Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 317
โสมหิมะหยก ผลึกเก้าลำนำผสานใจ ดอกอำพรางวิญญาณพันปี ผลึกสายฟ้าหยวนเป่า…
หลินสวินนึกถึงชื่อของสมบัติที่เขาได้รับมาตลอดทางก็ใจเต้น ของเหล่านี้ล้วนเป็นของของวิเศษจากอนุสรณ์สถานโบราณ
ทั่วทั้งจักรวรรดิอาจมีเพียงคลังสมบัติของราชวงศ์เท่านั้นถึงจะพบสิ่งของเหล่านี้ได้ แต่ตอนนี้ของพวกนี้กลับถูกตะพาบเขียวโยนดั่งเป็นขยะให้หลินสวิน ทำให้เด็กหนุ่มเบิกบานใจยิ่งนัก
“ของเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่ตะพาบเขียวไม่ให้ความสำคัญเท่านั้น ไม่รู้ว่าสมบัติที่เขาเก็บไปจะล้ำค่าเพียงใด” หลินสวินใคร่ครวญในใจ มีคำบอกว่าสมบัติทำให้คนใจสั่น เมื่อมีสมบัติกองอยู่ตรงหน้าหลินสวินก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เป็นเรื่องปกติ ไม่เพียงเขาเท่านั้นเขา หากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะก็คงไม่ได้ดีกว่าหลินสวินไปสักเท่าไร
“ไปต่อไม่ได้แล้ว ที่ไกลออกไปนั้นเป็นอาณาเขตอนุสรณ์สถานชั้นที่สอง พลังในนั้นร้ายกาจจนน่ากลัว แค่เข้าใกล้ก็ร่างแหลกเป็นจุณได้แล้ว” ตะพาบเขียวที่อยู่หน้าหน้าหยุดเดิน
หลินสวินเงยหน้ามอง ทะเลไกลเวิ้งไม่ได้ใสกระจ่างอย่างที่ตรงเขายืนอยู่ แต่กลับมีกลิ่นอายลึกล้ำหนาวเย็น ทางเข้าที่ลึกลงไปนั้นทำให้รู้สึกหวาดกลัว
เพียงมองหลินสวินก็กายเย็นวาบ ขนกายลุกชัน คล้ายแค่กลิ่นไอนั้นก็สามารถปลิดชีวิตเขาได้ง่ายๆ
ตะพาบเขียวหันตัวกลับไปทางเดิม
“ผู้อาวุโส เหตุใดอนุสรณ์สถานโบราณถึงมีชั้นที่สองด้วยเล่าขอรับ”
หลินสวินรีบตามไป
“ที่ข้ารู้มา อนุสรณ์สถานโบราณนี้อาณาเขตกว้างไกล จนครองพื้นที่ด้านหนึ่งของโลก ข้างในของมันมีสถานที่ต้องห้ามมากมาย อันตรายเกินจะนับ ไม่เพียงมีชั้นที่สอง ยังมีชั้นที่สาม สี่ ห้า…ส่วนทั้งหมดมีกี่ชั้น แม้แต่ข้าเองก็ยังไม่รู้ แต่มั่นใจว่าในตอนนี้ มีเพียงราชาอย่างระดับสังสารวัฏเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าไปในอนุสรณ์สถานชั้นที่สองได้”
หลินสวินได้ยินก็ใจเต้น เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้อนุสรณ์สถานโบราณกว้างขวางยิ่งกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้เสียอีก แค่ชั้นที่หนึ่งก็ทำให้เขาได้รับสมบัติมากมายขนาดนี้ แล้วในชั้นที่สองจะมีสมบัติที่น่าตื่นตาเพียงใดกัน
หากเป็นเช่นนี้ ระดับชั้นยิ่งสูง เกรงว่าของที่อยู่ข้างในก็ยิ่งล้ำค่า
