Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3187 แท่นเคราะห์มรรคสวรรค์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3187 แท่นเคราะห์มรรคสวรรค์
ครู่ใหญ่หลินสวินคืนสติจากภวังค์ความคิด
มองห้วงอากาศรอบๆ ความคิดพลันพขยับไหว
ตูม!
พลังบ่อเกิดแรกกำเนิดแถบหนึ่งปรากฏ ผสานเข้าไปในร่างเขาทั้งหมด
นี่คือนัยเร้นลับบ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกเหง้าเลวร้าย ตอนนี้ถูกหลินสวินผสานเข้าไปในมรรควิถีของตน
‘ชั่วดีดนิ้วก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ควรจากไปได้แล้ว…’
หลินสวินก้าวเท้าออกไปก้าวหนึ่ง เงาร่างหายไปในประตูสวรรค์ที่ราวกับมายา
แดนเทพมากเร้น
“ในข่าวบอกว่าหลินสวินเข้าสู่โลกชั้นที่ห้า โลกเหง้าเลวร้ายแล้ว ด้วยมรรควิถีของเขาสามารถผ่านโลกนี้ได้อย่างง่ายดาย ถึงขั้นหากไม่ผิดคาด ตอนนี้เขาคงเข้าสู่โลกชั้นที่หก ‘โลกพันเคราะห์’ แล้ว”
ในคฤหาสน์แห่งหนึ่ง เพ่ยถูจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีพายัพเอ่ยเสียงขรึม
จอมมรรคชะตาสวรรค์อีกแปดคนล้วนนิ่งเงียบ สีหน้าอึมครึมไม่สามารถสงบได้
ถึงตอนนี้พวกเขากล้ามั่นใจแล้ว ว่าหลินสวินทะลวงผ่านโลกสี่ชั้นอย่างโลกแปรปุถุชน โลกภัยพิบัติ โลกมืดมน โลกย้อนอดีตแล้ว
และในระหว่างนี้ ทูตชะตาสวรรค์ที่อยู่ใต้อาณัติภาคีหรดี ภาคีอาคเนย์ ภาคีบูรพา ล้วนเสียหายอย่างหนักถ้วนทั่ว
ในช่วงนี้เพราะข่าวร้ายทยอยกระจายออกมา ทำให้อารมณ์ของจอมมรรคทั้งเก้าแห่งเก้าภาคีไท่ชูอึมครึมและกดดัน
“จากที่ข้าดู พลังต่อสู้ของเจ้าหมอนี่ไม่ด้อยกว่าจอมมรรคไร้ขอบเขตแล้ว ในบรรดาทูตชะตาสวรรค์ใต้อาณัติพวกเรา คงยากจะมีใครสามารถต่อสู้กับเขาได้”
เทียนซูจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีบูรพาพูดเสียงเบา
คนอื่นๆ มีหรือจะไม่รู้เรื่องนี้
“หรือว่า… พวกเราจะยอมแพ้เพียงเท่านี้หรือ” ขู่เหอจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีอาคเนย์ขมวดคิ้วกล่าว เขาไม่ยินยอมยิ่ง ไม่อยากหยุดเพียงเท่านี้
“ไม่ยอมแล้วจะทำอย่างไรได้ ให้เหล่าทูตชะตาสวรรค์ใต้อาณัติพวกเราไปตายหรือ” มีคนพูดอย่างเย็นเยียบ
“ทุกท่านไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน”
จู่ๆ เพ่ยถูจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีพายัพก็เอ่ยปาก ดึงดูดสายตาของทุกคนไปที่เขา
“ตอนนี้จะเล่นงานหลินสวินก็ใช่จะไม่มีโอกาส”
เพ่ยถูกล่าวเสียงขรึม “อย่างเช่นในโลกพันเคราะห์ คิดเล่นงานหลินสวิน สามารถลงมือจากบริเวณแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์ได้”
