Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3197 ปราการใจของเถียนรั่วจิ้ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3197 ปราการใจของเถียนรั่วจิ้ง
ตอนที่ 3197 ปราการใจของเถียนรั่วจิ้ง
สำนักสวรรค์ยุทธ์ซึ่งไร้ที่ระบายเพลิงโทสะล้วนไม่พอใจผู้อาวุโสชั้นสูงชิงเฟิงยิ่งกว่าเดิมแล้ว
ผู้คนไม่น้อยยิ่งคิดว่าเขาก็คือตัวการทำร้ายผู้อาวุโสชั้นสูงชิงเหิงจนบาดเจ็บ
ในเงามืดยิ่งไม่รู้ว่ามีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เท่าไรดังขึ้น ส่วนใหญ่มุ่งเป้าไปทางผู้อาวุโสชั้นสูงชิงเฟิง
สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่สนใจและไม่ใส่ใจ
ตอนนี้เขาต้องเก็บงำตนเอง สั่งสมมรรควิถี
สิ่งที่ทำให้สำนักสวรรค์ยุทธ์คิดไม่ถึงคือวันที่สามหลังจากชิงเหิงบาดเจ็บกลับมา เถียนรั่วจิ้งผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งสำนักวิญญาณสวรรค์มาเยี่ยมเยือนเพียงลำพัง
ตอนนั้นในงานชุมนุมร้อยสำนัก เถียนรั่วจิ้งเป็นคนโจมตีชิงเหิงจนบาดเจ็บสาหัส ทำให้ทั้งสำนักสวรรค์ยุทธ์เดือดดาล
แต่ตอนนี้นางกลับมาสำนักสวรรค์ยุทธ์ นี่ต้องการจะทำอะไร
วางอำนาจบาตรใหญ่?
หรือต้องการแก้แค้นอีก?
ไม่ว่าอย่างไรฐานะของเถียนรั่วจิ้งตอนนี้ก็เทียบกับแต่ก่อนไม่ได้โดยสิ้นเชิง ต่อให้ในใจต่อต้านและอยากขับไล่แค่ไหน เจ้าสำนักฝูอวิ๋นจื่อก็ยังออกหน้าด้วยตัวเอง
แต่เมื่อรู้จุดประสงค์การมาของเถียนรั่วจิ้ง ฝูอวิ๋นจื่อกลับรู้สึกผิดคาดโดยพลัน
นางถึงกับมาหาผู้อาวุโสชั้นสูงชิงเฟิง!
หอเก็บตำรา
เมื่อรู้ว่ายามนี้เถียนรั่วจิ้งกำลังรอตนอยู่ในโถงรับแขกของสำนัก หลินสวินเลิกคิ้วอย่างอดไม่ได้ ผู้หญิงคนนี้มาทำอะไร
หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งแล้วลุกขึ้น เดินตรงไปข้างหน้า
เขาอยากดูนักว่าหญิงซึ่งเกือบทำลายชิงเฟิงคนนี้ มาคราวนี้ด้วยมีเจตนาอะไรกันแน่
…
โถงรับแขก
เถียนรั่วจิ้งนั่งอยู่ตรงนั้นคนเดียว สวมชุดกระโปรงขาวหิมะ ผมดำราวน้ำตก เครื่องหน้าทั้งห้างามประณีต ผิวพรรณพิสุทธิ์ผุดผ่อง ภายใต้คิ้วคือนัยน์ตาส่องประกายดังดวงดาว
เวลานี้นางนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนเซียนเยือนโลกโลกีย์ มีกลิ่นอายโดดเด่นอย่างมาก
เมื่อหลินสวินมาถึงโถงใหญ่ พริบตาแรกที่เห็นผู้หญิงคนนี้ ในใจรู้สึกขมขื่นตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก ทำให้สายตาเขาเปลี่ยนแปลกออกไป
นี่คือความรู้สึกโดยสัญชาตญาณของชิงเฟิง!
