Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3225 ยุคแรกกำเนิด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3225 ยุคแรกกำเนิด
หน้ากระท่อม
ได้นั่งดื่มสุราสนทนากับเฉินซี ทำให้หลินสวินผ่อนคลายนัก
กระทั่งดื่มสุราหมดไปหนึ่งกา เฉินซีก็วางจอกลง ถอนใจออกมาเหมือนพอใจแล้วเอ่ยว่า “ข้าจำได้ว่ายามดื่มสุรากันคราวก่อนยังดื่มกับมือกระบี่อย่างเต็มที่ เขาดื่มสุราดีที่ข้าเก็บรักษาไว้สามสิบเก้าไหหมดเกลี้ยงก็ยังไม่พอใจ บ่นว่าอยากดื่มอีก ข้าจะไปทำให้เขาสมใจได้อย่างไร บอกว่ารอตอนเขากลับมาจากวัฏจักรข้าค่อยเลี้ยงเขามื้อใหญ่ รับรองว่าจะให้เขาดื่มจนสาแก่ใจ… ประเดี๋ยวเดียวก็ผ่านไปหลายยุคแล้ว…”
ความผิดหวังฉายขึ้นในแววตาเขา
“ไม่อย่างนั้นคราวนี้ผู้อาวุโสก็เลี้ยงข้ามื้อใหญ่ไหมเล่า”
หลินสวินหัวเราะเอ่ย
เฉินซีก็หัวเราะ พูดว่า “ทำไมจะไม่ได้ แต่ต้องรอจนการประลองหมากครั้งนี้ปิดฉากลงถึงจะได้”
เขาเว้นช่วงไปแล้วพูดต่อว่า “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนนั้นถ้ามือกระบี่นั่นไม่ต้องกลับเข้าสู่วัฏจักรฝึกปราณใหม่อีกครั้งให้ได้ ข้าจะไม่เลี้ยงสุราชั้นดีเขามากขนาดนั้นเด็ดขาด”
หลินสวินอึ้งไป เอ่ยว่า “ผู้อาวุโส พูดอย่างไม่ปิดบัง ข้าก็รู้เรื่องมรรควัฏจักรเช่นกัน แต่ถึงตอนนี้ยังไม่เคยครอบครองนัยเร้นลับแกนหลักวัฏจักร จนถึงกับตอนนี้ยังไม่กล้าเชื่อว่าบนโลกนี้มีวัฏจักรเวียนว่ายตายเกิดอยู่จริง”
เฉินซีเอ่ยด้วยแววตาพิกล “ไม่มีใครเคยบอกเจ้าหรือว่าข้าครอบครองนัยเร้นลับวัฏจักรสมบูรณ์ อีกทั้งยามมือกระบี่นั่นเกิดใหม่ฝึกปราณอีกครั้งก็เป็นข้าส่งเขาไป”
หลินสวินยิ้มขื่นกล่าว “เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ”
เฉินซีเอ่ย “เช่นนั้นเจ้าคงรู้จักลายธารใช่ไหม”
หลินสวินพยักหน้า “ข้าเคยเห็นอานุภาพของสมบัตินี้ยามอยู่เมืองเทพศุภโชค”
เฉินซียิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “มหามรรควัฏจักรที่สมบูรณ์มาจากสมบัติอย่างลายธารนี้ แต่ก่อนสมัยข้าฝึกปราณ คนที่มีลายธารจะถูกมองเป็น ‘ผู้ทำนายเคราะห์แห่งยุค’ แต่ข้าก็เพิ่งอนุมานได้ทีหลังเหมือนกันว่าพลังวัฏจักรมาจากลายธาร”
“และจนกระทั่งมาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ ข้าถึงอนุมานได้ในที่สุดว่าสมบัติลายธารนี้ก็มาจากเขตผนึกอัศจรรย์แห่งนั้น”
หลินสวินทึ่ง “นี่ไม่ได้เหมือนกับเรือนิรันดร์หรือ”
เฉินซีพยักหน้า “เป็นเช่นนี้จริงๆ วัฏจักรเกี่ยวโยงถึงความลับแห่งการกลับชาติเกิดใหม่ของชีวิต และน่าจะถือเป็นมรรคแห่งชีวิตชนิดหนึ่งด้วย”
หลินสวินถึงได้กระจ่างในยามนี้
