Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3224 เฉินซีกับหลินสวิน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3224 เฉินซีกับหลินสวิน
“หยั่งรู้กลิ่นอายของเขตผนึกอัศจรรย์หรือ”
หลินสวินแปลกใจ
“ไม่ผิด เขตผนึกอัศจรรย์นี่ถูกมองเป็นเขตผนึกชีวิต ลือกันว่ามีมหามรรคสายหนึ่งที่สูงยิ่งกว่ามรรคานิรันดร์ ตอนนี้ เจ้าก้าวมาถึงขั้นนี้แล้ว ซ้ำยังมีนัยเร้นลับนิพพาน นี่สำหรับเจ้าแล้วกลับเป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นศุภโชคคราหนึ่งก็ได้”
โพธิกล่าว “ไม่ใช่ข้าคิดเช่นนี้แค่คนเดียว แม้แต่เฉินซี ไท่ชูก็ยังคิดเช่นนี้เหมือนกัน ทุกคนต่างอยากดูว่าเจ้าจะหยั่งรู้ถึงความเร้นลับอะไรจากในนั้นได้อีก”
“เหอะ ไท่ชูนี่นับว่าน่าสนใจ ก่อนหน้านี้หลังจากการเคลื่อนไหวของบรรพจารย์วานรที่หน้าแท่นมรรคมากเร้นล้มเหลว ก็ไม่ได้เคลื่อนไหวใดๆ อีก ที่แท้ก็เพราะมีแผนการอื่น”
หลินสวินยิ้มบางๆ กล่าวว่า “กล่าวเช่นนี้ หากยามข้าหยั่งถึงเขตผนึกอัศจรรย์ ชักนำความเปลี่ยนแปลงที่พอจะทำให้ไท่ชูใจเต้นได้ การประชันหมากนี้ก็จะถึงคราวตัดสินแพ้ชนะแล้วอย่างนั้นหรือ”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น”
โพธิเอ่ยเสียงอ่อนโยน “แต่ข้าแนะนำว่าก่อนจะหยั่งรู้กลิ่นอายของเขตผนึกอัศจรรย์ เจ้าไปโลกหงหลิงก่อนสักเที่ยวก็ดี”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ
เขาเข้าใจความหมายของอาจารย์ เฉินซีเป็นเพียงคนเดียวในแดนเทพมากเร้นแห่งนี้ที่คุกคามไท่ชูได้ ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมานี้ย่อมต้องเคยสัมผัสกลิ่นอายในเขตผนึกอัศจรรย์มาหลายครั้งแน่นอน และต้องมีความเข้าใจต่อเขตผนึกอัศจรรย์อย่างมากเป็นแน่
หากได้รับคำแนะนำจากเขาย่อมมีแต่ประโยชน์ไร้โทษ
“สหายน้อย ขอคำแนะนำก็ส่วนขอคำแนะนำ ตามความเห็นข้า ยามหยั่งรู้กลิ่นอายของเขตผนึกอัศจรรย์อย่างแท้จริง เจ้ากลับมาโลกจำศีลนี้ไว้จะดีกว่า”
จู่ๆ จักจั่นทองก็เอ่ยขึ้น
โพธิยังอดรู้สึกแปลกใจอยู่บ้างไม่ได้ กล่าวว่า “สหายยุทธ์ไยกล่าวเช่นนี้”
จักจั่นทองนิ่งเงียบครู่หนึ่งถึงค่อยเอ่ยว่า “อาจเพราะข้าคิดมากไปเอง จากที่ข้าดู ไท่ชูยึดติดกับนัยเร้นลับนิพพาน ไม่แน่ว่าในใจเฉินซีก็อาจไม่ต่างกัน”
เขาเว้นช่วงไปแล้วเอ่ยต่อ “ต่อให้ตอนนี้เขาไม่ได้คิด แต่หากยามสหายน้อยหลินหยั่งถึงเขตผนึกอัศจรรย์ เรียกความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่ทำให้เฉินซีหวั่นไหวได้…”
ยังไม่ทันกล่าวจบ ทว่าความหมายในคำพูดนั้นชัดเจนมากแล้ว
โพธิขมวดคิ้ว จ้องจักจั่นทองครู่หนึ่งแล้วกล่าว “สหายยุทธ์กังวลในจุดนี้ก็สมเหตุสมผลอยู่”
จักจั่นทองยิ้มเฝื่อนกล่าว “ข้าแค่ห่วงว่าจะถูกมองเป็นพวกใช้น้ำใจคนพาลประเมินวิญญูชน ถูกผู้อื่นครหา บอกตามตรง ในใจข้ายังคงเลื่อมใสและนับถือสหายยุทธ์เฉินซีเป็นอย่างมาก คนอย่างเขาจดจ่อมรรควัฏจักร สัญจรบนมรรคาไร้จำกัด ไม่ใช่ผู้ที่คนอย่างข้าจะใส่ความและตั้งข้อสงสัยได้ แต่… ตัวแปรครั้งนี้มีมากเกินไปจริงๆ พวกเราไม่อาจไม่ระวัง”
