Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3167 ความลับของการก่อมรรค
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3167 ความลับของการก่อมรรค
ตอนที่ 3167 ความลับของการก่อมรรค
คนที่สามารถทำให้วิชามรรคในตัวไปอยู่ในระเบียบมรรควัฏจักรโลกแปรปุถุชน เข้าประตูสวรรค์มายังโลกภัยพิบัติได้ ย่อมไม่ใช่ผู้ที่ขั้นไร้ขอบเขตทั่วไปจะเทียบได้
ตามความเข้าใจของผู้คน มรรควิถีของตู้ชั่นจ้าวเรียกได้ว่ายอดเยี่ยมในขั้นนี้แล้ว ห่างจากจอมมรรคไร้ขอบเขตไม่ไกลเท่าไร
ทว่าภายใต้หนึ่งฝ่ามือ ตู้ชั่นจ้าวกลับแพ้แล้ว…
นี่ย่อมทำให้คนสะท้านสะเทือน
ยามมองหลินสวินอีกครา ท่าทีของพวกผู้ฝึกปราณในที่นี้ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเงียบๆ
“สหายยุทธ์ ก่อนหน้านี้ล่วงเกินแล้ว” หลินสวินเดินไปพยุงตู้ชั่นจ้าวขึ้น
ตู้ชั่นจ้าวสีหน้าเปลี่ยนไปมา เนิ่นนานกว่าจะยิ้มขื่นประสานหมัดคารวะ “ก่อนหน้านี้ข้าไม่ประเมินพลังตนเอง” เขาชะงักไป เหลือบมองซย่าจื้อที่อยู่ด้านข้างปราดหนึ่งแล้วกล่าว “ต่อไปอย่าปล่อยให้แม่นางผู้นี้รอนานเด็ดขาดเชียว”
หลินสวินพยักหน้ายิ้ม
“ซย่าจื้อ พวกเราไปเถอะ”
หลินสวินกล่าวเสียงเบา
ซย่าจื้อร้องอืมคำหนึ่งแล้วมุ่งหน้าไปยังด่านเกิดใหม่ที่อยู่ไกลๆ เคียงข้างหลินสวิน
ผู้ฝึกปราณในพื้นที่ใกล้เคียงล้วนแปลกใจทันที สองคนนี้ตั้งใจจะบุกด่านตรงๆ หรือ
สายตาพวกเขาล้วนมองตามไป
ภูเขาใหญ่มโหฬารอยู่ใต้พยับหมอกปกคลุม บนเส้นทางภูเขายังมีเงาร่างผู้ฝึกปราณมากมายถูกกักขัง ไม่ขยับเขยื้อน ราวกับรูปปั้นหินดินเผา
นี่ก็คือด่านเกิดใหม่
เหยียบบนภูเขานี้ก็เท่ากับเหยียบบนเส้นทางแห่งการเกิดใหม่ กายและจิตจะจมสู่ดินแดนที่ราวกับวัฏจักร นับแต่อดีตจนปัจจุบันผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรถูกขังอยู่ที่นี่
ยิ่งไม่รู้ว่ามีผู้ฝึกปราณเท่าไรที่ร่างดับมรรคสลายบนเส้นทางเกิดใหม่!
และเมื่อหลินสวินกับซย่าจื้อก้าวไปบนภูเขานี้ เงาร่างของทั้งคู่นิ่งค้างตามๆ กัน รู้สึกถึงพลังเร้นลับคลุมเครือสายหนึ่งปิดครอบบนร่างกาย
กลิ่นอายนั้นหลินสวินคุ้นเคยหาใดเปรียบ เหมือนกับกลิ่นอายของ ‘โลกวัฏจักร’ ในนัยเร้นลับนิพพานไม่มีผิด!
ขณะเดียวกันซย่าจื้อก็สัมผัสได้เช่นกัน ชาติก่อนของนางเป็นจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ กล่าวอีกอย่างคือนางในเวลานี้ก็เหมือนร่างที่กลับมาเกิดใหม่ฝึกปราณอีกครั้ง
ยามสัมผัสถึงกลิ่นอายระดับนี้นางถึงขั้นไม่รู้สึกแปลกใหม่สักนิด
นี่คือกลิ่นอายของวัฏจักร!