ด้านเฉินซีเอาม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมา เป็นสิ่งที่ไท่ชูทิ้งไว้ก่อนหน้านี้
“สหายน้อย ข้ารู้เป้าหมายที่เจ้ามาคราวนี้ อีกเดี๋ยวข้าจะบอกเล่าใจความและประสบการณ์ที่ได้มายามสัมผัสเขตผนึกอัศจรรย์ในช่วงหลายปีนี้ให้ทั้งหมด”
เฉินซีเล่นม้วนหยกม้วนนั้นแล้วเอ่ยว่า “แต่ก่อนจะทำเช่นนี้ พวกเรามาดูใจความกับประสบการณ์ที่ไท่ชูทิ้งไว้ก่อนเป็นอย่างไร”
หลินสวินยิ้มเอ่ย “ข้าก็ใคร่รู้เช่นกัน”
เฉินซีไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก จิตรับรู้สายหนึ่งแทรกเข้าไปในม้วนหยก
ผ่านไปครู่ใหญ่เขาจึงเก็บม้วนหยก ท่วงทำนองประหลาดปรากฏขึ้นในสีหน้า ครู่หนึ่งถึงเอ่ยว่า “สหายน้อยก็ลองดู”
พูดพลางส่งม้วนหยกให้
หลินสวินแผ่จิตรับรู้สายหนึ่งแทรกเข้าไปในนั้นเช่นกัน
ทันใดนั้นการหยั่งรู้ต่างๆ ก็ปรากฏออกมาเหมือนกระแสน้ำ การหยั่งรู้เหล่านี้มาจากไท่ชู เป็นใจความที่เขาได้รับขณะสัมผัสเขตผนึกอัศจรรย์ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้
ในการหยั่งรู้เหล่านี้มีภาพน่าเหลือเชื่อมากมาย แต่ถูกกลิ่นอายแรกกำเนิดปกคลุมแทบทั้งสิ้น ดูคลุมเครือเหมือนภาพฝัน ไม่อาจแยกแยะได้ ราวกับชมบุปผากลางสายหมอก
แต่การหยั่งรู้บางอย่างในม้วนหยกนี้ก็เป็นนัยเร้นลับที่อนุมานมาจาก ‘ภาพ’ เหล่านี้
กระทั่งครู่ใหญ่หลินสวินจึงเก็บจิตรับรู้กลับมา ในใจสั่นสะท้านอยู่บ้าง
จากนัยเร้นลับที่หยั่งรู้และอนุมานได้เหล่านี้ ไท่ชูได้ความรู้อย่างหนึ่ง…
เขตผนึกอัศจรรย์มีความหมายสามอย่าง
อย่างแรกคือต้นกำเนิดที่ให้กำเนิดมรรคแห่งชีวิต มีมรรคแห่งชีวิตที่สมบูรณ์สายหนึ่ง
อย่างที่สองคือเป็นแกนหลักต้นกำเนิดของแหล่งสถานอัศจรรย์ ก็เหมือน ‘สายธารยุคสมัย’ ซึ่งเป็นแกนหลักต้นกำเนิดของแหล่งสถานศุภโชค ‘ห้าภูเขาแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ ที่เป็นแกนหลักต้นกำเนิดของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ‘ทะเลโชคชะตา’ แกนหลักต้นกำเนิดของแหล่งสถานคุนหลุน
อย่างที่สามคือ เป็นหนึ่งในต้นกำเนิดของ ‘ไอแรกกำเนิด’ อันสมบูรณ์!
ความหมายแรกเข้าใจได้ง่าย ก่อนหน้านี้หลินสวินก็เคยได้ข้อสันนิษฐานทำนองนี้มาก่อน
ความหมายที่สองหากโยงความเกี่ยวข้องระหว่างจตุโบราณสถาน ก็เข้าใจได้ง่ายเช่นกัน
เขตผนึกอัศจรรย์แห่งนี้ก็คือต้นกำเนิดของแหล่งสถานอัศจรรย์เช่นเดียวกับ ‘สายธารยุคสมัย’ ‘ห้าภูเขาแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์’ และ ‘ทะเลโชคชะตา’
มีเพียงความหมายที่สาม เป็นสิ่งที่หลินสวินคิดไม่ถึงเด็ดขาด
หนึ่งในต้นกำเนิดของแรกกำเนิดอันสมบูรณ์!
