Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 320
หลินสวินตกอยู่ในภวังค์เงียบ
เมื่อรู้สถานะของตนเองแล้ว เดิมทีเขาควรจะดีใจ แต่หลังจากรู้ว่าบิดาถูกฆ่า มารดาหายตัวไป ท่านปู่และสายเลือดสายตรงคนอื่นล้วนไม่มีชีวิตรอดแล้ว เขากลับดีใจไม่ออก กระทั่งในใจเกิดความเคียดแค้นลึกๆ
ตระกูลหลินที่ยิ่งใหญ่ ถูกอำนาจใหญ่อื่นในนครต้องห้ามแบ่งสรรไป เพราะคนในตระกูลแย่งชิงอำนาจ ต่อสู้กันเอง ทำให้หลินสวินไม่รู้จะเกลียดใครดี
เกลียดคนในตระกูลที่ไร้ความสามารถ
เกลียดกลุ่มอำนาจที่เข้ามาเอาสมบัติ
หรือเกลียดทุกอย่าง
น่าสมเพช
หลินสวินนึกถึงคำรำพึงของชายชราเมื่อครู่ ในใจอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสังเวช ข้างในร้อนรุ่มข้างนอกวุ่นวาย แตกแยกระหองระแหง นี่คือคำอธิบายเอ่ยถึงตระกูลหลินในตอนนั้น
“ผู้อาวุโสขอรับ ตระกูลฉือได้เป็นหนึ่งนำนาจที่เอาทรัพย์สมบัติตระกูลหลินไปด้วยใช่หรือไม่ ถึงได้กีดกันไม่ให้ข้าเข้ามาในนครต้องห้าม” หลินสวินถาม
“เจ้าเดาไม่ผิด อำนาจที่เคยเอาสมบัติของตระกูลหลินไปไม่อยากให้เจ้ากลับเข้ามาในนครต้องห้าม”
ชายชราว่า “เพราะเจ้าเป็นบุตรของหลินเหวินจิ้งกับลั่วชิงสวิน ปู่ของเจ้าคือผู้นำตระกูลหลิน ดังนั้นหลังจากที่พ่อและปู่ของเจ้าตายไป เจ้าคือผู้มีสิทธิ์จะได้เป็นผู้สืบทอดตระกูลหลินที่สุด”
หลินสวินท่าทางสงบนิ่ง ดวงตาสีดำไร้ความรู้สึก เปล่งเสียงรับคำในลำคอแล้วว่า “พวกเขาคงจะไม่ได้กลัวสถานะของข้า อย่างไรเสียหากจะฆ่าข้าก็ง่ายดายนักสำหรับพวกเขา”
สายตาของชายชราปรากฏความชื่นชม คาดไม่ถึงว่าเวลาเช่นนี้ หลินสวินไม่เพียงคงซึ่งความสงบไว้ได้ แต่ยังคิดถึงข้อสำคัญของปัญหาได้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ทำได้
“ไม่ผิด มีคนไม่อยากให้เจ้ากลับมายังนครต้องห้าม ก็ย่อมมีคนอยากให้เจ้ากลับมา อย่างเช่นอำนาจตระกูลฉือที่หวั่นเกรง ก็คือกลุ่มคนที่อยากให้เจ้ากลับมา”
คำพูดแปลกๆ ของชายชรา ทำให้หลินสวินก็เข้าใจได้ในทันที
ท้ายที่สุดแล้ว ทุกอย่างก็คล้ายเกี่ยวกับตัวเขาทั้งหมด จริงๆ แล้วก็เป็นเพราะอำนาจสองฝั่งกำลังถ่วงดุลกันนั่นเอง
ตระกูลฉือแสดงออกว่าเป็นฝั่งอำนาจที่ไม่ต้องการให้เขากลับมา
แล้วฝั่งอำนาจที่ต้องการให้เขากลับมาจะเป็นใครกัน
“อำนาจนั้นมาจากราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ” ชายชราให้คำตอบทันที
ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ!
