Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3240 ตอนจบ
ในโถงใหญ่
ในอกหลินสวินอุ้มทารกหญิงที่เพิ่งลืมตาดูโลก ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
“ท่านพ่อ ถังเจียงบอกว่าเรื่องตั้งชื่อของนางหนูนี่ให้ท่านเป็นคนตั้ง”
ด้านข้างหลินฝานหัวเราะกล่าว
สองสามีภรรยาหลินเหวินจิ้งก็อมยิ้มเช่นกัน
เก้าพี่น้องอย่างพวกหลินเหิงอวิ๋น หลินเหิงหลันก็กำลังสังเกตหลินสวิน แววตาเจือความประหลาดใจ สีหน้ายากจะปิดความตื่นเต้น
ซย่าจื้อและอู๋ซวงยืนอยู่อีกข้างของหลินสวิน
หลินสวินใคร่ครวญคร่าวๆ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นก็เรียกว่าเหิงหยวนแล้วกัน”
ในผ้าอ้อม แม้ทารกหญิงเพิ่งถือกำเนิด กลับเห็นชัดว่าหน้าตางดงาม ดวงตาดำสว่างไสว ขณะหลินสวินเอ่ยคำว่า ‘เหิงหยวน’ ออกมา นางถึงกับร้องอ้อแอ้ออกมาคล้ายดีใจมาก
นี่ก็ปกติ
ถึงอย่างไรนางหนูคนนี้ก็ไม่ใช่ทายาทของคนธรรมดา ในร่างมีเลือดของหลินฝานและถังเจียงไหลอยู่ เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะแต่กำเนิด
และด้วยมรรควิถีของหลินสวิน ตอนที่เขาตั้งชื่อก็มีพลังโชคชะตาไร้รูปพุ่งเข้าไปในร่างของนางหนูคนนี้แล้ว
“เหิงหยวน ชื่อดียิ่ง!”
หลินฝานร้องออกมา
“ชื่อที่บิดาเจ้าตั้ง ต่อให้ไม่น่าฟังแค่ไหนเจ้ากล้าบอกว่าไม่เพราะหรือ” จ้าวจิ่งเซวียนยิ้มออกมา
ทุกคนอดขำไม่ได้
วันนี้การกลับมาของหลินสวินสร้างความฮือฮาต่อทั้งเบื้องบนและเบื้องล่างของตระกูลหลิน จากนั้นข่าวพลันกระจายออกไป ถูกผู้ฝึกปราณลัทธิแรกกำเนิด ตระกูลจี้ สำนักยุทธ์ก่อเกิดที่อาศัยอยู่ในเมืองเทพศุภโชคล่วงรู้
เกิดความฮือฮายิ่งใหญ่ขึ้นทันที
หลังจากนั้นทั้งเมืองเทพศุภโชครวมถึงโลกยุคสมัยอื่นๆ ของทั้งแหล่งสถานศุภโชค ก็ได้รู้ข่าวที่หลินสวินกลับมา ทำให้ทั่วหล้าเกิดความฮือฮาครั้งใหญ่
หลินสวิน!
ในโลกหล้าตอนนี้ ทอดสายตามองไปในหมื่นโลก ใครกล้าลืมบารมีอันเป็นตัวแทนของเบื้องหลังชื่อนี้
เพียงแต่เรื่องของหลินสวินในแหล่งสถานอัศจรรย์ ถึงตอนนี้ยังไม่มีคนรู้
ไม่เช่นนั้นความฮือฮาที่เกิดขึ้นย่อมไม่ธรรมดา
……
สามเดือนให้หลัง
เมืองเทพศุภโชค ตระกูลหลิน
ในโถงใหญ่ หลินฝานขมวดคิ้วเล็กน้อย “ก็ไม่รู้ใครแพร่ข่าวออกไป ทำให้ตอนนี้ในแหล่งสถานศุภโชค ขุมอำนาจในแต่ละอารยธรรมยุคสมัยรู้เรื่องที่ท่านพ่อจะแต่งงานกับท่านน้าซย่าจื้อในอีกหนึ่งเดือนให้หลังหมดแล้ว”
ช่วงนี้เมืองเทพศุภโชคครึกครื้นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ผู้ยิ่งใหญ่ไม่รู้เท่าไรล้วนมาเยือนไม่ขาดสาย ล้วนเฝ้ารอวันที่หลินสวินจะแต่งงาน
ถึงขั้นที่เฒ่าดึกดำบรรพ์บางส่วนซึ่งปิดด่านมาไม่รู้นานเท่าไรก็มาด้วย
ถังเจียงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “ท่านพี่ ท่านพ่อเป็นบุคคลระดับไหน ทุกการเคลื่อนไหวของเขาต้องเป็นที่จับตามองของทั่วหล้าอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นเรื่องใหญ่อย่างการแต่งงานแม้อยากปิดก็ปิดไม่อยู่หรอก”
หลินฝานยิ้มขื่น “ตอนแรกท่านพ่อยังพูดอยู่เลยว่าจะให้เรียบง่ายสักหน่อย เชิญแค่ญาติมิตรมาร่วมงานแต่ง แต่ตอนนี้… คงไม่ได้แล้ว”
“เรื่องนี้ย่อมไม่อาจจัดการอย่างเรียบง่ายเกินไปได้”
จู่ๆ จ้าวจิ่งเซวียนก็เดินเข้ามา “ตั้งแต่สมัยเด็ก ท่านน้าซย่าจื้อของเจ้าก็อยู่เคียงข้างท่านพ่อเจ้าแล้ว ตอนนี้ในที่สุดทั้งสองก็ได้ลงเอยกัน ข้าเองก็ดีใจมาก ในเมื่อข่าวแพร่ออกไปแล้ว เช่นนั้นงานแต่งก็ต้องจัดให้ดีหน่อย”
หลินฝานประหลาดใจ เอ่ยว่า “ท่านแม่ ท่านไม่หึงหวงสักนิดเลยหรือ”
จ้าวจิ่งเซวียนแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ “เจ้าจะเข้าใจอะไร หยุดพูดไร้สาระ เรื่องนี้ให้เจ้าจัดการด้วยตัวเอง หากจัดได้แย่ข้าไม่ให้อภัยเจ้าแน่!”
พูดจบก็หมุนตัวจากไป
ถังเจียงเม้มปากยิ้ม “ท่านพี่ หลายวันนี้ก็ต้องดูความสามารถของท่านแล้ว”
หลินฝานลุกขึ้กล่าว “ข้าจะไปหาตัวช่วยเดี๋ยวนี้”
วันนั้นหลินฝานได้ไปเยี่ยมผู้ยิ่งใหญ่อย่างพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยง ฟางเต้าผิงแห่งลัทธิแรกกำเนิด จี้หวังถู จี้ซี จี้ซานไห่แห่งตระกูลจี้ รวมถึงสหายของหลินสวินอย่างพวกอาหู เจ้าคางคก อาหลู่ เจ้านกดำเป็นต้น
เมื่อรู้จุดประสงค์ของหลินฝาน ทุกคนต่างตอบรับอย่างยินดี
และพร้อมกับเวลาที่ผ่านไปวันแล้ววันเล่า
เมืองเทพศุภโชคเต็มไปด้วยผู้คน สามารถมองเห็นเงาร่างของพวกน่ากลัวได้ทุกแห่งหน ล้วนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ที่มาจากแต่ละยุคสมัยในแหล่งสถานศุภโชค
อีกทั้งทุกคนยังมาถึงก่อนเวลา เตรียมของขวัญแสดงความยินดีอย่างตั้งใจ
ทว่าที่น่าอักอ่วนคือ เทียบเชิญงานแต่งของหลินสวินกลับไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถได้มาครองง่ายๆ
แม้เป็นหัวหน้าตระกูลของเผ่าเทพ ใช้ทุกวิถีทางแล้วก็ยังยากจะได้มา
แต่ไม่มีใครยอมแพ้ รอคอยอยู่ตลอด ต่อให้ไม่ได้ร่วมงานแต่ง อย่างน้อยก็มีโอกาสไปดูว่ายามงานแต่งเริ่มต้น จะมีบุคคลเลิศล้ำเท่าไรไปร่วมงาน
ควรรู้ว่าด้วยฐานะของหลินสวิน เรียกได้ว่าเป็นบุคคลอันดับหนึ่งทั่วหล้าแล้ว เป็นบุคคลชั้นเลิศในหมื่นกาล
คนที่สามารถเข้าร่วมงานแต่งงานของเขาได้ จะธรรมดาได้อย่างไร
ในสายตาผู้ยิ่งใหญ่เหล่านั้น แทนที่จะบอกว่าเป็นงานแต่งงานของหลินสวิน สู้บอกว่าเป็นเหตุการณ์ใหญ่อันเป็นที่จับตามองของปวงชนทั่วหล้าจะดีกว่า!
