Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 321
ท่ามกลางความมืด
หลินสวินกับชายชราอยู่ในรถม้า เดินทางผ่านถนนที่เจริญรุ่งเรืองเข้าไปในส่วนลึกของนครต้องห้าม
“เจ้าวางแผนจะทำอย่างไร”
“ใช้สถานะผู้สืบทอดตระกูลหลินรับหน้าที่ดูแลตระกูล”
“เส้นทางนี้ลำบากนัก”
“ข้าเข้าใจขอรับ”
ภายในรถม้า หลินสวินกับชายชราถามคำตอบคำ
“ข้าอยากเตือนเจ้า ตำหนักแสงทมิฬ คุณหนูกับข้าจะไม่ให้ความช่วยเหลือเจ้า เพราะนี่เป็นเรื่องในตระกูลของเจ้า ข้าคิดว่าเจ้ารู้เหตุผลดี” ชายชราใคร่ครวญอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็เอ่ยปาก
“ข้าเข้าใจ” หลินสวินคล้ายตะหนักถึงข้อนี้อยู่แล้ว
ชายชราเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ริมฝีปากกดยิ้มลึก “แน่นอน ตอนนี้หลายคนในนครต้องห้ามเข้าใจว่าเจ้ามีความสัมพันธ์กับตำหนักแสงทมิฬ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นก็ให้พวกเขาเข้าใจผิดต่อไปแล้วกัน”
หลินสวินนิ่ง ในใจพลันรู้สึกถึงความอบอุ่น ชายชรากำลังบอกเขาว่าแม้จะไม่ช่วยเหลือ แต่ก็ยังสามารถใช้อำนาจของตำหนักแสงทมิฬในการจัดการเรื่องราวได้ เพียงแค่คำพูดยืนยัน ก็เพียงพอให้หลินสวินจัดการปัญหาคณามือได้ไม่น้อย หลังจากนี้หากใครอยากจัดการหลินสวิน ก็ต้องคิดถึงอำนาจของตำหนักแสงทมิฬ ซึ่งไม่แตกต่างไปจากการถลกหนังเสือเลย
บางที อำนาจอย่างนี้ย่อมได้ใช้ในยามคับขัน
ยิ่งไปกว่านั้น หลินสวินไม่คิดว่าตำหนักแสงทมิฬจะทนมองเขาทำลายตนเอง ไม่อย่างนั้นสองปีมานี้ชายชราคงไม่ช่วยเหลือเขาไว้ตั้งหลายครั้ง ภายในต้องมีเหตุผลบางประการ เด็กหนุ่มเคยคิดว่าอาจเกี่ยวข้องกับซย่าจื้อ หรืออาจเกี่ยวกับท่านลู่ และบางทีอาจจะเกี่ยวข้องกับสถานะของตัวเขาเอง
แต่ไม่ว่าอย่างไร หลินสวินก็เชื่อมั่นว่าตนเองกับตำหนักแสงทมิฬเกี่ยวข้องกันมากจนแยกไม่ออกแล้ว
“ผู้อาวุโสขอรับ ขอบคุณท่านมาก” หลินสวินไม่รู้ว่าเอ่ยขอบคุณไปกี่รอบแล้ว แต่เขารู้ว่าตนติดค้างบุญคุณชายชราไว้มากทีเดียว
ชายชรายิ้ม ยังคงมีท่าทีโอบอ้อมอารีเช่นเคย
ไม่นานรถม้าก็หยุดลง
ชายชราพาหลินสวินลงมาจากรถม้า หลินสวินพลันผงะ เพราะตรงหน้าไม่ไกลมีภูเขาลอยได้ขนาดใหญ่อยู่ลูกหนึ่ง
ภูเขานั้นใหญ่กว่าร้อยจั้ง สูงกว่าพันจั้ง ด้านบนมีสิ่งก่อสร้างทรงโบราณมากมาย
ท่ามกลางความมืดมิด ภูเขาลูกนี้ลอยอยู่เหนือพื้นดินกว่าร้อยจั้ง มีแสงสีเงินเปล่งประกายรายล้อม ดูศักดิสิทธิ์และยิ่งใหญ่
นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจ
ตอนอยู่นอกนครต้องห้าม หลินสวินเคยมองจากที่แสนไกล แต่เมื่อเข้ามามองใกล้ๆ แล้ว เด็กหนุ่มถึงรู้ว่าภูเขานี้ยิ่งใหญ่ตระการตาเพียงใด
“ภูเขาลูกนี้มีนามว่าชำระจิต เป็นพื้นที่ในครอบครองของตระกูลหลิน ทว่านับแต่เกิดเรื่องนองเลือดนั้นขึ้น คนอื่นในตระกูลหลินต่างพากันย้ายออกไป ตอนนี้ที่นี่มีเพียงบ่าวชราเฝ้าอยู่เพียงลำพัง” ชายชราว่า
หลินสวินใจเต้น ไม่คิดว่าด้วยอำนาจของตระกูลหลิน จะสามารถครอบครองหนึ่งในภูเขาแห่งอำนาจได้ เขาเดาในใจว่าอย่างน้อยตระกูลหลินเมื่อวันวานก็ต้องเป็นตระกูลอำนาจระดับกลาง
“ข้าทราบมาว่า ถ้าตระกูลอำนาจตกต่ำจะถูกยึดภูเขาแห่งอำนาจคืน แล้วนี่หมายความว่าอย่างไรเล่าขอรับ” หลินสวินอดถามไม่ได้
“พูดแล้วซับซ้อน เกี่ยวโยงกับเรื่องราวของตระกูลหลินในอดีต รอเจ้าเข้าไปอยู่ในภูเขาชำระจิตแล้ว ก็จะมีคนบอกทุกอย่างแก่เจ้าเอง”
ชายชราว่าพลางก้าวนำไป ชายผ้าสะบัดพริ้ว แสงรำไรสาดส่องกระทบส่วนล่างของภูเขาชำระจิต หลินสวินจึงมองเห็นว่าที่ข้างล่างของภูเขาชำระจิตนั้น มีกระบวนรอยสลักวิญญาณอยู่ด้วย
วิ้ง
แสงรำไรสาดกระทบบนกระบวนรอยสลักวิญญาณจนเกิดเป็นคลื่นกระทบ จนรอยสลักวิญญาณหมุนเคลื่อนไหวแลดูลึกลับ
พลันเสียงหนึ่งก็ลอยออกมาจากกระบวนรอยสลักวิญญาณ “ที่นี่คือภูเขาชำระจิต พื้นที่ของตระกูลหลิน ไม่รู้ท่านคนใดมาเยี่ยมเยือน”
ชายชราพูดสบายๆ “บุตรชายของหลินเหวินจิ้งกลับมาแล้ว”
พลันเสียงตกใจก็ลอยออกมา “อะไรนะ!? แขกผู้มีเกียรติโปรดรอสักครู่”
ชายชราพยักหน้าแล้วหันมาอธิบาย “ภูเขาแห่งอำนาจก็เหมือนสถานที่ต้องห้าม หากไม่มีการแจ้งเตือนก่อน คนนอกก็ไม่มีทางผ่านเข้าไปได้”
หลินสวินพยักหน้า
ไม่นานก็เห็นกระบวนรอยสลักวิญญาณที่ใต้ภูเขาเคลื่อนไหว ก็กลายเป็นประตูวิญญาณ ในขณะเดียวกันบันไดคล้ายแสงรุ้งพลันเชื่อมลงมาถึงพื้นดิน มองไกลๆ คล้ายบันไดเชื่อมระหว่างก้อนเมฆ
ผู้เฒ่าหลังงุ้มคนหนึ่งออกมาจากประตูนั้น เขาเดินลงมาตามขั้นบันได มองชายชราก่อนแวบหนึ่ง แล้วจึงลากสายตามาที่หลินสวิน
เพียงปราดเดียวผู้เฒ่าหลังงุ้มก็คล้ายถูกฟ้าฝ่า คุกเข่ากับพื้นร่ำไห้ “นายท่าน สิบปีผ่านไปบ่าวคิดว่าท่าน…จากไปแล้ว ไม่คิดว่าท่านจะโชคดี ยังมีชีวิตอยู่”
หลินสวินยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
“เขาไม่ใช่หลินเหวินจิ้ง เป็นบุตรชายของหลินเหวินจิ้งต่างหาก” ชายชราอธิบาย
บ่าวชราที่กำลังร้องไห้ชะงักงัน เงยหน้าเช็ดน้ำตาที่หางตา มองหลินสวินอย่างละเอียดครู่ใหญ่ถึงตระหนักได้ “ไม่ใช่จริงๆ ด้วย เขาอ่อนวัยกว่านายท่าน เหมือนนายท่านตอนวัยเยาว์ไม่มีผิด”