หลินสวินฮึกเหิม หากไม่ใช่เพราะความสามารถไม่เพียงพอ เขาก็อยากจะลองบุกเข้าไปดูสักครั้ง ว่าในอนุสรณ์สถานโบราณนี้ซ่อนความลับไว้มากแค่ไหน
ไม่นานหลินสวินก็สงบสสติอารมณ์ลงได้ ดังที่ตะพาบเขียวว่า อนุสรณ์สถานโบราณนี้มีข้อห้ามมากมาย และมีอันตรายอยู่ทุกหนแห่ง แม้ราชาอย่างระดับสังสารวัฏก็ยังมีคุณสมบัติแค่เพียงเข้าไปถึงอนุสรณ์สถานชั้นที่สอง เห็นได้ว่าอนุสรณ์สถานส่วนลึกลงไปนั้นอันตรายเพียงใด
“เหตุใดท่านไม่เข้าไปเล่า” หลินสวินถาม
“แม้พลังของข้าจะสูงเหนือใครบนโลกหล้า แต่ก็ไม่กล้าเอาชีวิตเข้าไปแลกหรอก ชั้นที่สอง…” พูดถึงตรงนี้ ตะพาบเขียวก็ถอนหายใจไม่อยากยอมรับ “ข้าในวันนี้ไม่อาจย่างกราย หากเพียงเข้าไปก็ต้องปางตาย ในนั้นเต็มไปด้วยกลลับมากมายจนต้องยอมแพ้”
เด็กหนุ่มร้องรับในลำคอ เขารู้ว่าตะพาบเขียวชอบคุยโม้ คำพูดของเขาแม้จะเกินความจริงไปบ้าง แต่ความกลัวต่ออนุสรณ์สถานชั้นที่สองนั้นเป็นความจริงแน่นอน
ไม่นาน ตะพาบเขียวก็พาหลินสวินมาถึงทะเลที่มีกระแสน้ำรุนแรง
“นั่นคืออะไรหรือขอรับ”
เมื่อมาถึง หลินสวินก็เห็นน้ำวนอันคุ้นเคยกำลังหมุนไปในทิศไกล เกิดเป็นคลื่นระลอกแล้วระลอกเล่าน่ากลัว ไม่ต้องสงสัยว่าพลังที่สามารถบดกลืนทุกอย่างลงไปได้จะรุนแรงเพียงใด
ตอนที่อยู่ใต้แม่น้ำเมืองมังกรเหลือง หลินสวินถูกคลื่นน้ำวนอย่างนี้พัดพาไปโดยไม่ทันระวัง จนมาโผล่ที่อนุสรณ์สถานกลางทะเลกลืนวิญญาณ
“นั่นคือน้ำวนลวงตา”
นัยน์ตาของตะพาบเขียวปรากฏแววเคียดแค้น “อย่ามองว่ามันอยู่ใต้ทะเล แต่คลื่นน้ำวนลวงตานั้นเชื่อมโยงกับกระแสน้ำพรางตาสายอื่นด้วย หากตกเข้าไปอยู่ข้างใน ไม่ว่าผู้ฝึกปราณหน้าไหนก็ไม่มีชีวิตรอด”
“แต่มันเป็นทางออกเพียงทางเดียวของอนุสรณ์สถานโบราณนี้ ไม่เช่นนั้นข้าคงไม่ติดอยู่ที่นี่เกือบพันปีหรอก” ตะพาบเขียวค่อนแคะ
“ผู้อาวุโส ท่านแน่ใจใช่หรือไม่ ว่าหากผ่านตรงนี้ไปแล้วจะทำให้กลับไปอยู่ในที่เดิมได้” หลินสวินเค้นถาม
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ความลึกล้ำของกระแสน้ำพรางตานั่นมากเกินไป แม้ข้าเองก็ไม่กระจ่าง แต่มั่นใจได้ว่า หากต้องการจะออกจากที่นี่ ก็มีเพียงแต่ข้ามผ่านมันไปเท่านั้น”
ตะพาบเขียวว่า หันมามองหลินสวินด้วยสายตาเป็นประกายร้อนแรง “เด็กน้อย ข้าดีกับเจ้ามาก ตอนนี้เจ้าจะยอมพาข้าออกไปจากที่นี่ได้ด้วยหรือไม่”
“แน่นอนขอรับ” หลินสวินยินดี
“ดีมาก!” ตะพาบเขียวเงยหน้าหัวเราะ