ในที่สุดวันแต่งงานก็มาถึงแล้ว
วันนี้เหนือฟ้าเมืองเทพศุภโชคเต็มไปด้วยเมฆมงคล แสงประกายหมื่นจั้ง แสงอาทิจตย์งดงามปานม่านน้ำตกทิ้งตัวลงมา เสียงมรรคดั่งเสียงสวรรค์ดังขึ้นเป็นระลอก ราวกับเสียงหงส์กระจ่างใส คลายเสียงฆ้องกลองดังแว่วอยู่กลางฟ้าดิน เจือกลิ่นอายมหาอิสระอันเปรมปรีดิ์เปี่ยมสุข
ทั้งเมืองเทพศุภโชคล้วนอาบอยู่ภายในบรรยากาศเฉลิมฉลอง
ส่วนผู้ฝึกปราณที่รวมตัวกันอยู่ในเมืองต่างตกตะลึงกับปรากฏการณ์ประหลาดเลิศล้ำต่างๆ ที่เมื่อรวมเข้าด้วยก็กลายเป็นทิวทัศน์ยิ่งใหญ่อันโชติช่วงชัชวาล ทำให้พวกเขาแทบอยากจะก้มลงหมอบกราบ
และในแดนลับดวงกมลเวลานี้ก็เปลี่ยนโฉมใหม่
โถงใหญ่ซึ่งตั้งอยู่ตรงกลางแขวนโคมผูกผ้าปูพรมแดง
หน้าโถงใหญ่มีซุ้มประตูโค้งขนาดใหญ่ ซุ้มประตูล้วนวิวัฒน์มาจากเมฆมงคลมหามรรค ท่วงทำนองมรรคไหลหลั่ง เดินอยู่ในนั้นล้วนสามารถสัมผัสถึงกลิ่นอายมหามรรคอันทรงพลังไร้ใดเปรียบ
หากฝึกปราณอยู่ภายในยอมไม่ต่างอะไรกับการได้รับมหาวาสนาศุภโชคใหญ่ แต่เวลานี้ประโยชน์ของซุ้มประตูโค้งนี้กลับธรรมดามาก คือใช้ต้อนรับแขกเท่านั้น…
เงาร่างมากมายรออยู่ที่นั่นนานแล้ว
มีคนตระกูลหลินซึ่งสามีภรรยาหลินเหวินจิ้งเป็นแกนนำ อย่างเช่นหลินจง หลินไหวหย่วน หลินเสวี่ยเฟิงเป็นต้น
ที่อยู่ติดๆ กันคือสหายสนิทของหลินสวิน อย่างพวกเสวียนจิ่วอิ้น จินเทียนเสวียนเยวี่ย ซูไป๋และภรรยากู้ซี อาหู เจ้านกดำ อาหลู่ เสี่ยวเทียน เจ้าจิ๊บจิ๊บ เจ้าคางคก วิญญาณกระบวนค่ายกลเสี่ยวอู่เป็นต้น
หรืออย่างพวกอวี๋เป่ยโต้ว ฉู่เฟิงแห่งภาคีนักสลักวิญญาณของจักรวรรดิจื่อเย่า เหล่าอาจารย์จากสำนักศึกษามฤคมรกต พ่อลูกกู่เยี่ยนผิง กู่เหลียงจากโถงทองคำ สืออวี่และสือหลินหลางจากอัครการค้าเป็นต้น ก็ล้วนอยู่ในนั้น
อีกด้านคือพวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยง ฟางเต้าผิง หยวนอู่เทียนจากลัทธิแรกกำเนิด
เงาร่างของอริยบุคคลดินแดนรกร้างโบราณอย่างจักรพรรดิสงครามอู๋ยาง อริยพุทธซิงเจีย จักรพรรดินรกเลือดทมิฬ บุตรนรกก็อยู่ในนั้น
ญาติมิตรเหล่านี้อาศัยอยู่ในเมืองเทพศุภโชคมานานแล้ว ช่วงที่ผ่านมายุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งของหลินสวินมาโดยตลอด
และวันนี้ พวกเขาก็กำลังจะได้เป็นประจักษ์พยานให้กับงานแต่งงานซึ่งเป็นจับตามองของทั่วหล้าด้วยตัวเอง!