ในสายตาของไท่ชู ‘ไอแรกกำเนิด’ ที่ว่า สามารถบรรจุจำนวนของยุคสมัยที่ผันเปลี่ยน สามารถรวมมหามรรคไร้สิ้นสุด สามารถวิวัฒน์ให้กำเนิดโลกนับไม่ถ้วน สามารถเพิ่มพูนสิ่งมีชีวิตได้ไม่รู้จบ
ก็เหมือนทางเดินดาราฟ้าโบราณ โลกพันจักรวาล โลกยอดนิรันดร์… โลกเหล่านี้ต่างอยู่ในยุควิญญาณยุทธ์ สิ่งนี้สามารถมองเป็นอารยธรรมยุคสมัยแห่งหนึ่งได้
และก่อนยุควิญญาณยุทธ์ ยังมีอารยธรรมยุคสมัยอีกมากมาย
อารยธรรมยุคสมัยต่างๆ รองรับอารยธรรมฝึกปราณทั้งปวง รวมถึงมหามรรคทั่วหล้า
แต่สุดท้าย อารยธรรมยุคสมัยต่างๆ ล้วนบรรจุอยู่ในไอแรกกำเนิดแห่งหนึ่ง!
‘ไอแรกกำเนิด’ เช่นนี้ไม่ใช่บ่อเกิดแรกกำเนิดยามเมื่อโลกใบเล็กแห่งหนึ่งถือกำเนิด และไม่ใช่กฎระเบียบแรกกำเนิดด้วย
มันก็คือร่างมารดาร่างหนึ่ง ภายในนั้นรองรับการสับเปลี่ยนยุคสมัย รองรับอารยธรรม มหามรรคและชีวิตเอาไว้!
ไอแรกกำเนิดเช่นนี้มองได้ว่าเป็น ‘ยุคแรกกำเนิด’ ยุคหนึ่ง
ยุคแรกกำเนิดรวมรวมอารยธรรมยุคสมัย มหามรรค ชีวิต การไหลเวียนของหมื่นลักษณ์หมื่นสรรพสิ่ง รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของเรื่องราวบนโลกนับไม่ถ้วน
ไม่ว่าจะเป็นยุคมรรคเซียน ยุคมาร ยุคธรรม หรือยุคพ่อมด… อารยธรรมยุคสมัยที่เคยปรากฏขึ้นในอดีตเหล่านี้ต่างเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ ‘ยุคแรกกำเนิด’
และในยุคแรกกำเนิดยุคหนึ่งมีสี่ต้นกำเนิด
ได้แก่ชีวิต โชคชะตา ศุภโชคและจุดจบ
หรือพูดอีกอย่างก็คือในยุคแรกกำเนิดนี้ ต้นกำเนิดของจตุโบราณสถานอย่างแหล่งสถานอัศจรรย์ แหล่งสถานคุนหลุน แหล่งสถานศุภโชคและแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ก็คือสี่ต้นกำเนิดที่รวมตัวเป็นทั้งยุคแรกกำเนิด
ในนั้นต้นกำเนิดชีวิตเป็นแกนหลักของยุคแรกกำเนิด ทั้งยังเป็นยอดมรรคาที่ผู้ฝึกปราณบนโลกแทบจะสัมผัสได้ยากสายหนึ่ง!
