Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 329
ฉือเจ๋อถูกเสี่ยวเคอถีบกระดูกอกแตก จากนั้นก็ถูกหลินสวินตัดมือทั้งสองข้าง ทำให้เขาเจ็บปวดร้องโหยหวนแทบสิ้นสติ เขาสาปแช่งในใจ เกลียดหลินสวินกับเสี่ยวเคอเข้าใส้ สาบานว่าถ้ามีชีวิตรอดไปได้ เขาจะทรมานสองคนนี้ให้ตายทั้งเป็น
หลังจากนั้น เมื่อได้ยินหลินสวินคำพูดของหลินสวิน ฉือเจ๋อเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ความคับแค้นในใจแทนที่ด้วยความหวาดกลัว
ฆ่าผู้ฝึกปราณของตระกูลฉือไปสองพันกว่าคน
ทำลายเรือรบวีรชนม่วงหกลำ
จะเป็นไปได้อย่างไร
แรกเริ่มฉือเจ๋อไม่อยากเชื่อ แต่เมื่อได้ยินว่าแม้แต่ฉือฉางเฟิงลงมือก็ยังทำอะไรหลินสวินไม่ได้ ชายหนุ่มก็กระวนกระวาย เพราะเขาได้ยินมาว่าเมื่อวานฉือฉางเฟิงออกไปจัดการคนหนึ่งข้างนอก ผิดกฎข้อตกลงของตระกูล สุดท้ายถูกผู้ใหญ่ในตระกูลฉือกักบริเวณ
หากหลินสวินพูดความจริง คนที่ฉือฉางเฟิงออกไปจัดการเมื่อวานก็คือเด็กหนุ่มตรงหน้าคนนี้ เพียงคิดถึงตรงนี้ ในใจของฉือเจ๋อก็แทบบ้า ใบหน้าว่างเปล่า สองตาไร้แวว แม้ความเจ็บบนร่างกายก็ลืมเลือนไปจนสิ้น
ไม่แปลกที่เด็กคนนี้จะบ้าบิ่นถึงเพียงนี้ เพราะที่แท้เ…ขาก็เป็นคนโหดเหี้ยมนั่นเอง
เสี่ยวเคอที่ได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไป เด็กหนุ่มคนนี้ก่อเรื่องใหญ่โตอะไรไว้ก่อนเข้ามาในนครต้องห้าม เหตุใดตระกูลฉือจึงต้องส่งคนไปจัดการเขา แล้วเหตุใดสุดท้ายถึงยังปล่อยให้เขาเข้ามาในนครต้องห้าม เหตุใดไม่แก้แค้นต่อไปเล่า
หญิงสาวตระหนักได้ถึงเหตุการณ์ไม่ชอบมาพากลในนั้น
หลินสวินคล้ายมองไม่เห็นถึงท่าทางที่เปลี่ยนไปของฉือเจ๋อ เขายังคงยิ้ม “แน่นอน เจ้าไม่เชื่อก็ได้ แต่ไม่เป็นไร เจ้าแค่ต้องรู้ว่าสำหรับข้าแล้ว ฆ่าเจ้าเป็นเรื่องที่ง่ายดายยิ่งนัก”
ฉือเจ๋อเหม่อลอย อับจนสลดใจ
“แน่นอน ในเมื่อข้าพูดเยอะขนาดนี้แล้ว ก็ไม่ได้คิดจะสังหารเจ้าในตอนนี้หรอก” คำต่อมาทำให้เสี่ยวเคอตกใจ
แม้ฉือเจ๋อก็ยังตัวสะท้าน ด้วยเหมือนก้าวผ่านเส้นความตายมาแล้ว
แต่เขาไม่เชื่อ คิดว่าหลินสวินจงใจขู่เขา จึงตะคอกด้วยเสียงแหบแห้ง “อย่ามาเล่นลิ้น อยากฆ่าก็ฆ่า ก่อนที่ข้าจะฆ่าเจ้า”
เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ ก่อนจะช่วยทำแผลให้ฉือเจ๋อ ท่ามกลางสายตาตกตะลึงของชายหนุ่ม
ท่าทางของหลินสวินคล่องแคล่ว เริ่มจากการห้ามเลือดก่อน แล้วก็นำยาสมานแผลมาถูลงบนบาดแผลรอบหนึ่ง สุดท้ายจึงเริ่มพันแผล
“เจ้า…” ฉือเจ๋องุนงง พูดอะไรไม่ออก
