุดท้ายในมรรคานิรันดร์ และเป็นขั้นท้ายสุดบนเส้นทางฝึกปราณเช่นกัน
เมื่อบรรลุถึงขั้นนี้ก็สามารถเดินทางในยุคสมัยมากมาย มีอิสระเสรีตามความหมายอย่างแท้จริง
แต่ต่อให้อยู่ในขั้นไร้ขอบเขตก็ใช่ว่าจะไร้เกรงกลัว ทำอะไรก็ได้
เพราะนอกแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ หากหมายจะรอดชีวิตต่อไปในการดับสิ้นของยุคสมัย เงื่อนไขตั้งต้นคือต้องต้านการโจมตีของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพให้ได้
กล่าวอีกนัยคือ หากตัดการต่อสู้ช่วงชิงระหว่างผู้ฝึกปราณไป พลังเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้ที่สามารถคุกคามขั้นไร้ขอบเขตได้ก็คือเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ
แต่เคราะห์นี้มาจากที่ไหนกันแน่
ไม่มีใครรู้
ต่อให้เป็นขั้นไร้ขอบเขตในโลก จนบัดนี้ก็ไม่มีใครสามารถไขปริศนาข้อนี้ได้
และตามความเห็นหลินสวิน หากบอกว่าบนโลกนี้มีผู้เข้าใจคำตอบนี้อย่างแท้จริง ย่อมต้องเป็นราชันไท่ชูอย่างไม่ต้องสงสัย
คนผู้นี้ครอบครองระฆังแรกปฐม สามารถยืมใช้พลังเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้ ถึงขั้นสามารถทำให้ทูตชะตาสวรรค์ใต้ปกครองของเขายืมใช้พลังเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้ นี่เรียกได้ว่าน่าตกตะลึง
แต่เหตุใดเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพจึงมีอยู่
เหตุใดเคราะห์นี้จึงปรากฏในช่วงการสับเปลี่ยนยุคสมัย
เหตุใดเคราะห์นี้จึงจ้องเล่นงานเพียงขั้นไร้ขอบเขตเท่านั้น
ก่อนหน้าหลินสวินก็เคยคิดเรื่องเหล่านี้เช่นกัน แต่ไม่ได้รับคำตอบมาตลอด
และตอนนี้ยามเขาตระหนักถึงเรี่องการสรรสร้างมหามรรคที่เหมือนบ่อเกิดแรกกำเนิด กลับเกิดความคิดบ้าบิ่นอย่างหนึ่งขึ้นมา
หรือว่าการมีอยู่ของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ ก็เพื่อขวางไม่ให้มีคนพยายามไปครอบครองพลังรังสรรค์มหามรรคที่เหมือนบ่อเกิดแรกกำเนิดนั่น
คิดถึงตรงนี้ทั้งตัวหลินสวินล้วนเคร่งขรึม เนิ่นนานภายในใจก็ไม่อาจสงบ
‘คำตอบนี้ดูท่าราชันไท่ชูคงรู้ดี และบางทีผู้อาวุโสเฉินซีและมือกระบี่คนนั้นก็อาจจะรู้เบาะแสบางอย่างแล้วเช่นกัน ถึงอย่างไรที่คนอย่างพวกเขามุ่งหน้ามาแหล่งสถานอัศจรรย์ เกรงว่าคงมาเพื่อความลับข้อนี้ทั้งนั้น…’
‘ยิ่งกว่านั้นในข่าวลือ แหล่งสถานอัศจรรย์นี้มีโอกาสและวาสนาที่สามารถทำให้คนหลุดพ้นมรรคาสุดท้ายได้…’
พักใหญ่กว่าหลินสวินเข้าใจเงื่อนงำบางอย่าง
ก่อนอื่นมรรคาแห่งหมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง หนึ่งแปรหมื่นวิชา เป็นพลังที่มีเพียงจอมมรรคไร้ขอบเขตเท่านั้นที่จะครอบครองได้
อย่างเช่นเฉินหลินคง บรรพจารย์วานร อีกาดำที่อยู่โลกแปรปุถุชนปีนั้นล้วนอยู่ในระดับขั้นนี้
ถัดมาหากคิดจะทำลายกำแพงอุปสรรคของจอมมรรคไร้ขอบเขตก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ กลายเป็นจอมราชันไร้ขอบเขต ก็ต้องพัฒนาบนมรรคาเพิ่มอีกก้าว
หรือก็คือทะลวงจากมรรคาแห่งหมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง หนึ่งวิวัฒน์หมื่นมรรค
จากนั้นหากอยากพิสูจน์ ‘มหามรรคสรรสร้างที่ไม่เคยมีมาก่อนในโลก’ มรรคานี้ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ ไปสืบเสาะที่พลังบ่อเกิดแรกกำเนิดของแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้บางทีอาจมีคำตอบ
ถึงอย่างไรผลมรรคแรกกำเนิดก็ถือกำเนิดในบ่อเกิดแรกกำเนิดของแหล่งสถานอัศจรรย์
และผลมรรคแรกกำเนิดล้วนเป็นพลังกฎระเบียบฟ้าประธานที่สมบูรณ์แบบ ลือกันว่าสามารถทำให้ขั้นไร้ขอบเขตมีโอกาสหลุดพ้นขั้นปลายยอดได้สำเร็จ
สุดท้ายที่มาของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ ก็น่าจะเกี่ยวโยงกับนัยเร้นลับบ่อเกิดแรกกำเนิดของแหล่งสถานอัศจรรย์ และน่าจะสามารถหาคำตอบจากแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้!