ส่วนอีกสามต้นกำเนิดอย่างศุภโชค โชคชะตาและจุดจบก็แปรเปลี่ยนเป็นการสับเปลี่ยนยุคสมัย วัฏจักรโชคชะตา ปลายทางสรรพสิ่ง…
และระหว่างสี่ต้นกำเนิดต่างเกี่ยวโยงกัน จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ได้ ก็เหมือนระหว่างจตุโบราณสถาน พลังของแต่ละที่สอดคล้องสมบูรณ์ต่อกัน หมุนเวียนเป็นวัฏจักร เป็นวังวนตั้งแต่เริ่มจนจบ รักษาการโคจรของทั้งยุคแรกกำเนิด
ข้างต้นก็คือนัยเร้นลับที่ไท่ชูหยั่งรู้ได้จากเขตผนึกอัศจรรย์ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้
และเมื่อเข้าใจทุกอย่างนี้ก็ทำให้หลินสวินได้คำตอบของข้อสงสัยมากมายในใจ อย่างเช่นการมีอยู่และความสัมพันธ์ของจตุโบราณสถาน
แต่ในขณะเดียวกันก็เกิดความสั่นสะท้านมากมายเช่นกัน
เพราะสำหรับเขาแล้ว ‘นัยเร้นลับ’ มากมายในนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน!
“รู้สึกอย่างไร”
ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ หลังจากเห็นหลินสวินสงบใจลงแล้วเฉินซีจึงยิ้มเอ่ยถาม
“ต้องยอมรับว่าไท่ชูร้ายกาจมาก”
หลินสวินระวังคำพูด เอ่ยว่า “ต่อให้เป็นคู่ต่อสู้ก็ไม่อาจไม่พูด ว่าการเสาะหาบนมหามรรคของเขามีความรู้ความเข้าใจที่เหนือธรรมดา”
เฉินซีพยักหน้าพูดว่า “ไท่ชูร้ายกาจจริงๆ ทั้งยังเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวยิ่งคนหนึ่ง เมื่อนานมาแล้วเขาเคยคิดออกจากโลกนี้ หลอมแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ แหล่งสถานคุนหลุนและแหล่งสถานศุภโชคทั้งหมดเข้าไปในมหามรรคของตน ตามคำพูดของเขา ถ้าหลอมสามโบราณสถานนี้เข้าสู่มรรคาของตนได้ ก็จะครอบครองรากฐานพลังที่สามารถหลอมแหล่งสถานอัศจรรย์ได้เช่นกัน”
หลินสวินสูดหายใจสะท้าน “เจ้าหมอนี่ถึงกับบ้าขนาดนี้เลยหรือ”
“สำหรับเขาแล้วนี่ก็เป็นวิธีแสวงมรรคอย่างหนึ่ง เพียงแต่ถ้าเขาทำเช่นนี้จริง ผู้ฝึกปราณในยุคต่างๆ ของใต้หล้าแห่งนี้กับสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนจะพบเจอพิบัติเคราะห์ไปด้วย”
“พูดอีกอย่างก็คือ ถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ ทั่วหล้านี้นอกจากเขาไท่ชูแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งปวงจะต้องประสบเคราะห์”
เฉินซีเอ่ย
หลินสวินพลันเอ่ยว่า “กฎระเบียบไท่ชูที่ปกคลุมรอบๆ แหล่งสถานศุภโชคนั่น คงไม่ใช่สิ่งที่ไท่ชูวางไว้เพื่อหลอมต้นกำเนิดศุภโชคกระมัง”
“เป็นเช่นนี้จริงๆ”
เฉินซียิ้มเอ่ย “ตอนนั้นหลังจากข้ารู้ทุกอย่างนี้ก็มุ่งหน้าไปสร้างเมืองเทพศุภโชค กำราบต้นกำเนิดศุภโชคไท่นั่น ทั้งยังคุ้มครองด้วยสมบัติลายธาร เช่นนี้จึงขวางพลังของไท่ชูที่ปกคลุมอยู่รอบๆ แหล่งสถานศุภโชคไว้ได้”
ตอนนี้หลินสวินถึงเข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดแหล่งสถานศุภโชคถึงติดอยู่ใต้การปกคลุมของกฎระเบียบไท่ชู