“ไม่ต้องซาบซึ้งหรอก ข้าทำเพราะอยากรักษาชีวิตเจ้าไว้เท่านั้น” หลินสวินยิ้ม “เพราะข้าอยากรู้ว่าตอนที่เจ้ากลับตระกูลฉือไปด้วยฐานะคนพิการแล้ว พวกเขาจะคิดเห็นอย่างไร อ้อ ข้าได้ยินว่าแซ่ของเจ้าได้รับมาจากตระกูลฉือ ตระกูลฉือยกแซ่ให้เจ้าใช้ เช่นนั้นก็ยากแล้วล่ะ หากพวกเขายึดแซ่คืน ก็คงไม่นับเจ้าเป็นคนในตระกูลอีก”
พูดยังไม่ทันจบ ฉือเจ๋อก็คล้ายถูกไม้ตีหัวจนสมองแทบระเบิด เขาเข้าใจแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้ไม่ฆ่าเขาไม่ใช่เพราะจิตใจดี แต่เพื่อทำให้เขาดูน่าอนาถมากกว่า อย่างไรเสียคนพิการก็ไม่มีคุณค่า ถึงแม้ตระกูลฉือจะไม่ยึดแซ่คืน แต่หลังจากนี้เขาจะยังมีหน้ามีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหรือ
เมื่อสูญสิ้นพลังไป เขาก็กลายเป็นคนไร้ค่าโดยสมบูรณ์ อาจถูกผู้คนกดขี่เหยียบย่ำเสียด้วยซ้ำ
ยิ่งคิด ฉือเจ๋อก็ยิ่งกลัว เด็กหนุ่มคนนี้เป็นใครกัน เหตุใดถึงร้ายกาจได้ถึงเพียงนี้ ร้ายกาจยิ่งกว่าพญามารเสียด้วยซ้ำ
แม้แต่พญามารอาจก็ไม่ร้ายกาจเท่าเขา
เสี่ยวเคอได้ฟังมาถึงตรงนี้ ก็อดถามขึ้นมาไม่ได้ “หลินสวิน ทำอย่างนี้ถ้าหาก…”
“ไม่ต้องห่วง หากตระกูลฉืออยากแก้แค้นก็ให้มาลงที่ข้าได้เลย”
หลินสวินยิ้ม คล้ายนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงหันไปบอกฉือเจ๋อ “อ้อ ข้าลืมบอกเจ้าไป ถ้าอยากแก้แค้น ให้ไปหาข้าที่ภูเขาชำระจิต หนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจได้เลย จากนี้ไปข้าเป็นเจ้าของของที่นั่น เจ้าตามหาข้าได้ง่ายๆ เชียวล่ะ”
ภูเขาแห่งอำนาจ
ภูเขาชำระจิต
ฉือเจ๋อหน้าซีดจนอยากตายไปเสียเดี๋ยวนี้ ที่แท้เด็กคนนี้ก็มาจากตระกูลมีอำนาจ
ไม่ใช่
ชายหนุ่มพลันนึกอะไรขึ้นได้ ภูเขาชำระจิตของตระกูลหลินตกต่ำจนอยู่แค่ตระกูลระดับล่างเท่านั้น อาศัยอะไรถึงกล้างัดข้อกับตระกูลฉือได้
“ปัดโธ่ พล่ามมาตั้งเยอะ ที่แท้เจ้าก็แค่โกหกขู่คนอื่น” ฉือเจ่อยิ้มเย็น
หลินสวินหยัดกายลุกยิ้มว่า “โกหกคนอย่างเจ้าไม่สนุกเลยสักนิด เจ้าไปเถิด ภูเขาชำระจิตรอเจ้าพาคนตระกูลฉือมาแก้แค้นเสมอ”
ท่าทางมั่นใจของหลินสวินทำให้ฉือเจ๋อหน้าเปลี่ยนสี สุดท้ายชายหนุ่มก็กัดฟันลุกยืนขึ้น เดินออกไปข้างนอก ก่อนจากไป ไม่วายเหลือบมองหลินสวินกับเสี่ยวเคออย่างคับแค้น
“เขายังมีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่าตระกูลฉือจะแก้แค้นแทนคนพิการ ก็ใช่ คนมีชีวิตอยู่ต้องให้ความหวังตนเอง ไม่เช่นนั้นก็ไม่ต่างอะไรกับตายหรอก” หลินสวินรำพึง
เสี่ยวเคอปรายตามองหลินสวิน “เจ้ายังมีกะจิตกะใจรำพึงรำพันแทนคนอื่นอยู่อีกหรือ”