พลันก่อนที่หลินสวินกำลังจะเริ่มลงมือ ตะพาบเขียวกลับเรียกเขาไว้ “ช้าก่อน”
เด็กหนุ่มหันไปมองตะพาบเขียว ไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอะไร
เวลานี้ตะพาบเขียวมีท่าทีสับสน ไม่อยากจากแต่ก็ดีใจ สุดท้ายจึงโพล่งขึ้น “มีเหล้าหรือไม่”
“มีขอรับ” ในแหวนของหลินสวินมักจะมีเหล้าติดไว้เสมอ ไม่ใช่เก็บไว้ดื่มเอง แต่เคยชินกับการซื้อให้เสวี่ยจินเมื่อตอนอยู่เมืองหมอกอำพราง
“เมื่อเข้าไปในน้ำวนแล้ว บางทีเจ้ากับข้าอาจจะแยกกันจริงๆ เช่นนั้นพวกเราใช้โอกาสนี้มาร่ำสุรากันหน่อยดีหรือไม่” ตะพาบเขียวมองหลินสวินด้วยความคาดหวัง
มันติดอยู่ในนี้เกือบพันปี เงียบเหงาเดียวดาย ไม่มีใครคุยด้วย วันนี้จะจากไป ในใจกลับไม่เต็มใจพะวงหา
“พูดได้ดี” หลินสวินว่าแล้วก็หยิบเอาสุราขึ้นมา ก่อนจะนั่งร่ำสุรากับตะพาบเขียวที่ใต้ท้องทะเล
หลังจากที่ตะพาบเขียวได้ดื่มสุราแล้ว มันก็นับหลินสวินเป็นสหายรู้ใจ เล่าเรื่องราวที่อัดอั้นเก็บเอาไว้มากมายให้เด็กหนุ่มฟัง หรืออาจเพราะว่านี่เป็นการระบายอย่างหนึ่งหลังจากที่เดียวดายอยู่นาน
หลินสวินดื่มไปฟังไป ที่แท้ตะพาบเขียวมาจากเกาะแสงขจีที่อยู่ลึกลงไปในทะเลกลืนวิญญาณ และเรียกตนเองว่าราชาแห่งตะพาบเขียว เป็นผู้ปกครองเกาะแสงขจี ชื่อเสียงขจรไกล เพียงแต่เพื่อการฝึกฝนปราณ มันหลงเข้ามาในอนุสรณ์สถานโบราณนานเกือบพันปี จนกระทั่งวันนี้ได้เจอกับหลินสวิน ถึงมีความหวังจะได้ออกไป
เด็กหนุ่มแปลกใจที่นับจากอายุขัยแล้ว ตะพาบเขียวตัวนี้มีอายุราวสองพันหกร้อยกว่าปี แต่ในสายพันธุ์ของตะพาบเขียว สองพันปีนับได้ว่าเพิ่งพ้นวัยเด็ก ขณะนี้นับว่ามันเข้าสู่วัยกำลังเติบโต ยังห่างจากวัยผู้ใหญ่อีกยาวไกล ดังนั้น ตะพาบเขียวตัวนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับวัยหนุ่มของมนุษย์
หลินสวินจึงกระจ่างว่าเหตุใดมันมักพูดจาวางอำนาจเหมือนคนแก่ แต่นิสัยกลับขี้โวยวาย ชอบให้คนชม หยิ่งยโสอวดดี ไม่ต่างอะไรไปจากวัยหนุ่มแม้แต่น้อย
เมื่อคิดว่าอีกฝ่ายใช้ชีวิตมากว่าสองพันปี การที่จะให้หลินสวินมองเขาว่าเป็นเด็กหนุ่มก็ชักทะแม่งๆ อยู่
กระทั่งเหล้าหมดลง ตะพาบเขียวถึงพูดอย่างอาวรณ์ “น้องหลินสวิน เมื่อเจ้าเก่งถึงระดับหยั่งสัจจะแล้วก็จะเข้าใจว่าโลกนี้กว้างใหญ่กว่าที่เจ้าคิดนัก เปรียบเทียบกับโลกนี้ จักรวรรดิจื่อเย่านั่นก็เล็กเท่าเม็ดลูกกลอนเท่านั้นเอง หากภายหลังเจ้าอยากเที่ยวเล่นบนโลกนี้ ก็ให้มาหาข้าที่เกาะแสงขจีได้เสมอ ข้าจะพาเจ้าไปรู้จักว่าวิถีเซียนที่แท้จริงเป็นอย่างไร”