โลกพันเคราะห์ โลกชั้นที่หกแดนเทพสรรพวิญญาณ
ในโลกนี้มีด่านเคราะห์อันตรายมากมายกระจายอยู่ มีเคราะห์มรรคที่ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเล่นงานมรรควิถีโดยเฉพาะ และยังมีเคราะห์สังหารแปลกประหลาดนานาชนิด เช่นว่าหากไม่ระวังก็จะชักนำเคราะห์ปีศาจฟ้าเข้ามา หากทำอะไรโดยไม่คิด ก็จะนำพาเคราะห์กฎกรรม…
แตกต่างกันออกไป
ผู้ฝึกปราณเข้ามาในนี้ ก็จะพบเจอบททดสอบของด่านเคราะห์มากมาย และหากอยากจากไปก็จำเป็นต้องทะยานขึ้น ‘แท่นเคราะห์มรรคสวรรค์’ ข้ามมหาเคราะห์เก้าครั้ง เช่นนี้จึงจะสามารถชักนำผลมรรคแรกกำเนิดและเข้าประตูสวรรค์ได้
จอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าคนล้วนเคยเข้ามาในโลกนี้แล้ว แน่นอนว่ารู้ดีว่าบริเวณแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์มีโอกาสซุ่มโจมตีหลินสวินจริงๆ
เพียงแต่เช่นนี้ก็จะเสี่ยงมากเช่นกัน
“เว่ยอวิ้น ตอนนี้ภาคีอุดรของพวกเจ้ามีทูตชะตาสวรรค์อยู่ในโลกพันเคราะห์กี่คน”
เพ่ยถูหันไปมองคนหนึ่งในนั้น
นี่เป็นชายชุดขาวที่รูปร่างสูงเพรียวคนหนึ่ง ศีรษะสวมเกี้ยวประดับ คิ้วดาบตาดารา เป็นเว่ยอวิ้นจอมมรรคชะตาสวรรค์ภาคีอุดร
“สิบเก้าคน”
เว่ยอวิ้นกล่าว “ผู้นำคือจอมมรรควั่นจิ้ง ข้าจะส่งข่าวถึงเขา ส่วนเขาจะเคลื่อนไหวเต็มกำลังหรือไม่ ข้าไม่กล้ารับรอง”
“เช่นนี้ก็พอแล้ว”
เพ่ยถูพยักหน้าพูด “หากสำเร็จก็เป็นผลงานชิ้นใหญ่!”
……
โลกพันเคราะห์
หลินสวินและซย่าจื้อเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กัน มุ่งหน้าไปยังทิศตะวันออกของโลกนี้ แท่นเคราะห์มรรคสวรรค์ในข่าวลือก็ตั้งอยู่ในบริเวณนั้น
“ตามคำบอกเล่า บ่อเกิดแรกกำเนิดของโลกนี้สั่งสมนัยเร้นลับเกี่ยวกับ ‘เคราะห์’ เมื่อนานมาแล้วราชันไท่ชูได้รับต้นกำเนิดเคราะห์จากโลกนี้เช่นกัน ถึงได้สามารถควบคุมและใช้เคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจริงหรือเท็จก็เท่านั้น…”
ระหว่างทางหลินสวินพูดเสียงเบา
โลกพันเคราะห์ก็เหมือนต้นกำเนิดของด่านเคราะห์ในโลก มีพลังด่านเคราะห์นับไม่ถ้วนกระจายอยู่ ทำให้หลินสวินยังอดอยากรู้อยากเห็นไม่ได้ หากข่าวลือเกี่ยวกับราชันไท่ชูเป็นจริง ก็หมายความว่าตนก็มีโอกาสไปเสาะหานัยเร้นลับที่สามารถควบคุมเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพได้เช่นกันไม่ใช่หรือ
ตูม!
ในขณะที่กำลังพูดอยู่ อสนีเคราะห์แถบหนึ่งมาเยือนจากฟ้า อสนีพร่างพรายหอบม้วนกลิ่นอายด่านเคราะห์น่ากลัว ร่วงหล่นลงมาย่าสะพรึงยิ่ง
พลังระดับนั้นสามารถคุกคามขั้นไร้ขอบเขตได้!