เด็กหนุ่มถอนหายใจ “ข้าแม้มีหมัดเยอะไม่คัน มีหนี้เยอะไม่เครียด ไม่ว่าอย่างไรกล้าทำร้ายครูฝึกเสี่ยวเคอแล้ว ข้าก็กล้าทำให้มันอยู่ไม่สู้ตาย ต้องชดใช้อย่างสาสม”
นัยน์ตาเสี่ยวเคอจ้องเด็กหนุ่มนิ่งงัน มองใบหน้าเกลี้ยงเกลาที่ไม่ได้พบมานานของอีกฝ่าย ในใจเกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมา แม้เขาจะเปลี่ยนไปมาก แต่โดยรวมก็ถือว่าดูดีไม่หยอก
“ข้าลืมไปเรื่องหนึ่ง น่าจะให้ฉือเจ๋อนั่นทำความสะอาดพื้นก่อนไปด้วย” หลินสวินมองความเละเทะและศพเกลื่อนที่เต็มไปด้วยกลิ่นเลือดคาวคลุ้งในลานบ้าน
“ไม่ต้องหรอก เจ้าคิดว่าฆ่าคนตระกูลฉือของไปมากมายเช่นนี้แล้ว ยังจะปิดบังได้อีกหรือ” เสี่ยวเคอจนใจ หันออกไปข้างนอก “ข้าจะไปเรียนพญาแร้ง เจ้าก็ออกไปจากที่นี่กับข้าเถิด”
“ไปที่ไหนหรือขอรับ” หลินสวินชะงัก
“ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนี้ ยังจะอยู่ในนครต้องห้ามได้อีกหรือ ต้องหนีไปให้ไกลที่สุดสิ” เสี่ยวเคอว่า
หลินสวินเข้าใจในทันที สุดท้ายเสี่ยวเคอก็ยังคงกลัวการแก้แค้นจากตระกูลฉือ
ยามที่อยู่ในค่ายกระหายเลือด ครูฝึกเสี่ยวเคอน่าเกรงขามเพียงใด แต่เมื่ออยู่ในนครต้องห้าม นางกลับต้องเจียมเนื้อเจียมตัวดพราะโดนคนที่ยืมแซ่ฉือมาใช้ตามเกี้ยวให้รำคาญใจ
จนกระทั่งยามนี้ แค่ฆ่าขยะกลุ่มหนึ่งนางถึงกับต้องเลือกหลบหนีออกจากนครต้องห้าม ทำให้หลินสวินรู้สึกไม่ดีเอาเสียเลย ในที่สุดก็เข้าใจว่าตระกูลผู้มีอำนาจคืออะไร มีความหมายอย่างไรกับคนทั่วไป แม้แต่เสี่ยวเคอก็ทำได้เพียงอดทน แล้วคนอื่นเล่า
หากตัดอำนาจของตระกูลฉือ ฉือเจ๋อที่มีความสามารถไม่สู้เสี่ยวเคอนั้นจะกล้าอวดเบ่ง ทำตัวกร่างเช่นนี้ได้อย่างไร
“ครูฝึกเสี่ยวเคอ ข้ามีวิธีทำให้พวกเรายังอาศัยในนครต้องห้ามต่อไปได้” หลินสวินพูดอย่างจริงจัง
เขามองออกว่าเสี่ยวเคอไม่เต็มใจจะจากไป ไม่เช่นนั้นคงไม่ทนให้ฉือเจ๋อมาวุ่นวายมานานกว่าครึ่งปี
ดังคาด เสี่ยวเคอหยุดฝีเท้าหันมามองหลินสวิน “วิธีไหน”
“กลับภูเขาชำระจิตกับข้า”
หลินสวินสูดลมหายใจ ไม่ปิดบัง เล่าเรื่องราวทั้งหมดของตนเองออกไป
“ที่แท้เจ้าก็เป็นผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลหลิน” เมื่อได้ทราบเรื่องราวทั้งหมด เสี่ยวเค่อก็ผงะ
นางเคยได้ยินชื่อตระกูลหลิน แต่ไม่ได้คุ้นเคยนัก คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะมีความสัมพันธ์กับตระกูลแห่งอำนาจเช่นนี้
เด็กหนุ่มยิ้มบาง “ข้าก็เพิ่งรู้เมื่อวานนี้เอง”