แต่เพียงพริบตาก็ถูกหลินสวินสะกดกลั้น ก้าวเท้าเข้าไปในโถงใหญ่
สายตาเถียนรั่วจิ้งมองมาทางเขาทันที เต็มไปด้วยความเฉยชา สีหน้ายิ่งไม่มีคลื่นความรู้สึกใดๆ
ก็เหมือนผู้สูงส่งคนหนึ่งกำลังมองมดปลวกบนพื้นตัวหนึ่งอย่างเฉยชา
“เจ้ามาหาข้าด้วยเรื่องใด”
หลินสวินนั่งบนเก้าอี้ มองเถียนรั่วจิ้งตรงหน้า มองความเย่อหยิ่งรางเลือนกลางหว่างคิ้วของอีกฝ่าย ในใจพลันขบขันอย่างอดไม่ได้
นานมาแล้วยามอยู่โลกยอดนิรันดร์ อย่าว่าแต่เหล่ามกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ แม้แต่ระดับอมตะเห็นตนก็ต้องก้มหัว
เมื่อผ่านการต่อสู้บนทะเลโชคชะตา กระทั่งเข้าสู่แหล่งสถานอัศจรรย์ จอมมรรคไร้ขอบเขตบนมรรคานิรันดร์พวกนั้นล้วนได้แต่ก้มกราบต่อหน้าตน
ตอนนี้มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิตัวจ้อยคนหนึ่งกลับวางท่าต่อหน้าตน ช่างน่าขันอะไรเยี่ยงนี้
เถียนรั่วจิ้งอึ้งงันเล็กน้อย คล้ายแปลกใจอยู่บ้างที่ชิงเฟิงพูดกับตนเช่นนี้ “เพราะข้าทำลายรากฐานมหามรรคของศิษย์พี่เจ้า ถึงทำให้เจ้าเริ่มมองข้าเป็นศัตรูแล้วหรือ”
หลินสวินกล่าว “เจ้ามาครั้งนี้คงไม่ได้คิดมาเป็นคู่บำเพ็ญของข้ากระมัง”
ส่วนลึกของนัยน์ตาเถียนรั่วจิ้งเผยแววเย็นชากล่าวว่า “คู่บำเพ็ญ? เหอะ บนโลกนี้คงมีแค่เจ้าชิงเฟิงที่โง่เขลาและน่าขันเช่นนี้ ปีนั้นตั้งแต่รากฐานมหามรรคของเจ้าถูกโจมตีอย่างหนัก เจ้ากับข้าก็ไม่ใช่คนจากโลกเดียวกันนานแล้ว แต่เจ้ากลับไม่ยอมรับความจริง หลายปีนี้คอยเซ้าซี้ข้าจนลำบากมาตลอด ก่อเรื่องน่าขันนับไม่ถ้วน ข้าสงสัยนักว่าเจ้า… ไม่คิดว่าน่าอายบ้างหรือ”
หัวคิ้วหลินสวินขมวดขึ้น
แต่ไม่รอให้เขาเอ่ยปาก นัยน์ตาเถียนรั่วจิ้งฉายแววเย้ยหยันกล่าวว่า “จันทร์กระจ่างบนฟ้าไม่มีทางเกลือกกลั้วธุลีบนพื้นดิน นี่คือเรื่องที่ผู้คนต่างรับรู้ มีเพียงเจ้าที่ไม่ยอมรับความจริงเช่นนี้ ดูทุกการกระทำของเจ้าช่วงหลายปีมานี้ ทั้งดูชื่อเสียงในโลกผู้บำเพ็ญตอนนี้ของเจ้าสิ ช่างน่าเศร้าอะไรเยี่ยงนี้!”
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ยิ่งชิงเฟิงตรงหน้านิ่งสงบ ในใจเถียนรั่วจิ้งกลับเกิดเพลิงโทสะอย่างบอกไม่ถูก
แต่สิ่งที่ทำให้นางผิดคาดคือต่อให้ถูกเย้ยหยันและถากถางเช่นนี้ ชิงเฟิงกลับไม่มีสัญญาณว่าจะถูกยั่วโทสะแม้เพียงเสี้ยว ยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิม
“จริงดังคาด เจ้าเหมือนที่คนพวกนั้นพูดกัน ไม่สนว่าชื่อเสียงของตนย่ำแย่แค่ไหน ในใจไม่มีความละอายแม้แต่น้อย ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าสวะอย่างเจ้าอยู่บนโลกแล้วยังมีความหมายอะไร!”
