Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 339
ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร หลินสวินจึงฟื้นจากสมาธิ
ฟู่~ เขาพ่นลมหายใจออกมา ลมหายใจแปรเปลี่ยนเป็นสายพลังปราณราวน้ำพุ พวยพุ่งออกมาราวมีดคม ส่งเสียงเสียงฉึบฉับฉีกแยกห้วงอากาศออกจากกัน!
จบลงด้วยเสียงปังดังขึ้นกระทบกำแพงที่ห่างออกไปสิบจั้ง เกิดเป็นคลื่นสะเทือน
พลังในกายปะทุขึ้นฉับพลัน ระเบิดออกราวคมมีด!
นี่เป็นลางบอกว่ากำลังจะก้าวเข้าสู่ขั้นผสานฟ้าแล้ว
หลินสวินพลันตะลึงงัน ตนยังไม่เชื่อเลยว่าเพียงสกัดรากโสมหิมะหยกเพียงเส้นเดียว ก็ถึงกับทำให้พลังปราณของตนเพิ่มขึ้นฉับพลัน สุดขีดพลังขั้นผสานดิน พร้อมบรรลุขั้นต่อไปได้ทุกเมื่อ
หลินสวินยังคงไม่เชื่อ จึงตั้งจิตจดจ่อทำความเข้าใจ ก่อนพบว่าพลังปราณไพศาลดังท้องสมุทรกว้างใหญ่ซัดสาดถาโถม ลมหายใจที่เอ่อล้นออกมาเผยให้เห็นกลิ่นอายไร้ขอบเขตนิ่งสงัด บริสุทธิ์ หนักอึ้งหาใดเทียบ
พลังปราณที่เดิมเวิ้งว้างราวฟ้าโปร่งเปล่งแสง แปรสภาพรวมเข้าเป็นหยกเขียวเรียบง่าย โปร่งใสไร้ตำหนิ!
ขั้นผสานดิน เป็นกระบวนการ ‘รับพลังจากผืนดิน’ ของการฝึกปราณ สิ่งที่สัมผัสได้คืออานุภาพแห่งดิน ที่ผสานไว้คือพลังของดิน ใช้ผืนดินเป็นภาชนะรองรับ ดังจอกแหนหยั่งราก ไม่อาจไหลไปตามคลื่นน้ำอีก
เค้าลางที่เกิดขึ้นในกายทั้งหมดขณะนี้ ล้วนแสดงให้เห็นว่าหลินสวินอยู่ในขั้นสูงสุดของปราณขั้นผสานดินแล้ว
ได้แล้วจริงๆ…
หลินสวินเหม่อเล็กน้อย จิตใจสั่นไหวด้วยฤทธิ์ยามหาศาลที่กักเก็บอยู่ในโสมหิมะหยก เพียงรากเส้นเดียวก็มีพลังน่ากลัวเช่นนี้แล้ว ถ้ากลืนลงไปหมดคง…
หลินสวินพลันส่ายหัว แค่สกัดพลังที่กักเก็บไว้ในรากเส้นนี้ ร่างกายของเขาก็แทบรับไม่ไหว ถ้ากล้ากลืนโสมหิมะหยกลงไปทั้งต้น ผลออกมาคงร่างระเบิดตายแน่นอน!
“ดีล่ะ แก่นพลังยังคงเสถียร แม้เพิ่มขั้นพลังปราณเร็วเกินไป พลังในร่างก็เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน…”
หลินสวินสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงของพลังตนเองโดยละเอียด กลั้นยิ้มพึงพอใจไว้ไม่อยู่ ก่อนหน้านี้ตอนบรรลุขั้นผสานดิน ตนก็สังหารเหล่าผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าตระกูลฉือได้ราบคาบแล้ว
ทว่าตอนนี้ ตนได้ครอบครองพลังปราณขั้นผสานดินเต็มขั้น ยามต่อสู้จะเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเพียงใดกัน
หลินสวินนึกถึง ‘ดรุณจ้าวกระบี่’ เซี่ยอวี้ถังขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ คิดถึงภาพที่เซี่ยอวี้ถังใช้กระบี่กดคอของตนไว้
นึกถึงเด็กหนุ่มตระกูลฉือ ฉือฉางเฟิงผู้มีเส้นปราณดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง คิดถึงภาพที่ฉือฉางเฟิงกระโจนขึ้นกลางอากาศหมายจะตัดหัวตน
ฉับพลัน จิตใจหลินสวินเกิดความปิติ
ยังไม่พอ!