หลินสวินและซย่าจื้อสบตากันปราดหนึ่ง
จากนั้นทั้งคู่ไม่ชักช้า ไต่ขึ้นบันไดไปตามเส้นทางภูเขา ตลอดทางกลิ่นอายวัฏจักรนั่นอัดแน่นเต็มพยับหมอก พุ่งเป้าโจมตีสภาวะจิตของทั้งคู่ไม่หยุดหย่อน
อีกทั้งเมื่อพวกเขก้าวสูงขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นอายวัฏจักรก็ยิ่งรุนแรงขึ้น เสมือนกระแสน้ำที่ไหลหลั่งลงมาจากยอดเขา
หากเปลี่ยนเป็นขั้นไร้ขอบเขตคนอื่นๆ เกรงว่าคงทนไม่ไหวนานแล้ว
แต่นี่กลับขวางฝีเท้าของหลินสวินและซย่าจื้อไม่ได้
กระทั่งยามถึงตำแหน่งไหล่เขา กลิ่นอายวัฏจักรนั่นดุจดั่งพายุกรรโชก!
กลับเห็นแขนเสื้อของหลินสวินโบกขยับ ประกายแสงท่วมฟ้ากลายเป็นเหวใหญ่ปากหนึ่ง ท่ามกลางเสียงอึงอลดังสนั่น ถึงกับกลืนกินพายุวัฏจักรที่พัดกระหน่ำเข้ามาหายเกลี้ยงไม่เหลือหลอ!
ซย่าจื้ออึ้งไป กล่าวว่า “เจ้าจะอาศัยสิ่งนี้หยั่งรู้แก่นอัศจรรย์แห่งวัฏจักรหรือ”
หลินสวินส่ายหน้ากล่าว “พลังที่ด่านเกิดใหม่มีอยู่นี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของกฎระเบียบวัฏจักรเท่านั้น ไม่อาจเทียบโลกวัฏจักรในนัยเร้นลับนิพพาน หยั่งรู้ไปก็ไร้ประโยชน์”
ขณะสนทนาทั้งคู่ก้าวเดินต่อไป ไม่นานก็มาถึงยอดเขา และเงาร่างของทั้งคู่ก็อันตรธานหายไปเช่นนี้
ไม่ไกลจากด่านเกิดใหม่นัก
ผู้ฝึกปราณทั้งกลุ่มอย่างพวกตู้ชั่นจ้าวล้วนอึ้งงั้นอยู่ตรงนั้น
ก้าวไปง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ
นี่ใช่ฝ่าด่านที่ไหน เป็นการเดินทอดน่อง ผ่อนคลายราวปีนเขาเที่ยวเล่นชัดๆ!
“นั่นเป็นถึงด่านเกิดใหม่นะ เหตุใดยังไม่กระเทือนพวกเขาแม้แต่น้อย”
มีสัตว์ประหลาดเฒ่าพึมพำเสียงหลง
ความยากเข็ญและอันตรายของเส้นทางเกิดใหม่ พวกเขาในที่นี้ล้วนรู้ดีหาใดเปรียบ
แต่ใครจะไปคิดว่าบนโลกนี้ถึงกับมีคนสามารถก้าวผ่านไปอย่างง่ายดายเช่นนี้
“สมกับเป็นผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ชื่อสะเทือนโลกแปรปุถุชนในช่วงเกือบร้อยปีมานี้!”
และมีคนเอ่ยทอดถอนใจ
“อะไรนะ เขาก็คือหลินสวินหรือ”
ตู้ชั่นจ้าวอึ้งไป เพิ่งตระหนักว่าผู้ที่ใช้พลังหนึ่งฝ่ามือเอาชนะตนเมื่อครู่นี้เป็นใคร ทั้งตัวล้วนไม่อาจสงบนิ่งได้
สามารถยืนยันแน่ชัดได้ว่าหลินสวินเพิ่งมาถึงโลกแปรปุถุชนไม่กี่ปี แต่บัดนี้เขากลับครอบครองมรรควิถีระดับนี้แล้ว นี่มีหรือที่พวกสัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นสงบใจได้
…
หลังข้ามด่านเกิดใหม่ เงาร่างของหลินสวินและซย่าจื้อปรากฏตัวกลางฟ้าดินเทาขุ่นแถบหนึ่ง
ที่นี่ไอแรกกำเนิดคละคลุ้ง ปลดปล่อยกลิ่นอายเก่าแก่ดั้งเดิม มองเห็นได้รางๆ ว่ามีประกายแสงเจิดจรัสเป็นสายๆ กลางกลิ่นอายแรกกำเนิด เปล่งประกายแตกต่างหลากหลายออกมา
เมื่อมองอย่างละเอียด นั่นถึงกับเป็นเงาร่างของผู้ฝึกปราณเป็นสายๆ!