เพียงแต่หลินสวินกลับคุ้นเคยนานแล้ว สะบัดแขนเสื้อคราเดียว เคราะห์อสนีทั่วฟ้าพลันถูกกลืนเข้าไปในแขนเสื้อของเขาทั้งหมด ไม่เหลือแม้แต่น้อย
หลินสวินพลิกมือ อสนีเคราะห์เหล่านี้ถูกหลอมเป็นพลังต้นกำเนิดด่านเคราะห์สีเทาหม่นเสี้ยวหนึ่ง อย่าเห็นว่าบางราวกับด้าย แต่กลับเต็มไปด้วยพลังทำลายล้างน่ากลัว
แต่ในสายตาหลินสวิน ในต้นกำเนิดเคราะห์นี้ นอกจากพลังทำลายล้างยังมีพลังชีวิตอันเร้นลับที่ยากจะสังเกตเห็น
“คำว่า ‘เคราะห์’ ก็คือฐานหินที่ทำให้ผู้ฝึกปราณแข็งแกร่งขึ้น ข้ามเคราะห์แล้วไม่ตาย ก็เหมือนนิพพานเกิดใหม่ครั้งหนึ่ง ทำให้มรรควิถีแห่งตนเกิดการเปลี่ยนแปลง และชีวิตของผู้ฝึกปราณเกิดการเปลี่ยนแปลง จากอ่อนแอกลายเป็นแข็งแกร่ง พัฒนาขึ้นไปทีละก้าว”
หลินสวินพูดเบาๆ ยามพูดต้นกำเนิดด่านเคราะห์เสี้ยวนี้ถูกเขาหลอมจนหมดสิ้น
หลังจากเข้าสู่โลกพันเคราะห์ ระหว่างทางเขากับซย่าจื้อเจอการโจมตีของด่านเคราะห์สารพัด มีทั้งเคราะห์มรรคที่เจาะจงเล่นงานมรรคาแห่งตน มีเคราะห์จิตที่เจาะจงเล่นงานสภาวะจิต ยิ่งมีเคราะห์สังหารต่างๆ ที่คิดไม่ถึง อย่างเช่นเคราะห์ภัยพิบัติ เคราะห์อสูรมารสวรรค์เป็นต้น
ตอนแรกหลินสวินยังระมัดระวังอย่างมาก
แต่พร้อมๆ กับการโจมตีด่านเคราะห์เหล่านั้นจนพินาศ ตอนนี้สภาวะจิตยิ่งสงบและเยือกเย็นอย่างที่สุด
“แต่ถ้าข้ามเคราะห์ล้มเหลวก็จะจิตสิ้นวิญญาณสลาย”
ซย่าจื้อพูด
“อยากแข็งแกร่งขึ้น จะไม่จ่ายค่าตอบแทนได้อย่างไร มรรคแห่งสวรรค์ทำลายสิ่งที่เกินเสริมสิ่งที่ขาด ทุกเรื่องบนโลกล้วนอยู่ในความสมดุลและความขัดแย้งอันละเอียดอ่อน ไม่ว่าจะข้ามเคราะห์หรือช่วงชิงวาสนา อยากได้ผลเก็บเกี่ยวก็ต้องรับความเสี่ยง”
หลินสวินพูดอย่างง่ายๆ “มีคนคิดว่าเคราะห์คือการทำลายและดับสูญ แต่ถ้าไร้เคราะห์จะมีหนทางที่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้อย่างไร”
หลินสวินเว้นช่วงไปก่อนกล่าวต่อ “นี่ก็เหมือนนัยเร้นลับนิพพานที่ข้าครอบครองอยู่ ข้ามเคราะห์แต่ไม่ตาย เหมือนผ่านการนิพพานครั้งหนึ่ง”
ซย่าจื้อมองหลินสวินเหมือนจนคำพูดแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “เดี๋ยวนี้เจ้าพูดจาน่าเบื่อขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
หลินสวินบื้อใบ้ไปแล้ว
เห็นชัดว่าซย่าจื้อไม่สนใจสักนิด
หลินสวินไม่เอ่ยถึงเรื่องพวกนี้อีก กล่าวว่า “รอหาโอกาส พวกเราไปย่างเนื้อกินกัน”
ซย่าจื้อตาเป็นประกาย “ควรเป็นเช่นนี้แต่แรกแล้ว!”