ใครจะคิดว่าไท่ชูถึงกับเคยบ้าขนาดคิดจะหลอมสามโบราณสถานทั้งหมด
“เจ้าหมอนี่ เพื่อแสวงมรรคถึงกับไม่สนใจทุกสิ่งแล้ว”
หลินสวินทอดถอนใจ
เฉินซีเอ่ย “ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ ยามมือกระบี่นั่นจากไปในตอนนั้นก็คงไม่แปลงมรรควิถีทั้งตัวเป็นโซ่กระบี่ กำราบไท่ชูไว้ในโลกหม่นมัวหรอก ที่กังวลก็คือเขาจะออกจากแหล่งสถานอัศจรรย์นี้ไปสร้างเภทภัยให้ทั่วหล้า”
เขาเว้นช่วงก่อนกล่าวต่อ “แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าไท่ชูเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ายกย่องคนหนึ่ง ความรู้เรื่องมหามรรครวมถึงจิตใจเสาะแสวงมรรคที่ไม่เปลี่ยนผันชั่วกาลของเขา กระทั่งข้ายังเลื่อมใสยิ่ง”
หลินสวินพยักหน้า จากนั้นเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ในความเห็นท่าน ไท่ชูหยั่งรู้และอนุมานเขตผนึกอัศจรรย์อย่างไร”
เฉินซีนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าว “เขาไม่ได้เล่นตุกติกในการหยั่งรู้เหล่านี้ เพราะความลับที่เขาหยั่งรู้ได้ ข้าก็หยั่งถึงเช่นกัน พูดอีกอย่างก็คือ ในแง่ความรู้เรื่องเขตผนึกอัศจรรย์ เขาถึงกับทำให้ข้ารู้สึกเข้าใจหัวอกและเห็นอกเห็นใจกัน”
พูดจบเขาก็ถอนใจยาวๆ “น่าเสียดาย ต่อให้มีความรู้มหามรรคแบบเดียวกัน แต่มรรคาต่างกัน สิ่งที่ไขว่คว้าจึงขัดแย้งกัน นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่า ‘สองทางไม่อาจบรรจบ’ อย่างไรก็ไม่อาจเป็นมิตรต่อกัน”
หลินสวินเอ่ย “คนที่เข้าใจตัวเองดีที่สุดมักเป็นศัตรู ประโยคนี้สามารถใช้กับไท่ชูได้ ว่ากันถึงที่สุดแล้ว การประลองหมากครั้งนี้อย่างไรก็ต้องตัดสินแพ้ชนะ”
เฉินซีเอ่ย “ช่วงเวลาตัดสินแพ้ชนะยังเร็วไป ถือโอกาสนี้ข้าก็มีใจความบางส่วนอยากพูดคุยกับสหายน้อยเช่นกัน”
หลินสวินยิ้มเอ่ย “ผู้น้อยขอรับฟังด้วยความเคารพ”
“ไท่ชูคิดว่าเขตผนึกอัศจรรย์เก็บซ่อนมรรคแห่งชีวิตเอาไว้ และมรรคแห่งชีวิตนี้ถูกเขามองเป็นต้นกำเนิดแกนหลักของ ‘ยุคแรกกำเนิด’ แต่ข้าคิดว่ามรรคแห่งชีวิตนี้ควรเรียกว่า ‘มรรคาหงเหมิง[1]’ ถึงจะถูก”
‘มรรคาหงเหมิงหรือ’ หลินสวินครุ่นคิด
“ใช่แล้ว หงเหมิงที่พูดถึง ก็คือแกนหลักของยุคแรกกำเนิดอย่างหนึ่ง เป็นต้นกำเนิดแห่งชีวิต ถ้าเปรียบเทียบก็คือ หากยุคแรกกำเนิดคือไข่ไก่ฟองหนึ่ง เช่นนั้นพลังหงเหมิงนี้ก็จะเป็นไข่แดง มรรคแห่งชีวิตทั้งหมดล้วนฟูมฟักและถือกำเนิดจากจุดนั้น…”
ขณะเอ่ยเฉินซีก็บอกนัยเร้นลับที่ตนหยั่งรู้ได้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้ออกมาทั้งหมด
——
[1] หงเหมิง หมายถึงความขุ่นมัวอันกว้างใหญ่ เป็นคำเรียกชี่ดั้งเดิมตามธรรมชาติที่ขุ่นมัวคลุมเครือในช่วงก่อนเบิกฟ้าตามความเชื่อของชาวจีนโบราณ