ประโยคง่ายๆ นั้นเต็มไปด้วยความอารมณ์สับสน หากไม่ใช่คนที่อยู่ในเหตุการณ์เดียวกันเด็กหนุ่ม คงไม่มีทางเข้าใจความขมขื่นที่ต้องประสได้เลย
“เช่นนั้นเจ้ามาหาข้าครั้งนี้ เพราะอยากให้ข้าช่วยเจ้าใช่หรือไม่” เสี่ยวเคอจ้องหลินสวิน
“ช่วยไม่ได้ ข้าเพิ่งมาที่นี่ตัวคนเดียว จะสู้รบกับผู้เฒ่าพวกคงไม่ไหวแน่” หลินสวินจนใจ
เขาสูดลมหายใจลึก สายตามุ่งมั่น “ดังนั้นข้าจำต้องใช้ทุกวิทาง ไม่เช่นนั้นอย่าว่าแต่ภูเขาชำระจิตเลย แม้แต่ชีวิตข้าคงรักษาไว้ไม่ได้”
เสี่ยวเคอเงียบไปนาน ก่อนจะจ้องมองหลินสวินด้วยแววตาตาใส “ผิดใจกับตระกูลฉือ ข้ายังพอหนีเอาชีวิตรอดได้ แต่หากข้ากระโดดลงหลุมไปกับเจ้า ข้าอาจจะตายไปเลยก็ได้”
หลินสวินยิ้มขื่น “ย่อมเป็นเช่นนั้นจริง”
เด็กหนุ่มเริ่มตระหนักถึงปัญหาอีกข้อ การเชิญครูฝึกเสี่ยวเคอกลับไปภูเขาชำระจิตนั้นช่างเห็นแก่ตัวนัก เพราะหากยืนอยู่ข้างเขา อันตรายที่ขวางหน้าหนักหนายิ่งกว่าการสังหารฉือเจ๋อเป็นพันเท่า
“เจ้าตามข้ามา” เสี่ยวเคอไม่ได้รีบปฏิเสธ แต่พาหลินสวินเดินออกจากเรือนพญาแร้ง ลัดเลาะตามถนนมาเป็นเวลากว่าหนึ่งจอกชา จนกระทั่งหยุดลงที่หน้าเรือนห่างไกลแห่งหนึ่ง
ตัวเรือนเงียบสงัด ตรงกลางมีต้นไม้เก่าแก่หนาแน่น
ใต้ต้นไม้มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่บนรถเข็น อุ้มแมวสีขาวตัวใหญ่ไว้ในอก
ชายวัยกลางคนมีผมขาวยาวเหยียด ใบหน้าซีดขาวแสดงถึงอาการป่วยคล้ายเป็นโรครุนแรง ทำให้คนมองรู้สึกได้ถึงความอ่อนแอ กระนั้นท่าทางของเขาก็ยังคงสงบนิ่ง ดวงตาคู่นั้นราบเรียบคล้ายมองทะลุโลกสัจธรรม
หากไม่ได้นั่งอยู่บนรถเข็น และไม่ได้มีใบหน้าขาวซีดเช่นนั้น หลินสวินคงจะคิดว่าเขาเป็นยอดฝีมือที่ซ่อนตัวจากโลกภายนอก
“เสี่ยวเคอ เจ้ามาแล้ว” ชายวัยกลางคนก็ยิ้มอ่อนโยนเมื่อเห็นเสี่ยวเคอเปิดประตูเข้ามา เสียงทุ้มดุจกลองยามโพล้เพล้ของเขาช่างมีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์นัก
เพียงแต่เมื่อมองเห็นหลินสวิน ชายวัยกลางคนก็ชะงักไป แล้วเลิกคิ้วถาม “ทั่วร่างเด็กคนนี้มีไอสังหาร เสื้อผ้ามีรอยเลือด หรือเมื่อครู่เพิ่งจะฆ่าคนมา”
พลันเขาก็ตระหนักได้ถึงบางอย่าง สายตาหนักแน่นนั้นย้ายไปมองเสี่ยวเคอ ก่อนจะรำพึง “ถ้าข้าเดาไม่ผิด เจ้าฉีกหน้าฉือเจ๋อผู้นั้นแล้วสินะ”
หลินสวินตกใจ ความสามารถในการมองเหตุการณ์ของชายวันกลางสุดยอดยิ่งนัก เพียงปรายตาปราดเดียวก็เดาเรื่องราวได้มากมาย หากไม่ได้มีสติปัญญาล้ำเลิศคงไม่มีทางทำเช่นนี้ได้
หลินสวินไม่กล้าดูแคลน แม้ชายกลางคนจะเจ็บป่วยออดแอดไม่มีเรี่ยวแรง แต่ย่อมเป็นยอดฝีมือคนหนึ่ง