โพธิพยักหน้าน้อยๆ ทอดสายตามองหลินสวิน “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
หลินสวินกล่าวยิ้มๆ “ถึงข้าจะไม่เข้าใจผู้อาวุโสเฉินซีผู้นั้น แต่กลับรู้จักนิสัยใจคอของผู้อาวุโสเฉินหลินคง ตามความเห็นข้า พวกเขาไม่มีทางมีความคิดเป็นอื่นเด็ดขาด”
“แน่นอน ที่ผู้อาวุโสจักจั่นทองพูดก็ไม่ผิด สถานการณ์ปัจจุบันเกี่ยวข้องกับความเป็นความตาย ระวังไว้หน่อยก็เป็นเรื่องสมควร รอหลังจากข้าขอคำแนะนำจากผู้อาวุโสเฉินซีแล้วจะกลับมาโลกจำศีลแน่นอน”
จักจั่นทองกล่าวยิ้มๆ “หวังว่าข้าจะแค่คิดมากไปเอง”
หลินสวินไม่ได้โอ้เอ้อีก หมุนตัวเดินออกจากโลกจำศีลทันที
จนกระทั่งเงาร่างของหลินสวินหายไป โพธิถึงมองไปทางจักจั่นทอง กล่าวว่า “สหายยุทธ์ ก่อนหน้านี้เจ้าไม่เคยระแวงผู้อื่นโดยไร้เหตุผล หรือสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง”
จักจั่นทองอึ้งไป อดยิ้มเฝื่อนระลอกหนึ่งไม่ได้ กล่าวว่า “ดังคำกล่าวที่ว่ากังวลจนใจว้าวุ่น ก่อนหน้านี้อาจเพราะข้าเป็นห่วงสหายน้อยหลินมากเกินไป ถึงได้พูดจาเลอะเทอะเช่นนี้ออกมา สหายยุทธ์อย่าเห็นขันเลย”
โพธิพยักหน้า “ก็จริง กังวลจนใจว้าวุ่น ทุกการเคลื่อนไหวของศิษย์คนนี้ของข้าล้วนเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทั้งหมด ไม่ปิดบังสหายยุทธ์ นี่ก็ทำให้ในใจข้าไม่สบายใจอยู่รางๆ เหมือนกัน”
กล่าวพลางถอนหายใจยาว “ข้าใช้จิตเข้าสู่มรรค ไม่เคยคิดว่าในเวลาเช่นนี้สภาวะจิตกลับไม่อาจสงบนิ่งอย่างแท้จริง”
จักจั่นทองเอ่ยเสียงอ่อนโยน “เวลาเช่นนี้ไม่เพียงเจ้าและข้า พวกไท่ชู เฉินซีก็ต้องหวั่นใจเช่นกัน ไม่มีทางนิ่งมองเฉยๆ แน่”
เงียบเนิ่นนานเจ้าแห่งคีรีดวงกมลกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าเคยคาดเดาว่าเหตุที่ใจข้าไม่สงบ อาจเป็นเพราะสังหรณ์ใจถึงลางไม่ดีอย่างหนึ่ง เพียงแต่สัญญาณเสี้ยวนี้ซุกซ่อนอยู่ในส่วนลึกสุดแสน ยากจะหยั่งถึง ข้าคิดทบทวนไปมา ต้องเป็นเพราะในมือไท่ชูนั่นยังมีไพ่ตายที่ไม่อาจรู้อย่างหนึ่งเป็นแน่ ซ้ำยัง… พุ่งเป้ามาทางข้าด้วย”
จักจั่นทองนัยน์ตาหดรัด
จากนั้นเจ้าแห่งคีรีดวงกมลก็ส่ายหน้าเบาๆ กล่าวว่า “ช่างเถอะ ไม่พูดถึงเรื่องพวกนี้แล้ว หากใช้ชีวิตของข้าแลกมาซึ่งชัยชนะในการประชันหมากนี้ได้ย่อมคุ้มค่าแล้ว”
จักจั่นทองเอ่ยเสียงเบา “สหายยุทธ์ หลินสวินเป็นตัวแปร ขอเพียงมีเขาอยู่ ลางไม่ดีที่เจ้าสัมผัสถึงก็ใช่ว่าจะกำจัดไม่ได้ซะทีเดียว”
โพธิพยักหน้า ไม่เอ่ยถึงหัวข้อนี้อีก
…
เมื่อออกจากโลกจำศีล หลินสวินก็สัมผัสได้ทันทีว่ามีกลิ่นอายคลุมเครือเร้นลับสายหนึ่งพุ่งออกมาจากโลกหม่นมัวที่อยู่ไกลลิบแห่งนั้น กำลัง ‘มอง’ มาทางตนจากที่ไกลโพ้น
นี่ย่อมเป็นกลิ่นอายของไท่ชูอย่างไม่ต้องสงสัย!