หลินสวินใจสั่น เหตุใดเรื่องนี้ถึงเข้าไปเกี่ยวข้องกับราชวงศ์ได้เล่า
ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ เพียงแค่ชื่อก็แสดงถึงฐานะและอำนาจเหนือกว่าใครในจักรวรรดิแล้ว
“ส่วนจะเป็นใครนั้น ตอนนี้ยังบอกเจ้าไม่ได้”
ชายชรามีท่าทีแปลกไป “เจ้าเพียงรู้ว่า เพราะท่าทีของบุคคลใหญ่โตในราชวงศ์ผู้หนึ่ง ถึงทำให้เจ้ามีโอกาสกลับเข้ามาในนครต้องห้ามได้”
เด็กหนุ่มนิ่งไปด้วยคิดไม่ตก “เหตุใดถึงบอกข้าไม่ได้”
“เพราะข้ากับคุณหนูก็ไม่แน่ใจว่าบุคคลในราชวงศ์ผู้นั้นคือท่านใด” ชายชรายิ้มอย่างจนใจ
“บางทีเมื่อโอกาสพร้อมแล้ว ท่านผู้นั้นอาจจะบอกกับเจ้าด้วยตัวเองก็ได้”
หลินสวินใจระส่ำ แม้แต่ตำหนักแสงทมิฬก็ตรวจหาไม่ได้ว่าเป็นใคร เรื่องนี้ช่างลึกลับเกินไปแล้ว
“ที่ข้ารับรู้มาก็บอกเจ้าไปหมดแล้ว ที่เหลือเจ้าต้องสืบค้นด้วยตัวเอง อย่างไรเสียความวุ่นวายทั้งหมดก็เกิดขึ้นเพราะเจ้า ดังนั้นมีเพียงเจ้าที่สามารถค้นหาความจริงได้”
ชายชราว่าจบก็คล้ายปลดแอกในใจ
หลินสวินสูดหายใจลึก ประสานมือขึ้น “ขอบคุณมากขอรับผู้อาวุโส”
นับแต่ออกจากเมืองตงหลิน ชายชราผู้นี้ส่งตัวเขาไปฝึกยังค่ายกระหายเลือด รวมถึงได้รับการดูแลจากเสวี่ยจิน จนชิงอันดับหนึ่งของการทดสอบระดับมณฑลมาได้
การมานครต้องห้ามในครั้งนี้ ชายชราและตำหนักแสงทมิฬให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับข่าวคราวแก่เขามากมาย ตอนนี้ชายชรายังบอกเล่าเรื่องราวเก่าๆ ให้เขาฟัง ช่วยให้เขาทราบถึงความจริง บุญคุณครั้งนี้ทำหลินหลินสวินซาบซึ้งเป็นอย่างมาก
เขารู้ หากตนเองค้นหาคำตอบเอง ก็คงไม่สามารถรับรู้เรื่องราวได้ง่ายเพียงนี้
“ดูนั่น ที่ไกลออกไปคือนครต้องห้าม” อยู่ๆ ชายชราก็หยัดกายตรงมองไปยังที่ไกลโพ้น
หลินสวินตื่นจากภวังค์ความคิด เงยหน้าขึ้นมอง หรี่ดวงตาด้วยความตื่นเต้น
พื้นที่ห่างไกลนั้นมีกำแพงโบราณและแม่น้ำขนาดใหญ่โอบล้อม ขนาดของมันมโหฬารนัก
ไอสีม่วงลอยเดือดขึ้นมาจากแม่น้ำ แสงอาทิตย์ในเวลาอัสดงย้อมสีแม่น้ำเป็นสีม่วงทองอร่ามสวยงามแลดูศักดิ์สิทธิ์ ความตระการตาที่เห็นคล้ายหลงมาจากตำนานเทพโบราณ ภาพนั้นเรืองรองจนทำให้จิตวิญญาณของผู้พบเห็นสั่นสะท้าน
เวลานี้ชายชราพาหลินสวินลดระดับความสูงลงมาอยู่ที่พื้น เมื่อมองภาพของนครต้องห้ามที่ไกลออกไป ทิวทัศน์นั้นก็ไม่เหมือนเดิม
กำแพงเมืองตระหง่านปานภูเขาโอ่อ่าหรูหรา เพียงประตูเมืองก็สูงถึงร้อยจั้ง ครั้นมองลึกเข้าไป ก็จะเห็นภูเขาลอยอยู่บนฟ้ามากมายล้วนเปล่งแสงวิญญาณสวยงามดึงดูดสายตา
บนภูเขานั้นมีสิ่งปลูกสร้างทรงโบราณหลากหลายแตกต่างกันออกไป บ้างก็ยิ่งใหญ่ตระการตา บ้างก็หรูหราโอ่อ่า บ้างก็เป็นทรงโบราณ บ้างก็สวยงามโดดเด่น
ภูเขาลอยได้เหล่านั้นมีไม่ต่ำกว่าร้อยลูก!