หลังวิเคราะห์เบาะแสและเงื่อนงำเหล่านี้แตกฉานแล้ว ในใจหลินสวินพลันรู้สึกสดใสเหมือนเมฆปลอดโปร่งเห็นตะวันทันที
เขารู้ว่าขอเพียงตนตามเงื่อนงำเหล่านี้ต่อไป บางทีอาจรู้นัยเร้นลับสูงสุดที่ประหนึ่งสิ่งต้องห้ามเหล่านั้นได้
และระหว่างสืบค้นนี้ มรรคาของตนก็ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่นอน!
…
ป่าเขาเวิ้งว้าง สรรพสิ่งล้วนเงียบกริบ
หลินสวินนั่งบนพื้น สงบจิตใจไปกับการฝึกปราณ
พลังขับเคลื่อนในตัวเขาค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป เผยมรรคาที่วิเศษอัศจรรย์เหนือธรรมดาอย่างหนึ่ง อานุภาพดุจวัฏจักรฟ้าดารากำลังเกิดการเปลี่ยนแปลง ปรากฏหมู่ดาวมหาศาล ธารดาราเป็นสายๆ โคจรไม่รู้จบ…
จากนั้นมรรคาใหม่เอี่ยมอย่างหนึ่งปรากฏขึ้นอีกครั้ง หมื่นกาลโรยร่วง ทั่วหล้าพังพินาศ สรรพสิ่งกลายเป็นความว่างเปล่า ทุกอย่างล้วนจมหายไปในการทำลายล้าง ปรากฏภาพราววันโลกวินาศออกมาสารพัด
กระทั่งต่อมาก็มีแดนธรรมไร้สิ้นสุดกำเนิด มีบัววิเศษลอยล่องสิบทิศ เสียงสวดดุจกระแสน้ำทะยาน ทุกหนแห่งปรากฏแสงสว่างไร้ขอบเขต เผยดินแดนสุขาวดีแห่งมหามรรค
จนสุดท้ายมีเวิ้งฟ้าเก้าพิสุทธิ์ควบรวม สะท้อนภาพแห่งมายาบริสุทธิ์ ทิวทัศน์เงียบงันกลมเกลียว ธรรมชาติทุกรูปแบบ…
มรรคาชั้นยอดมากมายหลากหลายนี้คือมรรคาที่บรรพจารย์จากสี่หอบรรพจารย์อย่างหยวนชู เทียนอู ซื่อ ซวีอิ่นเสาะแสวง และบัดนี้ล้วนถูกหลินสวินใช้พลังนิพพานหลอมผสาน เผยนัยเร้นลับของมันอย่างหมดจด!
เวลาเคลื่อนคล้อย
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในวันนี้อานุภาพบนตัวหลินสวินเปลี่ยนไปอย่างน่าตกใจ เผยกลิ่นอายใสขุ่น ตัดสลับเคลื่อนโคจรกลายเป็นสองลักษณ์ เวียนวนซ้ำไปมา แปรเป็นเป็นความสมบูรณ์โดยธรรมชาติ…
อานุภาพระดับนั้นก็คือพลังมรรคาของบรรพจารย์วานร!