พร้อมกับเวลาที่ล่วงเลย
ทั้งงานจัดเตรียมเสร็จแล้ว ทั้งภายในภายนอกล้วนมีบรรยากาศยิ่งใหญ่ผ่าเผย รุ่งโรจน์โชติช่วงหมื่นกาล
หลินฝานกับถังเจียงพาลูกๆ มายืนอยู่นอกโถง เตรียมต้องรับแขกเหรื่อ
ลูกทั้งเก้าของหลินฝานได้แก่ ลูกชายคนโตหลินเหิงอวิ๋น ลูกชายคนรองหลินเหิงเซียว ลูกสาวคนที่สามหลินเหิงเจวี๋ย ลูกสาวคนที่สี่หลินเหิงซาน ลูกชายคนที่ห้าหลินเหิงชิว ลูกชายคนที่หกหลินเหิงเสวี่ย ลูกชายคนที่เจ็ดหลินเหิงเฟิง ลูกสาวคนที่แปดหลินเหิงหลัน ลูกชายคนที่เก้าหลินเหิงตู้
แน่นอนว่าหลินเหิงหยวนที่เด็กที่สุดยังอยู่ในผ้าอ้อม
สามารถพูดได้ว่าในงานแต่งวันนี้ บรรดาญาติมิตรที่ปกติอยู่ต่างแดนของตระกูลหลินล้วนเร่งเดินทางกลับมาล่วงหน้าหลายวันแล้ว
ไม่มีใครกล้าละเลย
เมฆมงคลลอยล่อง ประกายแสงอบอวล แสอาทิตย์สาดส่องลงมาจากชั้นฟ้า แสงมรรคพร่างพราวประชันกับแสงสุริยัน เสียงมรรคปานเสียงสวรรค์ดังแว่วผะแผ่ว ทำให้แดนลับดวงกมลอาบไล้อยู่ในบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ชั้นหนึ่ง
เวลาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ บรรยากาศที่ครึกครื้นในตอนแรกค่อยๆ สลายไป ถูกบรรยากาศเคร่งขรึมจริงจังแทนที่
“ถึงฤกษ์มงคงแล้ว…!”
ฉับพลันนั้นเสวียนเฟยหลิงเอ่ยเสียงขรึม กึกก้องไปทั่วเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
แกร๊ง! แกร๊ง! แกร๊ง!
เสียงระฆังกังวานดังขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า สะเทือนฟ้าดิน รวมทั้งสิ้นเก้าครั้ง
ทันใดนั้นทุกคนทั้งในและนอกโถงพิธีล้วนสีหน้าครัดเคร่ง เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
“รับแขก!”
เสวียนเฟยหลิงประกาศ
ประโยคเดียวสองคำ กลับแทรกผ่านแดนลับดวงกมล ดังก้องเหนือห้วงอากาศทั้งเมืองเทพศุภโชค
ชั่วขณะนี้ทั้งเมืองเทพศุภโชคเงียบกริบ ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนที่กระจายอยู่ในเมืองต่างกลั้นหายใจเพ่งสมาธิ รู้ว่างานแต่งงานที่ทั่วหล้าจับตามองนี้กำลังจะเริ่มแล้ว!
และในแดนลับดวงกมล
เมื่อเสวียนเฟยหลิงประกาศรับแขก ฟ้าดินสะเทือนไหวทันที
เงาร่างผ่าเผยสายหนึ่งปรากฏ รูปลักษณ์มีสง่าราศีราวกับนายเหนือหัวบนเก้าชั้นฟ้า เป็นโพธิ เจ้าแห่งคีรีดวงกมล!
ที่ตามมาด้านหลังเขาคือผู้สืบทอดคีรีดวงกมลทั้งสี่สิบเก้าคน อย่างจักรพรรดิสงครามยุทธ์ จ้งชิว รั่วซู่ หลิงเสวียนจื่อเป็นต้น
ยามพวกเขาปรากฏตัว ในที่นั้นต่างฮือฮา ผู้ยิ่งใหญ่ไม่รู้เท่าไรหัวใจสะท้าน
คีรีดวงกมล!