ว่าพลางยัดกายลุก เอ่ยอย่างตื่นเต้น “ที่แท้…ที่แท้ท่านก็เป็นบุตรของนายท่าน สวรรค์มีตา นายท่านไม่ได้ไร้ทายาท ฮ่าๆๆๆๆ”
เขาพึมพำดีใจน้ำตาไหล อารมณ์เหนือการควบคุมคล้ายคนเสียสติ ปกปิดความตื่นเต้นดีใจไว้ไม่มิด
หลินสวินมองภาพนี้พลันปวดใจขึ้นมา “ท่านลุง พาข้าไปดูในตระกูลหน่อยได้หรือไม่”
บ่าวชราในยามนั้นพลันสูดลมหายในลึก ท่าทางเข้มขรึม ค้อมกายทำความเคารพ “ยินดีต้องรับคุณชายกลับบ้าน!” ธรรมเนียมมารยาทถูกต้องไม่ผิดแม้สักนิด
หลินสวินผงะ มองชายชราที่ยืนข้างๆ
ชายชราอมยิ้มพยักหน้า “ไปสิ ข้าก็ควรจะกลับแล้ว”
เด็กหนุ่มประสานมือขึ้น “ผู้อาวุโส ครั้งนี้ขอบคุณท่านมากขอรับ ภายหลังข้าจะไปเยี่ยมเยียนท่านที่ตำหนักแสงทมิฬด้วยตัวเอง”
ชายชราโบกมือ เดินจากไป
“คุณชายเชิญขอรับ” บ่าวชราผายมือเป็นการเชื้อเชิญ
หลินสวินพยักหน้า สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก้าวขึ้นบันได
ภูเขาชำระจิต
ที่นี่เป็นพื้นที่ของตระกูลหลิน และเป็นที่ที่บิดาและมารดาเคยใช้ชีวิตมาก่อน ผ่านไปเกือบสิบห้าปี ในที่สุดตนเองก็ได้กลับมา
เมื่อผ่านประตูของภูเขาชำระจิตมาแล้ว ทางเดินภายใตประดับด้วยหินสีเขียวกว้างสิบกว่าจั้ง ทอดยาวคดเคี้ยวขึ้นไปบนยอดเขา
สองข้างทางมีตำหนักโบราณ หอโบราณ และมีดอกไม้แตกพุ่มไสว รวมถึงมีต้นไม้เก่าแก่จัดวางอยู่ ครั้นมองไกลออกไปเป็นน้ำตกและสวนไผ่ แสงจันทร์สาดกระทบสะท้อนเงางดงามคล้ายภาพในแดนเซียนก็ไม่ปาน
“คุณชายเชิญขอรับ”
บ่าวชราเดินนำทาง เมื่อเห็นหลินสวินในแวบแรก เขาก็รู้ว่าไม่ผิดแน่ เพราะหวินสวินเหมือนหลินเหวินจิ้งตอนวัยเยาว์มาก ไม่สามารถหลอกตบตากันได้
หลินสวินเดินไปข้างหน้าพลางมองสำรวจรอบๆ
บ่าวชราว่า “ท่านเรียกข้าว่าหลินจงก็ได้ขอรับ ตอนที่นายท่านเพิ่งเกิดข้าก็ถูกท่านเจ้าตระกูลส่งให้มารับใช้นายท่านอยู่หลายสิบปี”
หลินสวินหรือจะสามารถเรียกชื่อเขาตรงๆ ได้ “ลุงจง ท่านก็อย่าเรียกข้าว่าคุณชายเลย เรียกข้าว่าหลินสวินก็พอ”
หลินจงผงะ ส่ายหัว “นายน้อย กฎตระกูลเปลี่ยนไม่ได้”
เด็กหนุ่มจนใจ เปลี่ยนหัวข้อพูดคุย “ตอนนี้บนภูเขาชำระจิตเหลือแค่ท่านคนเดียวหรือ”
หลินจงได้ยินดังนั้นพลันสลดไป เขานึกถึงเรื่องเศร้าขึ้นมา หลินสวินเห็นดังนั้นจึงตบไหล่เขา แล้วกล่าวว่า “ลุงจง นับแต่วันนี้ ข้าจะอยู่บนภูเขาชำระจิตกับท่าน มีหลายเรื่องที่ข้ายังไม่เข้าใจ ขอให้ท่านบอกเล่าแก่ข้าด้วย”
บ่าวชรานามหลินจงพยักหน้า คล้ายได้พบที่พึ่งพา
