Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 326
เมื่อเห็นว่าหลินสวินแข็งข้อเช่นนี้ คนหนุ่มสาวข้างหลังก็เต้นเร่า
หลินอิงเจินเป็นคนรุ่นเยาว์ที่โดดเด่นของตระกูลหลินแห่งธารประจิม ในตอนที่ทะลุขั้นผสานใจได้ เขารวบรวมบ่อพลังวิญญาณระดับสองนามว่า ‘กระแสลมธรณี’ ได้ ทำให้ฝึกปราณได้เร็วกว่าปกติ สามปีก่อนได้บรรลุระดับปราณอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งบรรลุขั้นผสานฟ้า
ลือกันว่า หลินอิงเจินกำลังเตรียมตัวบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณ
เหตุผลที่เขากดขั้นพลังเอาไว้ ก็เพื่อให้มีพลังปราณหนาแน่นในการบรรลุปราณในภายภาคหน้า ทำให้เส้นทางการฝึกปราณยาวนานขึ้นไปอีก
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว การบรรลุระดับมหาสมุทรวิญญาณนั้นยากยิ่งนัก แต่สำหรับหลินอิงเจินแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม ในใจของคนทั่วไปนั้น หลินอิงเจินคือความภาคภูมิใจของตระกูลหลินแห่งธารประจิม พรสวรรค์โดดเด่น ความสามารถยอดเยี่ยม
เขาออกหน้าด้วยท่าทางแข็งกร้าวไม่กลัวใครในวันนี้ จะไม่ให้เด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่ตื่นเต้นได้อย่างไร บางคนถึงขนาดคิดว่าหลินอิงเจินแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่รู้ว่าหลินสวินจะกลัวจนหดหัวเลยหรือไม่ หากเป็นเช่นนั้นคงน่าผิดหวังเป็นอย่างมาก
แต่หลินสวินกลับยิ้ม “ไม่ต้องพล่ามหรอก ในเมื่อมาหาเรื่องก็แสดงว่าเจ้าเตรียมตัวถูกตีไว้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องเกรงใจ ใส่แรงมาได้เต็มที่ รอจัดการเจ้าเสร็จแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องทำต่อ ไม่มีเวลามาเล่นกับพวกเจ้า”
คำพูดสบายๆ ทำให้เด็กหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่อยากเชื่อหูตัวเอง ต่างพากันเบิกตาโพลง เด็กคนนี้อวดดีนัก
“พี่อิงเจิน จัดการมันเลย”
“มารดาเจ้าสิ เด็กคนนี้ปากร้ายนัก ต้องจัดการให้หนักเลย”
“รนหาที่ตาย นี่แหละที่เรียกว่าปากพาซวย”
คนกลุ่มนั้นตะโกนว่า
หลินอิงเจินผงะ เขาเคยเจอคนอวดดี แต่ไม่เคยเจอใครอวดดีขนาดนี้ บัดนี้เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาทิ่มแทง และใบหน้าครึ้มเขียวแล้ว
“สหาย คำลาของเจ้าในวันนี้…”
“พูดมาก” หลินสวินกรอกตา ขมวดคิ้วใส่ “เจ้าเป็นสตรีหรืออย่างไร”
“เจ้า”
หลินอิงเจินโมโหแทบกระอักเลือด บุตรหลานตระกูลใหญ่ย่อมใส่ใจพิธีรีตองที่สุด จึงไม่เคยพบเห็นคนปากร้ายอย่างหลินสวินมาก่อน
ชิ้ง
ในยามนี้หลินสวินคล้ายหมดความอดทน เด็กหนุ่มเรียกดาบเวทเรืองแสงออกมา ก่อนจะกระโจนตัวลงไปจากบันไดหยกสีขาว เริ่มลงมือโดยไม่มีความลังเล
“รังแกกันเกินไปแล้ว!”