จินตนาการได้ยากยิ่งว่าในเมืองหนึ่งจะมีภูเขาลอยได้มากถึงเพียงนี้ และบนสิ่งก่อสร้างนั้นคล้ายกับเป็นเมืองอีกเมืองอยู่ข้างใน
ผู้คนต่างขนานนามมันว่า ‘ภูเขาแห่งอำนาจ’
มีเพียงตระกูลมีอำนาจเท่านั้น ถึงสามารถมีภูเขาและก่อตั้งตระกูลของตัวเองไว้บนนั้นได้ นี่เป็นสิทธิพิเศษของตระกูลมีอำนาจ ซึ่งคอยประกาศเกียรติภูมิของตระกูลให้แก่ผู้อื่นทราบ เปรียบเสมือนอำนาจและฐานะของตระกูลเลยทีเดียว
ภูเขาแห่งอำนาจมีทั้งหมดเจ็ดสิบสองลูก ผู้ที่สามารถครอบครองหนึ่งในภูเขาเหล่านี้ได้ย่อมเป็นสุดยอดอำนาจ อย่างเช่นตอนนี้ ภูเขาแห่งอำนาจทุกลูกมีตระกูลอำนาจระดับสูงทั้งเจ็ดและตระกูลอำนาจระดับกลางที่มีพื้นเพดีครอบครองไปจนหมดแล้ว แม้แต่ตระกูลอำนาจระดับกลางอีกมากมายก็ยังไม่สามาถครอบครองภูเขาเหล่านั้นได้ ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงตระกูลอำนาจระดับล่างเลย
เมื่อมาถึงประตูเมืองของนครต้องห้าม ท้องฟ้าก็เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว
ตรงนี้มีรถม้าสีดำสำหรับสองคนจอดอยู่ คล้ายกับรอมานาน
ชายชราที่พาหลินสวินมาเดินตรงขึ้นรถม้า จากนั้นคนขับรถม้าก็ส่งจดหมายลับมาให้
“หือ ว่องไวนัก” จดหมายนั้นมีสองฉบับ เมื่อเปิดฉบับแรก ชายชราก็มีท่าทีเปลี่ยนไป ก่อนจะหันไปยิ้มกับหลินสวิน “เด็กฉือฉางเฟิงนั่นถูกกักบริเวณสามปี ออกจากตระกูลฉือไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว”
หลินสวินครางอืมในคอ ฉือฉางเฟิงใช้ปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณมาจัดการตนเอง ทำลายข้อสัญญาของผู้ใหญ่จึงต้องได้รับโทษ
หากจะพูดว่าลงโทษไม่สู้บอกว่าเป็นการตักเตือนเสียดีกว่า เพียงถูกกับบริเวณในตระกูลเท่านั้น ไม่มีความหมายอะไรเลย
ชายชราเปิดจดหมายฉบับที่สอง เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดแล้ว เขากลับตกอยู่ในห้วงความคิด
หลินสวินอดถามขึ้นมาไม่ได้ “ผู้อาวุโสขอรับ มันเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่”
ชายชราพยักหน้า ท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย “เจ้าเดาถูก จดหมายฉบับนี้เขียนให้เจ้า” ว่าพลางยื่นจดหมายให้หลินสวิน จดหมายนั้นทำจากกระดาษหยกสีทองหาได้ยาก บนกระดาษประทับตราสัญลักษณ์คล้ายลูกดอกไฟโดดเด่นอย่างดอกจื่อเย่า
ราชวงศ์แห่งจักรวรรดิ!