เดินขึ้นมาอีกร้อยจั้ง เมื่อใกล้เข้ามาถึงจุดสูงสุดของยอดเขา เสียงเฮฮาก็แว่วมาจากที่ไกล กลายเป็นจึงเป็นเสียงดังสะท้อนท่ามกลางความมืดมิด
หลินสวินแน่นิ่งไป ตอนนี้ในตำหนักโบราณขนาดใหญ่มีไฟจุดสว่างไสว เสียงดังเฮฮาดังออกมาจากภายใน
ก่อนหน้านั้นหลินจงเคยบอกแล้ว ว่าตำหนักนั้นมีชื่อว่าตำหนักชำระจิต ครองพื้นที่สิบหมู่ มีเพียงสายเลือดตรงเท่านั้นที่สามารถเข้าไปอาศัยอยู่ได้
แต่ตอนนี้ ตำหนักชำระจิตสว่างไสวเคล้าเสียงเฮฮาไม่หยุดหย่อน ไม่ได้เงียบสงัดเหมือนกับที่อื่น
“คุณชาย เหล่าคุณชายคุณหนูสายเลือดรองของตระกูลหลินกำลังจัดเลี้ยงกัน ข้าเคยห้ามปรามแล้ว แต่…” หลินจงรีบอธิบาย พูดถึงสุดท้ายกลับกลืนคำพูดลงไปด้วยท่าทีสลด
“พวกเขาไม่สนใจใช่ไหมหรือไม่” หลินสวินหรี่ตา “ข้าจำได้ว่าคนอื่นๆ ในตระกูลสลินย้ายออกไปตั้งแต่สิบกว่าปีก่อนกันหมดแล้ว เหตุใดพวกคุณชายคุณหนูพวกนี้ถึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”
หลินจงยิ้มขื่น “คุณชาย ท่านเพิ่งกลับมา จึงยังไม่ทราบสถานการณ์”
หลินสวินขัดขึ้น “ลุงจง บอกข้ามาว่าคุณชายคุณหนูพวกนั้นมีสิทธิ์เข้าไปสังสรรค์ในตำหนักชำระจิตหรือไม่”
“แน่นอนว่าไม่” หลินจงตอบโดยไม่ลังเล
หลินสวินยิ้มมุกปาก นัยน์ตาสีดำล้ำลึกขึ้น พลันกล่าวว่า “แค่นี้ก็พอ” ครั้นว่าจบก็สาวเท้าเข้าไปในตำหนักชำระจิตทันที
เมื่อครู่เขาใช้พลังรับรู้เข้าไปสำรวจ ในตำหนักชำระจิตมีคนประมาณสิบกว่าคน ผู้ชายคุยโวอวดตัวเอง ดื่มเหล้าเคล้านารี ผู้หญิงโปรยเสน่ห์ยั่วยวน ทั่วทั้งตำหนักชำระจิตแปดเปื้อนไปด้วยโลกีย์
หากไม่ได้เจอกับตา หลินสวินยังสงสัยว่าตนเองมาถึงหอนางโลมเสียแล้วหรืออย่างไร
หากเป็นเมื่อก่อน ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวิน แต่เมื่อทราบถึงสถานะของตัวเอง และได้กลับเข้ามาในนครต้องห้าม มาถึงภูเขาชำระจิต เขาก็ย่อมเตรียมตัวแบกรับภาระและเรื่องทั้งหมดไว้แล้ว
ดังนั้น เรื่องตรงหน้าเขาก็ย่อมต้องเข้าไปยุ่งเกี่ยวสักหน่อย
“คุณชาย ทะ ท่านจะทำอะไร” หลินจงชะงัก พลันท่าทางก็เปลี่ยนไป คล้ายกับตระหนักอะไรขึ้นมาได้ จึงรีบตามเข้าไป “คุณชาย ไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ”
ปัง!
หลินสวินมาถึงหน้าประตูตำหนักชำระจิต ใช้เท้าถีบประตูออกไม่เกรงใจ
ท่านผู้นั้นในวังไม่ใช่บอกว่า เข้ามาในนครต้องห้ามแล้ว อยากก่อเรื่องสะเทือนฟ้าดิน ก็ทำได้ตามอำเภอใจไม่ใช่หรือ
ในเมื่อเป็นเช่นนั้น คืนนี้ก็เริ่มจากที่นี่ก่อนก็แล้วกัน