หลังจากร่ำสุรากันสนุกสนานแล้ว ตะพาบเขียวเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกหลินสวิน มองเขาเป็นดั่งคนสนิท แววความห่างเหินในวาจาลดลงไปมาก
คำพูดของเขายามนี้ เห็นชัดว่าพูดออกมาจากใจจริง
หลินสวินตื้นตัน ไม่คิดว่าบังเอิญมาจนถึงทะเลลึกห่างไกลจากจักรวรรดิเป็นหมื่นลี้แล้ว ยังได้รู้จักกับอสูรวิญญาณที่มีสติปัญญาเช่นนี้
เขาเริ่มเข้าใจความไม่เที่ยงธรรมของโลก รู้สึกโชคดีที่ได้พบพานกับตะพาบเขียวในครั้งนี้
“พี่ตะพาบเขียวไม่ต้องห่วง หากจัดการเรื่องวุ่นวายเสร็จแล้ว ข้าจะไปเยี่ยมท่านเอง” เขาเอ่ยรับปากทันที
ตะพาบเขียวเงยหน้าหัวเราะร่วน ไม่พูดอะไร พุ่งตัวเข้าไปในน้ำวนพร้อมกับหลินสวิน
โครม!
น้ำวนหมุนเวียน คลื่นน้ำพลังน่ากลัวดูดกลืนทึ้งมวลสรรพสิ่ง เพียงพริบตาก็พัดพาหลินสวินกับตะพาบเขียวเข้าไปข้างใน
ก่อนที่จะหมดสติลงหลินสวินเห็นตะพาบเขียวกลายร่างเป็นเด็กหนุ่มร่างสูงโปร่ง ทั้งยังสวมชุดสีเขียว หน้าตาหล่อเหลา ที่แท้มันก็ฝึกฝนจนกลายร่างเป็นคนได้แล้ว
ความคิดนี้แวบเข้ามาในหัว ภาพตรงหน้าหลินสวินดำมืด ร่างกายคล้ายถูกมือหนึ่งดึงตัวไป หายไปท่ามกลางกระแสน้ำพรางตา
…
ซู่ซ่า
เสียงกระแสน้ำเชี่ยวกรากปลุกหลินสวินให้ตื่น เมื่อลืมตาก็พบว่าตนเองนอนอยู่ในใต้น้ำ เขารู้ว่าที่นี่ไม่ใช่อนุสรณ์สถานโบราณแล้ว เด็กหนุ่มสะบัดหัวสูดลมหายใจ พุ่งขึ้นไปเหนือพื้นน้ำร้อยกว่าจั้ง
บัดนี้ท้องฟ้ามืดสนิท ดวงดาวพราวระยับ สองฝั่งของแม่น้ำเป็นแนวเทือกเขาสลับซับซ้อน บางทีก็มีเสียงคำรามของสัตว์ป่าดังขึ้นมา
หลินสวินสำรวจบริเวณโดยรอบแล้ว ถึงแน่ใจว่าตนเองกลับมาที่จักรวรรดิ และสถานที่แห่งนี้ก็คือแม่น้ำที่อยู่นอกเมืองมังกรเหลืองนั่นเอง
เขามองหาโขดหินแล้วนั่งลงเหม่อลอย หว่างคิ้วมีแววสับสนว่าที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นเพียงฝันหรือไม่ แต่เมื่อสำรวจเห็นสมบัติล้ำค่ามากมายในแหวน หลินสวินก็ตระหนักได้ว่านั่นไม่ใช่ฝัน แต่เกิดขึ้นจริงๆ
และที่ทำให้เป็นทุกอย่างเช่นนั้น ก็คือน้ำวนลึกลับที่อยู่ใต้แม่น้ำนั่น มันคล้ายเป็นทางเชื่อมลับพรางตา มีพลังพรางตาเคลื่อนย้ายที่คาดไม่ถึง
“รักษาตัวด้วย”
หลินสวินรำพึงขึ้นในใจ ในหัวปรากฏภาพของตะพาบเขียว
สวบ
เด็กหนุ่มไม่มัวลังเล เขาแวบไปกับความมืด ในเมื่อกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว ก็รีบไปที่นครต้องห้ามดีกว่า