หลินสวินหรี่ตาลง กล่าวยิ้มๆ “ทำไม จะลงมือตอนนี้เลยหรือ”
“ไม่ ข้าแค่อยากอาศัยโอกาสนี้บอกเรื่องเกี่ยวกับเขตผนึกอัศจรรย์บางส่วนให้สหายยุทธ์ฟังก็เท่านั้น” กลางฟ้าดินเสียงของไท่ชูดังขึ้น
หลินสวินเลิกคิ้วขึ้น “นี่เจ้าทนไม่ไหวอยากให้ข้าสัมผัสถึงความเร้นลับจากเขตผนึกอัศจรรย์ขนาดนี้เชียวหรือ”
“ผู้รู้ใจข้าก็คือสหายน้อยหลิน”
ไท่ชูหัวเราะ “ยิ่งเจ้าชักนำความเปลี่ยนแปลงมามากเท่าไร สำหรับข้าแล้วมีหรือจะไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินแพ้ชนะ เจ้าไม่ต้องห่วงว่าข้าจะมีความคิดเป็นอื่นในเรื่องนี้”
ระหว่างที่กล่าวกลางห้วงอากาศไกลออกไปปรากฏรุ้งเทพสีเขียวสายหนึ่งพุ่งออกมา กลายเป็นม้วนหยกม้วนหนึ่งเบื้องหน้าหลินสวินร้อยจั้ง
“ในม้วนหยกนี้มีใจความทั้งหมดที่ข้าหยั่งรู้ถึงเขตผนึกอัศจรรย์ เจ้าจะเอาไปดูก็ได้ หรือจะไม่สนใจเลยก็ได้”
พูดจบเสียงก็หายไปจากกลางฟ้าดิน แม้แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากโลกหม่นมัวก็ยังอันตรธานหายไปพร้อมกัน
หลินสวินอดใคร่ครวญไม่ได้
ห่างออกไปร้อยจั้งม้วนหยกลอยอยู่เงียบๆ
คล้ายกับว่าหลินสวินจะเอาไปหรือไม่ ไท่ชูล้วนไม่สนใจ
“หากข้าไม่เอา กลับจะยิ่งเห็นชัดว่าใจข้าเกรงกลัว แต่ถ้าข้าเอา ก็จะติดหนี้น้ำใจเล็กๆ กับไท่ชู… เอาไปแล้วไม่หยั่งรู้ ก็แสดงว่าใจข้าหวั่นเกรง เอาไปแล้วหยั่งรู้ หนี้น้ำใจที่ติดค้างก็จะยิ่งมากขึ้น…”
หลินสวินคล้ายพึมพำกับตัวเอง
ก็เป็นเวลานี้เสียงหัวเราะเบิกบานสายหนึ่งก็ดังขึ้น “ฮ่าๆๆ แม้แต่หนี้น้ำใจข้าเจ้าก็ยังไม่อยากติดค้าง ถึงได้เอ่ยคำพูดพวกนี้ออกมาให้ข้าได้ยินใช่หรือไม่”
เสียงใสกระจ่างดุจระฆังยามสางกลองยามค่ำ
หลินสวินยิ้ม ประสานหมัดกล่าว “รู้อยู่แล้วว่าปิดบังสายตาเฉียบแหลมของผู้อาวุโสไม่มิด”
“รีบมาเถอะ ข้ารอเจ้านานมากแล้ว ส่วนม้วนหยกนี่ข้าช่วยเจ้ารับไว้ก็สิ้นเรื่อง เช่นนี้เจ้าก็ไม่ต้องพะว้าพะวังหนักใจ ทำให้ความคิดปลอดโปร่งได้แล้ว”
เสียงหัวเราะกังวานนั่นยังคงก้องสะท้อน ม้วนหยกที่ลอยอยู่ห่างจากหลินสวินร้อยจั้งถูกพลังไร้รูปสายหนึ่งเก็บไปแล้ว