ผู้ฝึกปราณเหล่านี้กระจายตัวตามพื้นที่ต่างๆ ของฟ้าดินแถบนี้ บนตัวแต่ละคนล้วนแผ่อานุภาพมหามรรคที่กร้าวแกร่งถึงขีดสุดออกมา
และเบื้องหน้าพวกเขาล้วนมี ‘โลกมหามรรค’ ใบหนึ่งแขวนลอยอยู่!
แสงมรรคเจิดจรัสหลากสีนั่นก็แผ่ออกมาจากโลกมหามรรคเบื้องหน้าผู้ฝึกปราณเหล่านี้ ทำเอาฟ้าดินเทาขุ่นดุจดั่งแรกกำเนิดนี้ก็มีสีสันงดงามเพิ่มขึ้นมากมาย
นี่ก็คือ ‘ด่านก่อมรรค’!
ขอเพียงเป็นผู้ที่มาถึงที่นี่ ล้วนต้องใช้มรรควิถีของตนเหนี่ยวนำพลังบ่อเกิดแรกกำเนิดของฟ้าดินแถบนี้มาก่อสร้างโลกมหามรรคใบหนึ่ง
ยามกลิ่นอายของโลกมหามรรคที่สร้างขึ้นสามารถสอดรับกับบ่อเกิดแรกกำเนิดของฟ้าดินแถบนี้ได้ กลายเป็นประทับหลอมรวมในฟ้าดินนี้ ก็สามารถออกจากที่นี่ได้
ยามอยู่โลกแปรปุถุชน หลินสวินและซย่าจื้อก็เข้าใจข้อมูลเหล่านี้แล้ว จึงไม่ได้แปลกเท่าไรนัก
สรุปง่ายๆ การก่อมรรคที่ว่า ก็คือการสร้างโลกที่อุดมด้วยกฎระเบียบมรรคแห่งหนึ่ง
ที่ทำให้หลินสวินใคร่รู้อย่างแท้จริงคือ ว่ากันว่าโลกมหามรรคที่ผู้ฝึกปราณซึ่งสามารถผ่านด่านก่อมรรคไปได้สร้างออกมา จะกลายเป็นโลกฝึกปราณของจริง ถือกำเนิดจากพลังต้นกำเนิดของแหล่งสถานศุภโชค จากนั้นปรากฏอยู่ในอารยธรรมยุคสมัยแห่งหนึ่ง!