ใครไม่รู้บ้างว่านี่คือสำนักที่หลินสวินอยู่
ทว่าตอนนี้แม้แต่คนชั้นเลิศอย่างเจ้าแห่งคีรีดวงกมลยังมาด้วยตัวเอง จะไม่ให้ผู้คนตกใจได้อย่างไร
โพธิกวาดสายตามองรอบๆ แล้วยิ้มกล่าว “ครึกครื้นจริงๆ”
ด้านหลังเขาเหล่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลต่างยิ้มออกมาเช่นกัน
ระหว่างทางพวกเขาได้เห็นความคึกคักที่เกิดขึ้นเพราะงานแต่งงานของศิษย์น้องเล็กแล้ว
ไม่นานห้วงอากาศก็พลิกม้วนอีกระลอก
บรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดหยวนชู บรรพจารย์ลัทธิวิญญาณซวีอิ่น กับเฒ่าโดดเดี่ยวและราชครูพาเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าอย่างสิงเจี้ยนสยา ฟู่หนานหลี เหรินฟู่เทียนมาปรากฏตัวพร้อมกัน
ในที่นั้นฮือฮาอีกระลอก พวกเสวียนเฟยหลิง ตู๋กูยงต่างตกใจ เพราะแม้แต่พวกเขาก็คิดไม่ถึงว่าบรรพจารย์ทั้งสองอย่างหยวนชูและซวีอิ่นจะถึงกับพาคนใหญ่คนโตรุ่นแรกของลัทธิมาด้วย
นี่ทำให้พวกเขาประหลาดใจมาก และดีใจหาใดเปรียบ รีบเข้าไปต้อนรับ
ในที่นั้นเดือดพล่านขึ้นมาแล้ว คนไม่รู้เท่าไรเบิกตาโพลง
คนตระกูลหลินหลายคนย่อมไม่รู้จัก ไม่รู้เลยว่าเวลานี้ยอดบุคคลที่แทบจะดำรงอยู่เพียงในตำนานเหล่านั้นจะทยอยมาเยือน
มีเพียงหลินฝานที่เผยรอยยิ้ม
เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นเขาจัดการด้วยตัวเอง ย่อมรู้ว่าผู้ที่มาครั้งนี้ไม่ได้มีเพียงคนของคีรีดวงกมล ลัทธิแรกกำเนิด ลัทธิวิญญาณเท่านั้น
ไม่นานห้วงอากาศเกิดคลื่นอีกระลอก
มีคนมาอีกแล้ว
ครั้งนี้มีเพียงแค่สองคน
แต่ยามพวกเขามาถึง ทั้งงานล้วนเงียบกริบ ทุกสายตาถูกดึงดูดไป
ผู้มาเยือนคือเฉินซีและเฉินหลินคง
พวกโพธิ หยวนชู ซวีอิ่นล้วนเข้าไปต้อนรับด้วยตัวเอง
ส่วนพวกที่ไม่รู้ฐานะเฉินซีและเฉินหลินคง ยามเห็นภาพนี้ต่างอดตะลึงไปไม่ได้ ตระหนักได้ถึงความไม่ธรรมดาของผู้มาเยือน
วันนี้เป็นงานแต่งงานของหลินสวิน ดังนั้นหลังจากมาถึง ไม่ว่าจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่อย่างเฉินซี เฉินหลินคง หรือโพธิ หยวนชู ซวีอิ่น ล้วนเก็บพลังรอบตัวโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่ได้เผยอานุภาพน่ากลัวอะไรออกมา
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ ยามเห็นพวกเขาปรากฏตัว ส่วนลึกของจิตใจผู้คนยังคงปรากฏความรู้สึกกดดันน่าครั่นคร้าม
หลินเหิงอวิ๋นและน้องๆ อึ้งงันอยู่ตรงนั้นนานแล้ว ในใจกระเพื่อมไหวไม่หยุด เพิ่งจะตระหนักได้ว่าบารมีที่ท่านปู่ของพวกเขามียิ่งใหญ่เพียงใด
ทุกสิ่งที่เห็นในหลายวันมานี้ ล้วนไม่มีอะไรสะท้านสะเทือนได้เท่าภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้าตอนนี้
โดยเฉพาะหลังจากรู้ที่มาของผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้จากปากหลินฝาน พวกเขาแต่ละคนต่างรู้สึกเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง
คนอื่นๆ ในงานก็ล้วนเป็นเช่นนี้
เหตุผลเพราะหลังจากหลินสวินกลับมาเมืองแห่งศุภโชค ก็แทบไม่เคยเล่าเรื่องในทะเลโชคชะตาและแหล่งสถานอัศจรรย์เลย
ทำให้จนตอนนี้พวกเขาถึงได้ตระหนักว่า เทียบกับยามจากไป หลินสวินในตอนนี้อำนาจบารมีแตกต่างจากเมื่อก่อนนานแล้ว!
หลังจากพวกเฉินซี โพธิมาถึงก็นำของขวัญของตนออกมา สมบัติเทพที่ไม่เคยเห็นแต่ละชิ้นสร้างความตกตะลึงครั้งแล้วครั้งเล่า
มูลค่าของขวัญเหล่านั้นเหนือกว่าจินตนาการของผู้คนมากมายในงานโดยสมบูรณ์
สุ่มหยิบออกมาสักชิ้น สามารถทำให้เผ่าเทพนิรันดร์ใดๆ ล้วนไม่กล้าหวังจะครอบครอง!