เสียงนี้ย่อมมาจากเฉินซี
หลินสวินเห็นดังนี้จึงประสานหมัดอีกครั้ง ทะยานไปทางโลกหงหลิงที่อยู่ไกลออกไป
ไม่นานเงาร่างเขาก็ก้าวเข้าไปในทางน้ำวนแรกกำเนิดที่เชื่อมสู่โลกหงหลิง
…
โลกหม่นมัว
ใต้ดินลึกไท่ชูก็หัวเราะเช่นกัน เขายื่นมือออกไปตึงโซ่กระบี่ที่พันธนาการบนตัว ได้ยินเสียงแกร๊งๆ ยามโซ่ตรวนกระทบกันนั่นก็อดกล่าวพึมพำไม่ได้ “สหายยุทธ์หนอสหายยุทธ์ เสียดายเจ้าไม่อยู่ หาไม่เหตุการณ์ในวันนี้ต้องน่าสนใจมากขึ้นแน่ๆ…”
…
โลกหงหลิง
ยามหลินสวินเข้ามา เฉินหลินคงก็รออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว
“สหายน้อยหลินเจ้ามาเสียที ท่านปู่ข้ารอเจ้านานแล้ว”
เฉินหลินคงกล่าวยิ้มๆ นำทางเดินไปข้างหน้า
ในใจหลินสวินก็อดตั้งตาคอยไม่ได้
ก่อนหน้านี้สมัยอยู่เมืองเทพศุภโชค เขาเคยเห็นบารมีของผู้อาวุโสเฉินซีผู้นั้นยามหยั่งรู้นัยเร้นลับใน ‘นภาดาราศุภโชค’
เขาสวมอาภรณ์เขียวราวหยก หลังสะพายกระบี่โบราณ ก้าวเดินบนสายธารยุคสมัย มาดสะเทือนหล้าไม่มีสอง!
กระทั่งก่อนหน้านี้ไม่นานยามอยู่ในโลกแปรปุถุชน เขาเคยได้เห็นรูปจำลองสายเหนือเวิ้งฟ้า หนึ่งในนั้นก็คือสิ่งที่ผู้อาวุโสเฉินซีทิ้งไว้
ลำพังแค่อานุภาพที่รูปจำลองระดับนั้นเผยออกมาก็ทำให้หลินสวินหยุดมองด้วยความทึ่งแล้ว
ถึงขั้นที่เมื่อพูดถึงขึ้นมา มรดกลายมรรคบนตัวเขาล้วนเกี่ยวโยงกับเฉฉินซีชนิดแยกไม่ออก ถึงอย่างไรท่านลู่ก็สืบทอดมรดกจากเขาแปรเทพผ่านอาจารย์ และผู้อาวุโสเฉินซีผู้นี้ก็คือผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์เท่าที่เคยมีมาของเขาแปรเทพ!
และตอนนี้ในที่สุดก็มีโอกาสพบยอดบุคคลระดับตำนานเช่นนี้ ในใจหลินสวินมีหรือจะไม่ตั้งตาคอย
“หลังจากท่านปู่ข้าเอาชนะเจ้าลัทธิสูงสุดนั่น นิสัยก็เปลี่ยนเป็นเอื่อยเฉื่อย จนตอนนี้แม้แต่ข้าก็ยังไม่รู้ว่ามรรควิถีของเขาแข็งแกร่งถึงขั้นไหนแล้วกันแน่”
ระหว่างทางเฉินหลินคงยิ้มกล่าว สีหน้าเปี่ยมแววภาคภูมิใจและเลื่อมใส
“เจ้าลัทธิสูงสุด?”