หากนี่เป็นความจริงก็ทำให้คนสะท้านสะเทือนเกินไปแล้ว
ในแหล่งสถานอัศจรรย์มีขั้นไร้ขอบเขตเป็นผู้ก่อสร้างโลกมหามรรคใบหนึ่ง กลับสามารถกลายเป็นโลกที่มีอยู่จริงในอารยธรรมยุคสมัย นัยเร้นลับที่เกี่ยวข้องต้องน่าเหลือเชื่อปานใด
ถึงขั้นที่หลินสวินอดคิดไม่ได้ว่าโลกฝึกปราณอย่างทางเดินโบราณฟ้าดารา โลกพันจักรวาล โลกยอดนิรันดร์ที่ตนฝึกปราณก่อนหน้านี้ ก็ถูกผู้ฝึกปราณบางคนรังสรรค์ออกมาในด่านก่อมรรคแห่งนี้หรือไม่
‘ไม่ถูก หากเป็นเช่นนี้จริง โลกมหามรรคที่พวกผู้ฝึกปราณเหล่านั้นสร้างก็เป็นเพียงเมล็ดพันธุ์อย่างหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญอย่างแท้จริงอยู่ที่การฟูมฟักต้นกำเนิดศุภโชค หาไม่เมล็ดพันธุ์นี้ก็ไม่มีทางแตกหน่อเกิดราก งอกเงยจากพื้นดินได้เด็ดขาด…’
หลินสวินใคร่ครวญ
ตัวเขาครอบครองกฎระเบียบศุภโชค ย่อมรู้ดีถึงนัยเร้นลับเนื้อแท้ของต้นกำเนิดศุภโชค กล่าวได้ว่าแหล่งสถานศุภโชคก็คือรังมารดาของอารยธรรมยุคสมัย มีความสามารถในการหล่อเลี้ยงศุภโชค
ลำพังแค่เพียงโลกมหามรรคที่ผู้ฝึกปราณเหล่านี้สร้างออกมา ไม่มีทางกลายเป็นโลกฝึกปราณในอารยธรรมยุคสมัยแห่งหนึ่งได้ตรงๆ สักนิด
ที่ทำให้หลินสวินตกใจอย่างแท้จริงคือ ระหว่างแหล่งสถานอัศจรรย์และแหล่งสถานศุภโชคก็มีความเกี่ยวโยงกัน!
นี่ยืนยันการคาดเดาของเขาเมื่อหลายปีก่อนได้พอดี ระหว่างจตุโบราณสถานไม่ได้ตั้งอยู่โดดๆ หากแต่มีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างกัน
ในแหล่งสถานศุภโชคมี ‘สายธารยุคสมัย’
ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มี ‘ห้าภูเขาแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’
ในแหล่งสถานคุนหลุนมี ‘ทะเลโชคชะตา’
และแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ก็มี ‘บ่อเกิดแรกกำเนิด’
พลังต้นกำเนิดระหว่างจตุโบราณสถานก็ต้องมีความเกี่ยวข้องกันเป็นแน่
อย่างพลังของผู้ฝึกปราณที่ร่วงหล่นในแหล่งสถานคุนหลุนเหล่านั้น ก็จะปรากฏในบริเวณต้นกำเนิดของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์
หรืออย่างทะเลโชคชะตาในแหล่งสถานคุนหลุน สามารถมายังแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ได้
หรือกระทั่งอารยธรรมยุคสมัยที่กำเนิดในแหล่งสถานศุภโชค ก็เชื่อมต่อกับโลกยุคสมัยต่างๆ ในทะเลโชคชะตา
และเวลานี้ด่านก่อมรรคแห่งนี้ก็มีความเชื่อมโยงกับแหล่งสถานศุภโชค เสมือนความสัมพันธ์ระหว่างเมล็ดพันธุ์กับผืนดิน
ทั้งหมดนี้ล้วนกำลังยืนยันการสันนิษฐานในปีนั้นของหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย
วู้ม…
และขณะที่หลินสวินใคร่ครวญ จู่ๆ กลางฟ้าดินแรกกำเนิดแถบนี้ก็เกิดคลื่นพลังแปลกพิกลระลอกหนึ่ง ดุจดั่งโลกแห่งหนึ่งโผล่ออกมา
ก็เห็นว่าไกลโพ้นชายชราผมเคราขาวหิมะคนหนึ่งลูบเครายิ้มๆ “ใช้เวลาสร้างสามหมื่นสามพันหกร้อยปี ในที่สุดข้าก็สร้างโลกมหามรรคใบหนึ่งได้สำเร็จ!”
ในเสียงเต็มไปด้วยความเบิกบานและยินดี
โลกมหามรรคเบื้องหน้าเขากลายเป็นรุ้งเทพเจิดจรัสสายหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า จากนั้นหายไปในส่วนลึกของฟ้าดินแรกกำเนิดนั่น
“ยินดีด้วยสหายยุทธ์!”