หลินอิงเจินโมโหจริงๆ แล้ว ทั้งร่างมีกลิ่นอายน่าเกรงขาม คล้ายเป็นกระบี่ด้ามหนึ่ง ไอสังหารพวยพุ่ง ในมือของเขามีกระบี่วิญญาณแสงสีแดงอยู่ด้วย
หืม
แต่เมื่อเริ่มลงมือนั้น หลินอิงเจินพลันตะลึงตาค้าง ด้วยเพราะดาบกระจอกๆ ของหลินสวินคล้ายไม่มีอะไรพิเศษแต่กลับทำให้เขารู้สึกต้านทานไม่ได้
นี่มันวิชาดาบบทไหนกัน
หลินอิงเจินรู้สึกประหลาดใจมาก พร้อมกับรู้สึกได้ถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีบางอย่าง พลังดาบนั้นรุนแรงคล้ายสามารถเรียกพายุ หรือทำลายสรรพสิ่งได้เลยทีเดียว
นี่…
หลินอิงเจินขนลุกเกรียว ความโมโหและดูถูกในใจหายไป แทนที่ด้วยความรู้สึกอันตรายอันเย็นเยือก เขาจึงขับเคลื่อนพลังทั้งหมดออกมาในเหตุการณ์คับขันเช่นนี้เพื่อป้องกันตัวเอง ไม่ใช่เพื่อการโจมตี
กลุ่มชายหญิงเหล่านั้นต่างมองภาพแปลกๆ เอาไว้ เดิมทีคิดว่ากระบี่ของหลินอิงเจินจะสามารถสังหารอีกฝ่ายได้โดยง่าย แต่ไม่คิดว่าหลินอิงเจินจะใช้กระบี่นั้นเพื่อป้องกันตัวเอง
ป้องกันอย่างนั้นหรือ
ยังไม่ทันได้ปะทะกันก็ป้องกันเสียแล้ว จะเป็นไปได้อย่างไร
ทุกคนต่างงุนงง
พลันพวกเขาก็ตาพร่า ได้ยินเสียงดังสนั่นและแสงวิญญาณของสองสิ่งปะทะกัน จากนั้นก็เห็นหลินอิงเจินที่พวกเขาบูชาหนักหนาลอยหวืออกมาคล้ายโคใหญ่ขวิด
เสียงหล่นลงพื้นตามด้วยฝุ่นควันคลุ้ง หลินอิงเจินเสียงโอดโอย กระอักเลือดคำใหญ่ กระดูกทั้งร่างหักไปหลายซี่ เจ็บจนยืนไม่ได้
ซี๊ด
เสียงซูดปากดังขึ้น เหล่าเด็กหนุ่มสาวในตระกูลหลินล้วนตาค้างอ้าปาก ไม่ได้ตาฝาดใช่หรือไม่ หลินอิงเจินกลับลอยหวือออกมาด้วยดาบกระบวนเดียวตั้งแต่เพิ่งเริ่มต่อสู้
น่ากลัวเกินไปแล้ว
ทุกคนแน่นิ่งด้วยความหวาดกลัว
หลินสวินว่าอย่างแปลกใจ “รู้ตัวไวดี รับการโจมตีของข้าได้ก็ถือว่าเจ้าโชคดีแล้ว”
ได้ยินเช่นนั้นหลายคนก็ตัวสั่น ตระหนักถึงความน่ากลัวของเด็กหนุ่มตรงหน้า
เขาใช้ปราณขั้นผสานดิน เอาชนะหลินอิงเจินที่มีปราณขั้นผสานฟ้า ทั้งยังคงมีท่าทางสบายๆ ไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดที่มีด้วยซ้ำ
น่ากลัวเกินไปแล้ว
“จะ เจ้า…”
หลินอิงเจินหน้าครึ้มเขียว นอนกระอักเลือดไม่หยุด สายตาเต็มไปด้วยความกังขา คาดไม่ถึงว่าตนเองจะแพ้ได้รวดเร็วเช่นนี้
หลินสวินเดินลงมาจากบันได โดยที่คนเหล่านั้นล้วนแหวกทางให้ด้วยความหวั่นเกรง ชัดเจนว่าพวกเขากลัวพลังดาบของหลินสวิน เด็กหนุ่มเดินมาหยุดที่หน้าหลินอิงเจิน ก่อนจะถอดของมีค่าบนกายของอีกฝ่ายออกทั้งหมด แม้แต่กำไลหยกและรองเท้าก็ยึดมาจนหมดเช่นกัน
ฝ่ายโดนกระทำโหยหวนคล้ายเด็กสาวเสียพรหมจรรย์ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง พริบตาเดียวเขาก็เหลือแต่เพียงกางเกงใน กายเปลือยเปล่าขาวสะอาดสะอ้าน
กลุ่มคนพวกนั้นมองตาค้าง
ไม่ใช่พวกเขาไม่อยากช่วย แต่หลินสวินจัดการทุกอย่างได้ว่องไวมาก กว่าพวกเขาจะรู้สึกตัว หลินอิงเจินก็ถูกปอกเปลือกเป็นชีเปลือยแล้ว
ที่สำคัญ แม้แต่หลินอิงเจินเองยังขัดขืนหลินสวินไม่ได้ พวกเขาก็ยิ่งทำอะไรไม่ได้
หลินสวินหยุดมือเมื่อได้ถอดของมีค่าทั้งหมดออกมาแล้ว เขาไม่สนใจหลินอิงเจินที่นอนเปลือยปิดหน้า แต่มองไปที่กลุ่มเด็กหนุ่มสาว เพียงปราดเดียวก็ทำให้คนพวกนั้นตัวเย็นวาบคล้ายถูกหมาป่าหิวกระหายจ้องมอง ผู้ชายทำหน้าปุเลี่ยน ผู้หญิงทำหน้าอับอาย ล้วนกลัวว่าจะถูกกระทำเหมือนหลินอิงเจิน
หลินสวินลอบถอนหายใจ คนพวกนี้ขี้ขลาดจริงๆ ไม่รู้จักสู้คืนจนตัวเขาไม่มีโอกาสได้ปล้นสิ่งของเลย