หลินสวินอึ้งไป
“ใช่ คนผู้นี้ก่อตั้งลัทธิสูงสุด ฝึกมรรคมรรคลืมอารมณ์สูงสุด ใช้การไร้อารมณ์เข้าสู่มรรค น่ากลัวเป็นที่สุด ยามนั้นท่านปู่ข้าต้องสิ้นเปลืองวิธีมากมายกว่าจะใช้มรรควัฏจักรกำราบคนผู้ได้ ทำให้เขาเวียนว่ายอยู่ในวัฏจักรตลอดกาล ต้องทนทุกข์กับการไม่อาจหลุดพ้นชั่วนิรันดร์… เอ่อ ถึงแล้ว”
เฉินหลินคงกล่าวถึงตรงนี้พลันเงียบไป
ก็เห็นบนเขาใหญ่ลูกหนึ่งที่อยู่ไม่ไกล เงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งยืนอยู่หน้ากระท่อม สวมชุดเขียว มือไพล่หลัง เสมือนต้นสนเขียวริมหน้าผ้า กำลังทอดสายตามองมาทางนี้
เป็นเฉินซี!
สุดยอดตำนานที่ชื่อเสียงดังสะท้านมาหลายยุคสมัย!
“เจ้าไปฝึกปราณเสีย หากไม่ได้รับอนุญาตจากข้า อย่าก้าวออกมาจากสถานที่ฝึกปราณอีกแม้แต่ก้าวเดียว” เฉินซีกล่าวลวกๆ ประโยคเดียวทำเอาเฉินหลินคงตัวแข็งทื่อ จากนั้นหมุนตัวเดินออกไปแต่โดยดี
“ข้าชื่อเฉินซี คารวะสหายน้อยหลิน”
ไกลออกไปเฉินซีประสานหมัดน้อยๆ เอ่ยปากเจือรอยยิ้ม แววตากระจ่างใสดั่งสมุทร ลึกล้ำและเงียบสงบ น้ำเสียงราบเรียบแต่กลับมีพลังทำให้จิตใจผู้คนสงบ
หลินสวินประสานหมัดกล่าว “คารวะผู้อาวุโส”
เฉินซีกล่าวยิ้มๆ “ระหว่างเจ้ากับข้าไม่ต้องเอ่ยถึงลำดับอาวุโสหรอก ก็มองเป็นสหายบนมหามรรค เชิญเข้ามาพักก่อน”
หลินสวินพยักหน้าก้าวขึ้นไปทันที
หน้ากระท่อมมีโต๊ะหนึ่งตัวและเก้าอี้ไม้ไผ่สองตัว
พอหลินสวินนั่งลง เฉินซีก็ถามด้วยรอยยิ้ม “ดื่มสุราหรือดื่มชา”
“ได้พบกับผู้อาวุโสใจข้าเป็นสุขล้น ย่อมต้องดื่มสุราอยู่แล้ว” หลินสวินกล่าวยิ้มๆ
ได้ยินหลินสวินยังเรียกตนว่าผู้อาวุโสอยู่ เฉินซีก็ไม่ได้ใส่ใจ แค่คำเรียกขานเท่านั้น ไยต้องถือสาด้วยเล่า
เขาเองก็นั่งลงเช่นกัน พลิกฝ่ามือคราหนึ่ง สุราหนึ่งกากับจอกสุราสองใบก็ปรากฏบนโต๊ะ
“นี่คือสุราที่ชิงซิ่วอีภรรยาข้าเป็นคนหมัก อยู่ในแดนเทพมากเร้นแห่งนี้มานานปี ข้าตัดใจดื่มไม่ลงมาตลอด ครั้งนี้เพราะสหายน้อยมาเยือนข้าถึงได้เอาออกมา ฮ่าๆ”
เฉินซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม เปิดกาสุรารินให้หลินสวินกับตัวเองเต็มจอก
ทันใดนั้นกลิ่นสุราใสเย็นหอมจรุงสายหนึ่งพลันแผ่คลุ้งออกมา
“มา ดื่มก่อนสักจอก”
เฉินซีชูจอกขึ้น
หลินสวินก็ยิ้มชูจอกขึ้นเช่นกัน
เมื่อจอกสุราชนกัน ก็เปรียบเสมือนการพบพานกันบนเส้นทางมหามรรคสายหนึ่ง
ไม่จำเป็นต้องเอ่ยปาก
——