เมื่อเห็นสัญลักษณ์ หลินสวินก็ถึงกับสะท้าน ในเหรียญของจักรวรรดิ ไม่ว่าจะเหรียญทองแดง เหรียญเงิน เหรียญทองล้วนมีภาพที่ไม่เหมือนกัน
รูปกวางเงยหน้า หมายถึงสำนักศึกษามฤคมรกต
รูปกระบี่ หมายถึงกองทัพแห่งจักรวรรดิ
ดอกจื่อเย่าที่คล้ายลูกดอกไฟ หมายถึงราชวงศ์
เมื่อเห็นจดหมายฉบับนี้แวบแรก หลินสวินก็เดาได้ทันทีว่าจดหมายนี้มาจากราชวงศ์
เนื้อหาในจดหมาย มีเพียงไม่กี่คำ ‘เข้ามาในนครต้องห้ามแล้ว เจ้าสามารถก่อเรื่องให้สะเทือนฟ้าดินได้ตามอำเภอใจ แต่หากอยากพบข้า อย่างแรกเจ้าต้องเป็นผู้สืบทอดดูแลตระกูลหลินให้ได้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นเจ้าจงรีบออกไปจากนครต้องห้าม ข้ารับรองว่าเจ้าจะปลอดภัยไปชั่วชีวิต’
ครั้นอ่านข้อในจดหมายจบแล้ว หลินสวินก็แอบกำมือ เขารู้ว่าเจ้าของจดหมายฉบับนี้ต้องเป็นบุคคลตำแหน่งสูงในราชวงศ์
จดหมายฉบับนี้ก็เป็นแบบทดสอบเช่นเดียวกัน หากเข้ามาในนครต้องห้ามก็ต้องดูแลหน้าที่ผู้สืบทอดตระกูลหลินให้ได้ หากไม่เข้ามา แม้จะแลกด้วยชีวิตสงบสุข แต่ก็อย่างหวังจะได้แก้แค้น ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหลินสวินทั้งสิ้น
ข้างๆ นั้นชายชรามองหลินสวินนิ่ง คล้ายกำลังรอการตัดสินใจของเขา
หลินสวินฉีกจดหมายฉบับนั้นทิ้งอย่างไม่ใยดี เอ่ยเสียงเรียบ “ในข้าเมื่อมาแล้ว แม้จะเป็นโอรสสวรรค์ก็ไล่ข้าไปไหนไม่ได้” มุมปากเขากระตุกยิ้ม “แน่นอน ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าท่านผู้นั้นมีอำนาจเพียงใด ถึงกล้าบอกว่าให้ข้าก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดินได้ตามอำเภอใจในนครต้องห้ามออกมา”
ชายชรารู้ว่าหลินสวินได้ตัดสินใจแล้ว ไม่วายถาม “ที่จริงแม้ไม่มีจดหมายฉบับนี้ ข้าก็จะถามเจ้า ว่าหลังเข้าไปในนครต้องห้ามแล้วเจ้าจะจัดการอย่างไร แต่ชัดเจนว่าข้าคงไม่ต้องถามแล้ว”
หลินสวินนิ่งไป แล้วถึงเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่านกับท่านผู้นั้นในราชวงศ์…”
ชายชราคล้ายรู้ว่าหลินสวินต้องการถามอะไร “ไม่ใช่ศัตรูและไม่ใช่มิตร”
เด็กหนุ่มคล้ายมีความคิดบางอย่าง
ไม่นานรถม้าก็ออกตัว พาหลินสวินกับชายชราทะยานเข้าไปในนครต้องห้ามท่ามกลางความมืดมิด
คืนนี้ นครต้องห้ามเงียบสงบไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น แต่ขุมอำนาจใหญ่ต่างรู้ ว่าเด็กตระกูลหลินที่ยังไม่ตายคนนั้น เข้ามาในนครต้องห้ามในคืนนี้ มีบางคนตื่นตระหนก บางคนขัดใจ บางคนไม่สนใจ
ตระกูลหลินแม้จะยิ่งใหญ่ แต่วันนี้กลับตกต่ำแตกระแหง ยิ่งไปกว่านั้น เด็กหนุ่มที่อายุสิบกว่าปีจะสามารถสร้างเรื่องอะไรในนครต้องห้ามได้