“กลับไปบอกผู้อาวุโสของพวกเจ้า ลองเชิงไปก็ไม่มีประโยชน์ ครั้งนี้ข้าจะไม่ถือสา แต่ถ้าครั้งหน้ายังกล้ามาท้าทายอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เตือน”
หลินสวินปราดตามองโดยรอบพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นก่อนจะเดินจากไป เขาทราบอยู่แล้วนี่คือการลองเชิงโดยใช้หลินอิงเจินคนนั้นมาทดสอบตัวเอง
นี่ยืนยันได้ว่าตระกูลหลินสายรองทั้งสี่ทราบถึงการกลับมาของหลินสวินแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะได้ยินข่าวอะไรบางอย่าง ถึงกล้าส่งหลินอิงเจินมาทดสอบเขาเช่นนี้
น่าเสียดายที่หลินสวินไม่ชอบการลองเชิงพรรค์นี้นัก เขากระทั่งคิดว่า การลองเชิงเช่นนี้ยืนยันว่าตระกูลรองทั้งสี่ไม่ได้เห็นเด็กหนุ่มอยู่ในสายตา
ความพ่ายแพ้อย่างน่าอนาถของหลินอิงเจินคือการโจมตีกลับของหลินสวิน ไม่เกรงใจ ทั้งยังรุนแรง เพื่อให้ตระกูลรองทั้งสี่รับรู้ว่าเขาตัดสินใจปกครองภูเขาชำระจิตแล้ว
หลังจากหลินสวินเดินจากไปแล้ว คนกลุ่มนั้นก็กระอักกระอ่วน ไม่มีใครกล้าขวาง กระทั่งรู้สึกโชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ได้หาเรื่องพวกเขา
ภาพเมื่อครู่น่ากลัวนัก ไม่เพียงใช้ดาบเดียวจัดการหลินอิงเจิน ยังปลดเสื้อผ้าของหลินอิงเจินจนเปลือยเปล่าเหลือเพียงกางเกงใน น่าอับอายเกินไปแล้ว
นับจากวันนี้ หลินอิงเจินจะกลายเป็นตัวตลกของตระกูลหลินแห่งธารประจิม หากจะกู้หน้า เช่นนั้นก็ต้องฆ่าหลินสวินทิ้งเสีย
“บัดซบ! บัดซบ!”
หลินอิงเจินตะโกนร้องด้วยความอับอาย ขายหน้าที่สุด วิธีของหลินสวินโหดร้ายกว่าการฆ่าเขาเสียอีก เขาโมโหจนหมดสติไป
คนเหล่านั้นเห็นเช่นนั้นก็รีบกรูกันเข้ามา
…
จัดการหลินอิงเจินที่มาท้าทายเรียบร้อยแล้ว หลินสวินก็เดินลัดเลาะตามถนนของนครต้องห้ามในยามเช้า
เมื่อวานเขามาถึงนครต้องห้ามในตอนย่ำค่ำ ทั้งยังอยู่บนรถม้า ไม่ทันได้เห็นบรรยากาศของนครต้องห้าม ก็เข้าไปในภูเขาชำระจิตเสียแล้ว
แต่วันนี้ เขาเดินเอ้อระเหยมองถนนที่เป็นระเบียบกว้างใหญ่ มีคนพลุกพล่าน และรถรามากมาย คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณ น้อยนักที่จะเห็นคนธรรมดา
ครืน
รถรับส่งสลักวิญญาณลอยไปมาเป็นเสียงโครมคราม เกิดเป็นควันสีม่วงลอยผ่านบนท้องฟ้า
ในนครต้องห้าม นอกจากรถรับส่งสลักวิญญาณแล้ว ห้ามไม่ให้ผู้ฝึกปราณหรือสัตว์ชนิดอื่นเดินทางบนอากาศ ดังนั้นตลอดทางที่หลินสวินเดินมา ก็จะเห็นผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณที่จะสูงส่งเมื่ออยู่ภายนอก แต่ตอนนี้เดินบนดินหรือนั่งรถม้าไม่ต่างจากเขา
กระทั่งแม้แต่ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะก็มีผ่านตาให้เห็น ส่วนผู้ฝึกตนขั้นผสานจิต ขั้นผสานดิน ขั้นผสานฟ้า หรือขั้นอื่นๆ ก็เดินกันพลุกพล่านไปหมด
นอกจากผู้ฝึกปราณแล้ว หลินสวินยังเห็นคนใส่ชุดประหลาด เช่น ภิกษุจากอาณาจักรคชลาภ ผู้ฝึกยุทธ์จากอาณาจักรหมอกเมฆาและจากอาณาจักรอื่นอีกมากมาย
หรือแม้กระทั่งพ่อมดจากจักรวรรดิมืด
หลินสวินหรี่ตา แต่ไม่นานก็ทราบจากบทสนทนาของผู้ฝึกปราณใกล้ๆ ว่าพ่อมดพวกนี้มานครต้องห้ามด้วยฐานะราชทูต ไม่เป็นอันตราย
เขาสอดสายตามองไปรอบๆ นึกอยู่ในใจ นี่คือนครต้องห้ามสินะ
ใจกลางของจักรวรรดิจื่อเย่าเป็นที่ตั้งของตระกูลและอำนาจมากมาย ถือเป็นศูนย์กลางอำนาจของจักรวรรดิ
ศูนย์รวมความรุ่งเรืองและแหล่งรวมอำนาจ