เถียนรั่วจิ้งกล่าวเย็นชา
“พูดจบหรือยัง” หลินสวินถาม
ท่าทางไม่โศกเศร้ายินดีนั้นทำให้เถียนรั่วจิ้งแน่นหน้าอก ขณะเดียวกันยังรู้สึกแปลกอยู่บ้างรางๆ ผ่านมาหลายปีขนาดนี้ เจ้าหมอนี่ไม่ลุ่มหลงตนแล้วหรือ ทำไมตอนนี้กลับนิ่งเฉยเช่นนี้
“ถือโอกาสนี้ข้าก็มีเรื่องมากมายอยากถามเจ้า”
หลินสวินกล่าว
เมื่อได้ยินดังนั้นสีหน้าของเถียนรั่วจิ้งเย็นชาขึ้นมา คล้ายเดาออกว่าเขาจะถามอะไร กล่าวว่า “หากเจ้าคิดพูดเรื่องปีนั้นที่ข้าเคยรับปากว่าจะแต่งกับเจ้า ขอเตือนเจ้าว่าอย่าถามเลย ถามไปก็รนหาที่เอง”
หลินสวินกล่าว “ข้าแค่อยากรู้ว่าในเมื่อเจ้าไม่ยินดี ทำไมไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนกับข้า กลับทำให้ข้าคาดหวังมาตลอด ทำให้ข้ารอเจ้าอย่างยากลำบากมาถึงตอนนี้”
เถียนรั่วจิ้งคล้ายรู้สึกขบขันนัก “ชิงเฟิง ถ้าเป็นคนทั่วไปใครจะโง่เขลาเหมือนเจ้า ไม่เข้าใจว่าสาเหตุที่ข้าไม่เจอเจ้าคือการปฏิเสธเจ้าหรือ”
หลินสวินส่ายหัว “ไม่ใช่ เจ้ากำลังกังวล”
“ข้ากังวลอะไร” เถียนรั่วจิ้งอึ้งงัน
หลินสวินมองตานางพลางกล่าว “เจ้าห่วงว่าข้าจะพูดเรื่องที่ข้าช่วยเจ้าในแดนลับเมื่อปีนั้นออกไป ทั้งห่วงว่าผู้คนจะรู้เรื่องที่เจ้าเคยรับปากว่าจะแต่งกับข้า ถ้าให้ผู้คนรู้จะเป็นการโจมตีชื่อเสียงเจ้าอย่างมาก ถึงอย่างไรข้าก็ได้รับแผลมรรคมาเพราะช่วยเจ้า”
นัยน์ตาเถียนรั่วจิ้งหดรัด
หลินสวินกล่าวต่อ “ดังนั้นเจ้าจึงไม่กล้าตัดความสัมพันธ์กับข้าทันที ถ่วงเวลาได้นานเท่าไหร่ก็ถ่วงเวลาให้นานเท่านั้น เมื่อเวลาเปลี่ยนเป็นนานขึ้นเรื่อยๆ ยามข้าพูดเรื่องปีนั้นออกไป ทุกคนจะคิดว่าข้าสาดโคลนใส่เจ้าด้วยอับอายจนกลายเป็นโกรธ ถึงอย่างไรในสายตาผู้คนข้าก็เป็นตัวตลก ส่วนเจ้าเถียนรั่วจิ้งเป็นผู้อาวุโสชั้นสูงแห่งสำนักวิญญาณสวรรค์ที่ทรงเกียรติ ใครจะเชื่อคำที่ข้าพูดอีก”
เถียนรั่วจิ้งจ้องมองหลินสวินครู่หนึ่ง คล้ายผิดคาดยิ่ง ทั้งเหมือนแปลกใจมาก “ดูท่าว่าเจ้าไม่ได้โง่ ทำไมหลายปีนี้กลับทำเรื่องโง่เขลาเช่นนั้น”
หลินสวินกล่าว “ความโง่เขลาที่เจ้าคิดไว้ สำหรับข้าเป็นความลุ่มหลงและเฝ้ารอจากก้นบึ้งหัวใจ แต่ตอนนี้ข้าปล่อยวางแล้ว”