นางคำนวณดูแล้ว ตั้งแต่เข้าสู่แหล่งสถานอัศจรรย์ถึงตอนนี้ก็ไม่เคยได้ชิมฝีมือของหลินสวินเลย
หลินสวินเองก็ยิ้มเช่นกัน
ซย่าจื้อเรียบง่ายเช่นนี้มาโดยตลอด ใส่ใจเพียงสิ่งที่นางใส่ใจ และเรื่องที่สามารถทำให้นางดีใจได้ หนีไม่พ้นการกินและการนอนตลอดไป
สำหรับมหามรรคอะไร ความปรารถนาอะไร นางไม่เคยคิดถึงสักนิด
บางทีหลินสวินถึงขั้นอิจฉาซย่าจื้ออยู่บ้าง
ความคิดเรียบง่ายไร้เดียงสา ก็จะไม่มีความเดือดร้อนและกังวลมากขนาดนั้น
ทั้งสองพูดคุยพลางก้าวเดินไปข้างหน้า ระหว่างทางก็พบเจอการโจมตีจากด่านเคราะห์ต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
สามชั่วยามหลังจากนั้น
ในที่สุดทั้งสองก็เห็นแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์
มันสูงพันจั้งเต็ม ดำสนิทราวกับหมึกทั้งแท่น ถูกปกคลุมอยู่ในกลิ่นอายด่านเคราะห์แรกกำเนิด มีสายฟ้าไพศาลพลิกม้วนอยู่รอบๆ
มองจากไกลๆ ราวกับต้นกำเนิดของด่านเคราะห์โลกอย่างไรอย่างนั้น
ตอนนี้ในบริเวณแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์มีเงาร่างกระจายอยู่ไม่น้อย ล้วนเป็นขั้นไร้ขอบเขตใหญ่ กลิ่นอายแต่ละคนล้วนน่ากลัว
สำหรับหลินสวิน เงาร่างเหล่านั้นมีแต่จะแข็งแกร่งกว่าพวกชั้นยอดอย่างฉือเชียนจี อี้อู๋อิ๋น
ถึงอย่างไรโลกพันเคราะห์ก็เป็นโลกชั้นที่หกแล้ว ผู้ฝึกปราณที่สามารถมาถึงที่นี่ได้ ล้วนต้องแข็งแกร่งกว่าบรรดาคนที่อยู่ในโลกชั้นก่อนหน้านี้
ยามหลินสวินและซย่าจื้อเข้าใกล้ก็ดึงดูดความสนใจของสายตามากมายบริเวณแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์แล้ว
คนหนึ่งในนั้นพลันยิ้มเอ่ย “สหายน้อยหลิน แม่นางซย่าจื้อ คิดไม่ถึงว่าพวกเจ้าจะมาเร็วขนาดนี้”
“ผู้อาวุโส พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
หลินสวินเองก็ยิ้มเช่นกัน คนผู้นั้นก็คือฉือเชียนจีนั่นเอง
หลินสวิน!