“ตอนนี้ เริ่มพิธีแต่งงาน”
เมื่อแขกทั้งหมดเข้างานแล้ว เสวียนเฟยหลิงถึงเอ่ยเสียงกังวาน
ทันใดนั้นเสียงกลองระฆังประสาน เสียงมรรคแผ่นพลิ้วปานเสียงสวรรค์ ฟ้าดินไอมงคลอบอวล
ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน เงาร่างคู่หนึ่งเดินออกกลางโถงใหญ่ จิตใจทุกคนล้วนถูกดึงดูดตามไปด้วย
หลินสวินในวันนี้สวมชุดเจ้าบ่าวสีแดง
ข้างกายเขาคือซย่าจื้อที่งดงามอรชร สวมชุดเจ้าสาวมงกุฎหงส์
คู่แต่งงานใหม่ยืนเคียงกันบนแท่นยก บนฟ้าแสงเทพไหลเคลื่อน เสียงมรรคแผ่วพลิ้ว ห่างออกไปญาติมิตรแขกเหรื่อนั่งกันเต็มงาน เสียงกลองและระฆังดังพ้อง
ภาพนี้จะต้องกลายเป็นภาพจำที่ทุกคนในงานยากจะลืมเลือนตลอดกาลอย่างแน่นอน ควรค่ากับการระลึกถึง
พิธีแต่งงานดำเนินไปภายใต้การจัดการของเจ้าภาพอย่างเจ้าแห่งคีรีดวงกมลโพธิ โดยมีบรรดาญาติมิตรเป็นพยาน
จากนั้นงานเลี้ยงก็เปิดฉาก
บรรยากาศครึกครื้นต่อเนื่องมานานหนึ่งวันเต็มแล้ว
หลินสวินเองก็ไม่รู้ว่าดื่มสุราไปกี่จอกแล้ว พูดคุยกับสหายไปไม่รู้กี่คน รู้สึกเพียงว่าวันนี้เหมือนไม่มีความทุกข์สักนิด
เขาในตอนนี้ไม่เหมือนนายเหนือหัวไร้เทียมทานที่ก้าวสู่มรรคาชีวิต กลับเหมือนเจ้าบ่าวที่พบเห็นได้ทั่วไปบนโลก ดื่มด่ำกับความสุขซึ่งมีหนึ่งเดียวในวันนี้อย่างเต็มที่
มรรคส่วนมรรค
ความรักก็ส่วนความรัก
……
คืนนั้น
ในห้องหอเทียนแดงม่านปกคลุม บรรยากาศเงียบสงบ
ซย่าจื้อในชุดเจ้าสาวมงกุฎหงส์นั่งเงียบๆ อยู่หน้าเตียง ภายใต้เงาโคม ใบหน้าขาวกระจ่างที่งดงามเลิศล้ำไม่มีสิ่งใดเทียบได้ แม้แต่ดวงตากระจ่างดั่งดาราคู่นั้นก็เผยเสน่ห์อันน่าลุ่มหลง
ในห้องที่เงียบสงบเหลือเพียงนางกับหลินสวินสองคน เสียงจากภายนอกคล้ายหายไปทั้งหมดในพริบตา
หลินสวินเดินไปเบื้องหน้า นั่งลงข้างกายซย่าจื้อ ฝ่ายหลังขนตาขยับไหวเล็กน้อย คล้ายในที่สุดก็ตระหนักได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้น นางเอ่ยเสียงเบาอย่างอดไม่ได้ “หลินสวิน…”
ไม่รอพูดจบ ริมฝีปากชมพูชุ่มฉ่ำนั้นก็ถูกประกบแล้ว
เรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้น ความละมุนละไมอัศจรรย์เร้นลับเป็นสิ่งที่ไม่อาจเอ่ยกับคนนอกได้
……
ในคืนเดียวกัน
แสงโคมสว่างไสวทุกแห่งหน เสียงดื่มสุราพูดคุยดังขึ้นไม่ขาดสาย
แขกที่มาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ยังคงชนจอกสุรา สนทนาสนุกสนาม
ในโถงเรือนที่สร้างอยู่กลางเขา บรรยากาศเงียบสงบ