เสียงแสดงความยินดีระลอกหนึ่งดังขึ้นเป็นทอดๆ
ชายชราผมเคราขาวหิมะคนนั้นประสานหมัดกล่าวขอบคุณทั่วทิศ จากนั้นเงาร่างของเขาก็อันตรธานหายไปกลางอากาศ
เห็นชัดว่าเขาฝ่าด่านด่านก่อมรรคนี้ได้แล้ว
ภาพนี้ก็สร้างความอิจฉาให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยที่อยู่ตามพื้นที่ต่างๆ แต่ไม่นานต่างล้วนตั้งสมาธิกับโลกมหามรรคเบื้องหน้าตนอีกครั้ง
และเมื่อเห็นเช่นนี้ ซย่าจื้อดอกล่าวเสียงเบาไม่ได้ “สามหมื่นสามพันกว่าปีจึงจะฝ่าด่านนี้ไปได้ ยากเย็นขนาดนั้นจริงหรือ”
ไม่รอหลินสวินเอ่ยปาก ไม่ไกลนักก็มีเสียงชราสายหนึ่งดังขึ้น
“แม่นาง ก่อมรรคยากหรือไม่แตกต่างกันไปแต่ละบุคคล มีพวกความสามรถเกรียงไกร เวลาไม่ถึงร้อยปีก็สามารถก่อมรรคสำเร็จฝ่าด่านไปได้ บ้างก็ก่อมรรคอยู่ที่นี่หลายแสนปีแล้ว จนบัดนี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จ”
“ก่อนหน้านี้สหายยุทธ์คนนั้นใช้เวลาเพียงสามหมื่นกว่าปีเท่านั้น ในบรรดาผู้ฝึกปราณทั้งหมดที่ฝ่าด่านก่อมรรคนับแต่อดีตจนปัจจุบันก็ถือว่ารวดเร็วแล้ว”
ผู้พูดคือเด็กหนุ่มชุดดำคนหนึ่ง ทว่าเสียงกลับเจือแววโชกโชนถึงขีดสุด
ข้างตัวเด็กหนุ่มชุดดำยังมีผู้ฝึกปราณอีกเล็กน้อย พวกเขาไม่เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ตั้งสมาธิก่อมรรค ก่อนหน้านี้พวกเขากำลังดื่มสุราเสวนากัน และตระหนักถึงหลินสวินและซย่าจื้อที่เพิ่งมาถึงเมื่อครู่เช่นกัน
“เหตุใดทุกท่านไม่รีบก่อมรรคเล่า” หลินสวินกล่าว
เด็กหนุ่มชุดดำยิ้มบางๆ “ก่อมรรคมีหรือจะง่ายดายขนาดนั้น ยิ่งกว่านั้นรีบไปแล้วอย่างไร ว่ากันถึงที่สุดการก่อมรรคก็ต้องพึ่งความแข็งแกร่งในตัวเอง ไม่รีบร้อน คนส่วนใหญ่มุ่งมาดข้ามด่านสุดกำลัง ผ่านประตูสวรรค์เก้าชั้นทีละก้าว ข้ามทางพิฆาตมรรคเพื่อไปฃถึงแดนเทพมากเร้น แต่สำหรับพวกเรา กลับสมัครใจสัมผัสประสบการณ์ระหว่างทางมากกว่า”
กล่าวถึงตรงนี้เด็กหนุ่มชุดดำถามหลินสวิน “สหายยุทธ์ เจ้าเล่า”
“ข้าหรือ”
หลินสวินอึ้งไป จากนั้นยิ้มกล่าว “ข้าไม่เหมือนกับทุกท่าน อยากหยุดเท้าพักสักหน่อยยังยาก”
เด็กหนุ่มชุดดำคล้ายเข้าใจยิ่ง พยักหน้ากล่าว “ขั้นไร้ขอบเขตถูกเรียกว่ายอดอิสระ ยอดเสรี แต่ยามบรรลุถึงขั้นนี้อย่างแท้จริงถึงพบว่าบนโลกใบนี้ยังมีเรื่องที่ควบคุมไม่ได้มากมาย มีความลำบากของบุญคุณความแค้น มีพันธนาการแห่งกฎกรรม และมีภาระความรับผิดชอบ อยากจะหยุดพักสักหน่อยกลับไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น”
“คำกล่าวนี้ของสหายยุทธ์ยอดเยี่ยมนัก” หลินสวินยิ้มชื่นชม