ทว่าเพียงไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม พลังที่วิวัฒน์ขึ้นบนตัวหลินสวินพลังชะงักนิ่ง จากนั้นอันตรธานหายไปทันที
พร้อมกันนั้นหลินสวินแค่นเสียงอึดอัดคราหนึ่ง ตื่นจากการนั่งสมาธิ
‘นัยเร้นลับของมรรคานี้ข้าไม่สามารถอนุมานออกมาได้ ดูท่าคงเป็นเพราะมรรควิถีในตัวข้ายังไม่พอ หาไม่ย่อมไม่มีทางเป็นเช่นนี้แน่…’
หลินสวินทอดถอนใจในใจ
เอาชนะรูปจำลองวิชามรรคที่บรรพจารย์วานรทิ้งไว้เป็นเรื่องหนึ่ง ทว่าหากหมายจะหลอมนัยเร้นลับมรรคาของบรรพจารย์วานรทั้งหมด กลับเห็นได้ชัดว่ายากถึงขีดสุด
ว่ากันถึงที่สุดก็เป็นเพราะวิชามรรคที่บรรพจารย์วานรทิ้งไว้ในปีนั้นเป็นพลังในขั้นจอมมรรคไร้ขอบเขตแล้ว หมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง ยากยิ่งจะถูกคนอื่นมองนัยเร้นลับต้นกำเนิดของมันออก
ด้วยมรรควิถีของหลินสวินในตอนนี้ยังยากสำแดงนัยเร้นลับมรรคาระดับนี้ออกมาอย่างหมดจด
‘ช่างเถิด ไปลองดูพลังวิชามรรคของผู้อาวุโสจักจั่นทองสักหน่อย’
หลินสวินหยัดตัวลุกขึ้น ออกไปจากกลางป่าเขาแถบนี้
อาณาจักรนิรันดร์
ท่าเรือใบเฟิง
ต้นเฟิงแดงเพลิงหยั่งรากอยู่ริมฝั่งแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง ใบแดงลอยร่วงลงบนผิวน้ำ เสมือนเปลวไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในแม่น้ำ
เหนือห้วงอากาศท่าเรือใบเฟิงมีเมฆมงคลก้อนหนึ่ง จักจั่นทองตัวหนึ่งนอนฟุบอยู่บนนั้น ทำท่าเงยมองท้องฟ้า
หลินสวินยืนบนฟ้าเหนือป่าเฟิงแดงเพลิง อาภรณ์สีขาวพระจันทร์ทั้งชุดโบกสะบัดเสียงดังภายใต้สายลมของแม่น้ำ ดุจดั่งเทพที่หลุดพ้นละโลกีย์
จักจั่นทองกำลังมองฟ้า หลินสวินกำลังมองจักจั่นทอง
บริเวณใกล้ๆ ท่าเรือใบเฟิงแห่งนี้ยังมีคนธรรมดาที่กำลังรอเรือเข้าเทียบท่า ไกลออกไปกว่านั้นมีเงาร่างผู้ฝึกปราณมากมายยืนอยู่
ผู้ฝึกปราณแต่ละคนล้วนยืนห่างไปไกล ยามมองมาที่หลินสวิน สีหน้าท่าทางล้วนมีแววเคารพยำเกรงเจือปน
รูปจำลองวิชามรรคลำดับหนึ่งห้าสายในระเบียบมรรควัฏจักร ถูกหลินสวินเอาชนะไปแล้วสาม และตอนนี้หลินสวินกำลังจะสู้กับวิชามรรคของจักจั่นทองแล้ว!
ทันใดนั้นใบเฟิงแดงเพลิงแถบหนึ่งลอยขึ้นตามลม ปลิวร่วงกลางแม่น้ำมรกตใส
และเงาร่างหลินสวินก็เคลื่อนไหวยามนี้
เขาประสานหมัดคารวะจากไกลๆ กล่าวเสียงเบา “ผู้อาวุโส โปรดชี้แนะ!”
บนเมฆมงคลใต้เวิ้งฟ้า เสียงจักจั่นร้องดังขึ้นทันที เริ่มจากเบาหวิวแทบไม่ได้ยิน จากนั้นก้องสะท้อนชั้นเมฆ ดังสะเทือนฟ้าดิน กึกก้องกลางภูผาธาราใต้หล้า
บรรดาผู้ฝึกปราณที่หลบไปไกลเหล่านั้นสภาวะจิตล้วนสั่นสะเทือนรุนแรง ในครรลองสายตาคล้ายมองเห็นจักจั่นตัวหนึ่งกางปีกโผมาบนแม่น้ำหมื่นกาลของการสับเปลี่ยนยุคสมัย