ในอกจ้าวจิ่งเซวียนกอดหลินเหิงหยวนที่หลับไปแล้ว เอ่ยพูดเสียงเบา “แม่นางเสวียนเยวี่ย ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าหากเจ้ายินยอม ข้าจะบอกท่านพี่ให้ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เชื่อว่าเขาก็คงรู้ถึงความรู้สึกของเจ้านานแล้ว”
ข้างๆ จินเทียนเสวียนเยวี่ยในชุดขาวทั้งตัว คิ้วตาปานภาพวาดใจสั่นเล็กน้อย จากนั้นพลันส่ายหน้า “ท่านพี่ ไม่ต้องหรอก ขอเพียงได้อยู่ข้างกายคุณชายข้าก็พอใจแล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนถอนหายใจในใจ “เรื่องราวบนโลกนี้ สิ่งที่เข้าใจยากที่สุดอาจเป็นคำว่ารักนี้ ผู้ฝึกปราณอย่างพวกเรา ใครสามารถละเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาในใจได้อย่างแท้จริงบ้าง”
นางสงสารจินเทียนเสวียนเยวี่ยจับใจ
“ท่านพี่ การฝึกปราณก็คือฝึกจิต ยามข้าเป็นผู้ติดตามข้างกายคุณชายก็คิดไว้นานแล้วว่าชาตินี้จะไม่แต่งให้ใคร”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยเอ่ยปากพูดยิ้มๆ บนใบหน้างามไม่มีความเสียใจแม้เพียงเสี้ยว
จ้าวจิ่งเซวียนขานรับว่าอืม จากนั้นยิ้มกล่าว “มีพ่อแบบไหนก็มีลูกแบบนั้น เจ้าฝานเอ๋อร์ก็เป็นพวกหัวทื่อ หลายปีมานี้มีหญิงสาวไม่รู้เท่าไรมอบใจให้เขา แต่เขาดันรักเพียงถังเจียงคนเดียว”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยเผยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้
……
วันที่สองหลังพิธีแต่งงานจบลง
ยอดบุคคลอย่างพวกเฉินซี เฉินหลินคง โพธิทยอยจากไป แขกคนอื่นๆ เองก็พากันบอกลาเช่นกัน
เวลานี้เรื่องที่เกิดขึ้นในพิธีแต่งงานล้วนกระจายออกไปภายนอกแล้ว สร้างความฮือฮาไม่รู้เท่าไรในทันที
“มรรควิถีของผู้อาวุโสหลินสวินในตอนนี้ เกรงว่าจะเป็นอันดับหนึ่งทั่วหล้าแล้วกระมัง”
“ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นงานแต่งครั้งนี้จะมีเหล่าผู้ยิ่งใหญ่มาแสดงความยินดีด้วยตัวเองมากขนาดนั้นได้อย่างไร”
“ตระกูลหลินต้องโชคดีปานไหน!”
…ทั้งเมืองเทพศุภโชค รวมถึงโลกยุคสมัยต่างๆ ในแหล่งสถานศุภโชคล้วนกำลังพูดคุยเรื่องที่เกี่ยวกับงานแต่งครั้งนี้
หลังจากนั้นข่าวยิ่งกระจายไปถึงเก้าน่านฟ้าของโลกยอดนิรันดร์ โลกพันจักรวาล ทางเดินโบราณฟ้าดารา ทำให้เกิดความฮือฮาไม่รู้เท่าไรเช่นกัน
เวลาผ่านไปหนึ่งปีและอีกหนึ่งปี
หลินสวินอยู่ที่ตระกูลหลินโดยตลอด ดื่มด่ำความสุขที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า
นอกแหล่งสถานศุภโชค ในอารยธรรมยุควิญญาณยุทธ์ที่บรรจุโลกนับไม่ถ้วนอย่างโลกยอดนิรันดร์ โลกพันจักรวาล กลิ่นอายของพิบัติเคราะห์สายหนึ่งแผ่ออกมาเงียบๆ ในห้วงอากาศ
“เคราะห์แห่งยุคสมัยจะมาเยือนแล้ว!”