ใบหน้างามของเถียนรั่วจิ้งเผยแววหยามเหยียด “ตระหนักได้แล้วอย่างไร ด้วยสถานการณ์ของเจ้าตอนนี้ยังแก้แค้นข้าได้หรือ เหมือนที่ข้ากล่าวก่อนหน้านี้ ต่อให้เจ้ารู้ตัวก็เป็นสวะ ชีวิตนี้ยากจะก้าวหน้าในระดับกระบวนแปรจุติ ต่างจากข้าที่อีกสิบปีจะไปยังหอเซียน เตรียมตัวแจ้งมรรคบนมรรคาอมตะ หากถึงตอนนั้นระหว่างเจ้ากับข้าก็ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกันอีก”
น้ำเสียงเยียบเย็นเฉยชา ไม่ปกปิดแววหยามเหยียดที่มีต่อชิงเฟิงสักนิด
หลินสวินมองนางพลางกล่าว “เข้าเรื่องเถอะ”
เถียนรั่วจิ้งกล่าว “ก็ดี ในเมื่อเจ้าตาสว่างรับรู้ว่าตัวเองไม่เอาไหนแล้ว เช่นนั้นข้าขอพูดตามตรง ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปหากข้ารู้ว่าโลกภายนอกมีข่าวลือทำลายชื่อเสียงของข้าแม้แต่น้อย สำนักสวรรค์ยุทธ์นี้… ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่ออีก ข้าเชื่อว่าเจ้าน่าจะรู้ดีว่าผลที่ตามมานี้ร้ายแรงแค่ไหน”
หลินสวินถามกลับ “ในเมื่อเจ้ากังวลเช่นนี้ ทำไมไม่ลงมือฆ่าข้าเล่า”
เถียนรั่วจิ้งเหลือบมองเขาอย่างเย็นชาคราหนึ่งพลางกล่าว “เจ้าช่วยชีวิตข้า ข้าจะฆ่าเจ้าได้อย่างไร ข้าไม่ทำให้เจ้าตายหรอก ข้าอยากให้เจ้าเห็นว่าข้าก้าวสู่ระดับอมตะทีละขั้น ยืนอยู่เหนือโลกแปรมรรคนี้อย่างไร!”
หลินสวินยิ้มขึ้นมา ชี้ตรงหน้าอกตัวเอง “ที่แท้เรื่องที่ข้าช่วยเจ้าเมื่อปีนั้นกลายเป็นปมในใจเจ้าแล้ว ถ้าเช่นนั้นหลายปีนี้เจ้าเหมือนมารในใจข้า ส่วนข้าก็เหมือนปราการใจของเจ้า”
เมื่อเห็นรอยยิ้มเจือความนิ่งสงบของชิงเฟิง ในใจเถียนรั่วจิ้งเผยไอสังหารอย่างบอกไม่ถูก
แต่สุดท้ายนางยังสะกดกลั้นไว้ได้
“ชิงเฟิง ข้าพูดจบแล้ว ดูจุดจบของชิงเหิงศิษย์พี่เจ้าไว้ เจ้าน่าจะรู้ว่าหากคิดกำจัดสำนักสวรรค์ยุทธ์ สำหรับข้าแล้วไม่ใช่เรื่องยาก”
เถียนรั่วจิ้งพูดจบแล้วหันหลังจากไป
หลินสวินมองนางจากไปแล้วลุกขึ้น คิดกลับที่พักของตน
แต่ยังไม่ทันก้าวออกจากโถงใหญ่ก็ถูกเจ้าสำนักฝูอวิ๋นจื่อขวางไว้
“อาจารย์อา นางมาครานี้ด้วยเรื่องใด” ฝูอวิ๋นจื่อสีหน้าเคร่งเครียด
หลินสวินกล่าว “นางมาโน้มน้าวข้าให้เลิกล้ม อย่าพยายามทำสิ่งที่ไม่ควรทำกับนางอีก”
ฝูอวิ๋นจื่ออึ้งงัน “แค่นี้หรือ”
หลินสวินยิ้มกล่าว “คนสูงศักดิ์อย่างนางจะมาแต่งงานกับคนอัปยศของสำนักอย่างข้าหรือ”
ฝูอวิ๋นจื่อร้องเอ้อคำหนึ่ง ถึงกับพูดไม่ออกทันที