และตอนนี้เหล่าขั้นไร้ขอบเขตใหญ่บริเวณรอบๆ ล้วนเผยสีหน้ากระจ่างทันทีเมื่อรู้ฐานะของหลินสวิน
ในไม่กี่ร้อยปีมานี้ข่าวเกี่ยวกับหลินสวินแพร่กระจายออกเป็นวงกว้าง เฒ่าชราอย่างพวกเขาแม้ถูกขังในโลกนี้ไม่รู้นานเท่าไร แต่ก็รู้เรื่องของหลินสวินไม่มากก็น้อย
ระหว่างที่คุยกันหลินสวินเองก็ได้รู้ว่าฉือเชียนจีมาถึงที่นี่เป็นเวลาร้อยปีแล้ว กลับไม่เคยขึ้นไปบนแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์นั่นเสียที
อิงตามที่ฉือเชียนจีพูด มหาเคราะห์ที่กระจายอยู่บนแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์แตกต่างไปตามคน มรรควิถียิ่งแข็งแกร่ง มหาเคราะห์ที่ประสบก็ยิ่งน่ากลัว
อย่างพวกเฒ่าชราที่กระจายอยู่ในบริเวณนี้ บ้างถูกขังที่นี่มาหลายแสนปีแล้ว จนตอนนี้ยังไม่สามารถข้ามผ่านสำเร็จ
ปัง!
ระหว่างสนทนา ทันใดนั้นเงาร่างหนึ่งล้มลงจากแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์นั่น แตกหักไปทั้งตัว บาดแผลเต็มร่าง น่าอนาถอย่างที่สุด
ทันทีที่ตกสู่พื้นก็อดพูดอย่างขมขื่นไม่ได้ “อีกเพียงก้าวเดียวอีกแล้ว!”
ผู้ฝึกปราณมากมายบริเวณนั้นต่างเสียดายแทน
“เจ้าเฒ่านี่บุกขึ้นไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว แต่ก็พ่ายแพ้ภายใต้มหาเคราะห์ชั้นที่เก้าทุกครั้งไป” ฉือเชียนจีถอนหายใจยาว
“วันนี้ยังมีคนคิดจะบุกแท่นมรรคนี้อีกหรือไม่”
มีคนถาม
ทุกคนบริเวณนั้นต่างส่ายหน้า
ส่วนหลินสวินเคลื่อนสายตาไปมองซย่าจื้อ “เจ้าจะลองดูหรือไม่”
“ได้”
ว่าพลางซย่าจื้อก็ตรงขึ้นไปบนแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์แล้ว
“สหายน้อย พวกเจ้าเพิ่งมา ยังไม่รู้ความน่ากลัวของแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์แห่งนี้ จะเสี่ยงให้แม่นางซย่าจื้อไปลองได้อย่างไร” ฉือเชียนจีอดพูดไม่ได้
“ให้นางไปเถอะ ต่อให้ล้มเหลวก็ไม่เป็นไรหรอก”
หลินสวินยิ้มพูด
และตอนนี้การกระทำของซย่าจื้อได้ดึงดูดสายตาของทุกคนในที่นั้นแล้ว
ฟุ่บ!
เงาร่างสูงเพรียวอรชรของนางหายไปบนแท่นเคราะห์มรรคสวรรค์ที่สายฟ้ามากมายปกคลุมในพริบตา มองจากภายนอกไม่สามารถเห็นสิ่งที่เดินขึ้นข้างในได้
แม้ใช้จิตรับรู้ก็ไม่สามารถ
เห็นดังนี้บรรดาผู้ฝึกปราณที่เดิมทีจะจากไปต่างเลือกอยู่ต่อ อยากดูผลลัพธ์ในตอนท้ายสุดสักหน่อย
ส่วนฉือเชียนจีฉวยโอกาสนี้สื่อจิตว่า ‘สหายน้อย เท่าที่ข้ารู้ทูตชะตาสวรรค์ของเก้าภาคีไท่ชูล้วนมองเจ้าเป็นศัตรู และในโลกพันเคราะห์มีทูตชะตาสวรรค์ของภาคีอุดรสิบเก้าคน พลังต่อสู้ของพวกเขาล้วนแข็งแกร่ง โดยเฉพาะจอมมรรควั่นจิ้งที่เป็นผู้นำ พลังต่อสู้ยิ่งลึกล้ำไม่อาจคาดเดา เจ้าต้องระวังหน่อย!’
……………………