ในแต่ละโลก เหล่าผู้มีความสามารถสูงส่งไม่รู้เท่าไรสังเกตเห็นร่องรอยทันที อดลนลานและไม่สบายใจไม่ได้
“นี่… นี่จะทำอย่างไรดี”
ผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรจิตใจห่อเหี่ยว
ทันทีที่ด่านเคราะห์เช่นนี้มาเยือนย่อมไม่มีที่ให้หลบซ่อนจริงๆ เพราะทุกชีวิตในใต้หล้านี้ล้วนอยู่ในอารยธรรมยุควิญญาณยุทธ์
และเมื่อเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือน ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณหรือคนธรรมดา ใครก็หนีไม่พ้น
“นี่ก็คือชีวิต วัฏจักรมรรคสวรรค์ มหาเคราะห์แห่งยุค ไม่ว่าใครล้วนไม่อาจหลบเลี่ยง…”
ในใจคนบางส่วนเกิดความสิ้นหวัง
“ไม่เห็นหรือ เหล่าผู้แข็งแกร่งชั้นยอดอย่างพวกหลินสวินล้วนเก็บตัวอยู่ในแหล่งสถานศุภโชค ส่วนคนตัวเล็กๆ อย่างพวกเรา ถูกกำหนดให้จิตสิ้นวิญญาณสลายไม่อาจเลี่ยง พินาศไปพร้อมกับการดับสิ้นของยุคสมัยนี้…”
มีคนถอนหายใจยาว
ทว่าก็เป็นวันนี้เองที่เจตจำนงสายหนึ่งดังขึ้นทั่วทุกโลกของยุควิญญาณยุทธ์ “วันนี้ ข้าหลินสวินจะสลายเคราะห์กำหนดมรรค”
เสียงดังกึกก้องทะลวงเก้าชั้นฟ้า กระจายไปทั่วทุกโลกในชั่วอึดใจ
พริบตานั้นสรรพชีวิตทั่วหล้าล้วนรับรู้ ต่างหยุดการกระทำในมือ มองขึ้นไปบนฟ้าไกลห่าง สีหน้าล้วนเคร่งขรึมและเลื่อมใส คล้ายถูกพลังไร้รูปชำระล้างทั่วกาย
เหล่าผู้มีความสามารถสูงส่งกลับพบในทันที ว่าเคราะห์แห่งยุคสมัยที่กำลังก่อตัวนี้ถึงกับกลับหายไปอย่างไร้สุ้มเสียงไม่รู้ตั้งแต่เมื่อใด ไม่อาจสัมผัสได้อีก
ทว่าที่แตกต่างจากในอดีตคือ ในระเบียบมรรควัฏจักรของยุควิญญาณยุทธ์ มีพลังกฎระเบียบอัศจรรย์ที่ทำให้ทุกคนล้วนใจสั่นเพิ่มเข้ามาสายหนึ่ง!
นั่นคือกลิ่นอายมหามรรคของหลินสวิน!
ที่เพิ่มเข้ามาก็เพื่อ ตั้งจิตเพื่อฟ้าดิน สร้างชีวิตเพื่อสรรพชีวิต สร้างสันติสุขเพื่อใต้หล้า!
“ผู้อาวุโสหลินสวินเขา… เขาถึงกับสลายเคราะห์แห่งยุคสมัย อนุมานระเบียบวัฏจักรขึ้นมาใหม่ ทำให้สรรพชีวิตทั่วหล้าหลุดพ้นจากมหาเคราะห์ที่กำลังจะมาเยือน!”
“สวรรค์!!”
“ผู้อาวุโสหลินสวินแข็งแกร่งเกินไปแล้วกระมัง”
เสียงฮือฮาตกตะลึงนับไม่ถ้วนดังขึ้นในโลกยอดนิรันดร์ โลกพันจักรวาล รวมถึงโลกต่างๆ มากมาย
ใครก็คิดไม่ถึงว่าผู้สืบทอดของคีรีดวงกมลผู้นั้น ตอนนี้ถึงกับสามารถเอาชนะเคราะห์แห่งยุคสมัย กำหนดมรรคให้ใต้หล้า ช่วยทุกคนให้รอดพ้นภัยพิบัติได้!
ยิ่งไม่มีใครคิดว่าแม้แต่ระเบียบมรรควัฏจักรของยุควิญญาณยุทธ์ยังถูกหลินสวินเอาชนะ ทำได้เพียงก้มหัวศิโรราบ!
ทว่าไม่ทันไรในสมองของผู้มีความสามารถสูงส่งเหล่านี้ ความทรงจำที่เกี่ยวข้องกับหลินสวินพวกนี้ล้วนเหมือนถูกลบหายไปเงียบๆ ไม่มีหลงเหลือ
นี่นำมาซึ่งเสียงที่แฝงความประหลาดใจไม่น้อย แต่คิดอย่างไรคิดไม่ออก
สำหรับสรรพชีวิตมากมายในใต้หล้านี้ ล้วนไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นตั้งแต่ต้นจนจบ
“มรรคไร้รูป ไร้นาม มีอยู่ทุกแห่งหน หากมีร่องรอยของข้าหลินสวินอยู่ กลับไม่เหมาะสม…”
ในแดนลับดวงกมล หลินสวินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โยกยิ้มน้อยๆ ดื่มสุราจอกหนึ่ง
ไม่ไกลนักเด็กน้อยคนหนึ่งกำลังหัดเดิน ล้มเป็นระยะๆ
ซย่าจื้อมองอยู่ข้างหลัง แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน
นี่คือลูกของนางกับหลินสวิน ตั้งแต่พริบตาที่ถือกำเนิด ก็ได้กลายเป็นอีกหนึ่งแสงสว่างในโลกของนางนอกจากหลินสวินแล้ว
——
(จบบริบูรณ์)