เขาลังเลอยู่นานก่อนกล่าวเสียงเบา “อาจารย์อา เถียนรั่วจิ้งคนนี้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิงแล้วจริงๆ อีกสิบปีนางจะกลายเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งของหอเซียน ท่าน… ท่านอย่าดื้อดึงไม่ยอมรับอีกเลย”
หลินสวินกล่าว “วางใจเถอะ ข้าไม่ทำแล้ว”
พูดจบเขาก็หันหลังจากไป
ฝูอวิ๋นจื่ออดสงสัยไม่ได้ เขารู้สึกว่าวันนี้อาจารย์อาเหมือนต่างออกไปอยู่บ้าง
‘หรือว่า… อาจารย์อาวางความยึดมั่นในใจลงแล้วจริงๆ หากเป็นเช่นนี้ก็คือเรื่องน่ายินดีอย่างหนึ่ง’ ฝูอวิ๋นจื่อพึมพำในใจ
ปัจจุบันเถียนรั่วจิ้งไม่ใช่ผู้ที่พวกเขาสำนักสวรรค์ยุทธ์ล่วงเกินได้แล้ว ต่อให้ชิงเหิงถูกนางทำลายรากฐานมหามรรค แต่พวกเขาก็ได้แต่อดกลั้น
นี่ก็คือความจริง
…
สำนักวิญญาณสวรรค์
หลังจากกลับมายังถ้ำสถิตของตน สภาวะจิตของเถียนรั่วจิ้งกลับไม่อาจนิ่งสงบอยู่ตลอด
‘ชิงเฟิงมองปราการในใจข้าออกได้อย่างไร’
เถียนรั่วจิ้งขมวดคิ้ว
‘เจ้าเหมือนมารในใจข้า ส่วนข้าก็เหมือนปราการใจของเจ้า’ เมื่อนึกถึงประโยคที่ชิงเฟิงพูดออกมา ในใจเถียนรั่วจิ้งเกิดไอสังหารอย่างระงับไม่อยู่อีกครั้ง
ใช่ ชิงเฟิงก็คือปราการในใจนาง
เหตุผลนั้นง่ายมาก ปีนั้นชิงเฟิงเคยช่วยชีวิตนาง ทั้งเคยทำให้นางซาบซึ้งใจ ถึงขั้นสาบานว่าชีวิตนี้จะอยู่เคียงข้างชิงเฟิงนิรันดร์
แต่ต่อมานางกลับเปลี่ยนใจ
นางไม่รู้สึกว่าตนทำอะไรผิด ตอนนั้น… ตนไม่ได้ให้ชิงเฟิงมาช่วยเสียหน่อย!
ยิ่งไปกว่านั้นคนเราต้องเติบโต สิ่งที่นางมุ่งหวังคือคู่บำเพ็ญที่แข็งแกร่งพอ ทำให้นางแหงนมองได้ ไม่ใช่คนไร้ประโยชน์ที่รากฐานมหามรรคมีปัญหา!
หลายปีนี้เถียนรั่วจิ้งไม่เคยนำเรื่องนี้มาใส่ใจตลอด แต่เมื่อนางฝึกปราณถึงระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ ต้องเริ่มเสาะหามรรคาอมตะ
นางกลับค้นพบฉับพลันว่า ‘บุญคุณช่วยชีวิต’ เมื่อปีนั้นกลับกลายเป็นปราการในใจตน!
ดังนั้นนางจึงไปพบชิงเฟิงด้วยตัวเอง พยายามตัดกรรมนี้ทิ้งไปโดยสิ้นเชิง
แต่ตอนนี้…
เถียนรั่วจิ้งพลันพบว่าหลังจากเจอชิงเฟิง ไม่เพียงไม่แก้ปัญหานี้ สภาวะจิตของตนกลับจมอยู่กับปราการนี้ยิ่งกว่าเดิม!
‘ชิงเฟิง เจ้าทำร้ายกันมากจริงๆ!’
ในใจเถียนรั่วจิ้งรู้สึกเดือดดาลอย่างบอกไม่ถูก
………………….