บางทีในระดับจิตผสานวิญญาณตนคงหาคู่ต่อสู้แทบไม่ได้แล้ว แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับระดับมหาสมุทรวิญญาณ คงห่างชั้นไม่เห็นฝุ่น
ชั่วพริบตา จิตวิญญาณต่อสู้แน่วแน่แผดเผาภายในใจหลินสวิน คนดำรงชีวิตด้วยลมหายใจฉันใด พระก็ธำรงอยู่ด้วยเปลวธูปฉันนั้น การฝึกปราณก็เป็นเช่นนี้มิใช่หรือ
สู้กับฟ้า สู้กับดิน สู้กับคน สู้กับตน!
ถ้าไม่สู้ พลังปราณและจิตใจจะสูญเสียแรงผลักดันไปข้างหน้า ไม่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ใดๆ จากการฝึกปราณเป็นแน่
‘สักวันหนึ่ง พวกเจ้าก็จะได้ลิ้มรสชาติของการถูกข้าเอาชนะ’
หลินสวินหายใจเฮือกใหญ่ ดวงตาสีดำกระจ่างลุ่มลึกเต็มไปด้วยความแน่วแน่
นี่เป็นการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณและจิตใจระหว่างการฝึกปราณ ความคิด ความตั้งใจ ความทรงจำ ความยากลำบาก ล้วนมีอิทธิพลทั้งสิ้น
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในจิตใจอัศจรรย์เกินบรรยายอย่างไม่ต้องสงสัย
หืม? หลินสวินแลไปโดยไม่ได้ตั้งใจ พลันเห็นเพดานเหนือตรงที่ตนนั่งอยู่เปล่งแสงวิญญาณสีดำลึกลับกลมเกลี้ยงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
มันดูเหมือนรูปภาพที่แสงวิญญาณวาดขึ้น ในภาพมีลวดลายประหลาดเกี่ยวกระหวัดลอยนิ่งอยู่ แลดูอัศจรรย์ถึงที่สุด
จิตใจหลินสวินพลันถูกสะกดไว้ เขามั่นใจว่าตอนเข้ามาในห้องฝึกปราณลับไม่มีแสงวิญญาณปานภาพวาดนี้อยู่แน่นอน
จึงกล่าวได้ว่า ภาพประหลาดนี้ปรากฏขึ้นอย่างเงียบเชียบตอนเขาจดจ่อกับการฝึกปราณ!
หลินสวินลุกจากเบาะรองนั่ง ขมวดคิ้วครุ่นคิด ที่นี่เป็นเขตฝึกปราณหวงห้ามซึ่งผู้นำตระกูลหลินเท่านั้นถึงเข้ามาได้ ทว่าสถานที่ที่อัศจรรย์แห่งนี้กลับมีเพียงเบาะรองนั่งใบเดียว แลดูชอบกลนัก
ยิ่งกว่านั้นหากคำนึงถึงข้อเท็จจริงว่าตระกูลหลินในตอนนั้นที่มีอำนาจเป็นถึงผู้มีอิทธิพลชั้นสูง มีหรือจะไม่สามารถสร้างที่ฝึกที่สมเกียรติสวยงามราวหุบเขาเซียนได้ ขณะนี้แสงวิญญาณสีดำกลมเกลี้ยงที่ไม่รู้ปรากฏขึ้นบนเพดานเมื่อใดได้พิสูจน์อย่างไร้ข้อกังขาแล้วว่า ห้องฝึกปราณลับนี้ต้องซ่อนปริศนาที่ตนไม่ล่วงรู้เอาไว้แน่!
พิจารณาอยู่พักใหญ่ หลินสวินก็ตกลงใจได้ เงาร่างกระโจนขึ้นกลางอากาศ ยื่นมือขึ้นไปคว้าแสงวิญญาณสีดำกลมเกลี้ยงนั้น
เพียงแต่หลินสวินยังไม่ทันเข้าใกล้ แสงวิญญาณสีดำนั้นราวหวาดหวั่น หายวับไปไร้ร่อยรอย
หืม? ทว่าหลินสวินสังเกตเห็น ยามแสงวิญญาณสีดำนั้นหายไป พลันมีเงาดำเรียวเล็กทอดต่ำลงมา
หลินสวินยื่นมือไปจับไว้โดยไม่ทันยั้งคิด ก่อนที่ร่างของเขาจะพลิ้วลงสู่พื้นอย่างแผ่วเบา
ช่วยไม่ได้ เพราะยังไม่ได้เลื่อนเป็นระดับมหาสมุทรวิญญาณ จึงทำได้เพียงเคลื่อนไหวขึ้นกลางอากาศ แต่ไม่มีทางลอยตัวค้างไว้ได้
เมื่อแบมือออก ก็พบแหวนสีดำกลางฝ่ามือ มันช่างแสนธรรมดา เหมือนเหล็กดำหลอมเป็นห่วง สีดำสนิทตลอดวง ถือไว้ในมือก็เบาหวิวไม่มีน้ำหนัก ที่หลินสวินผิดหวังที่สุดคือ แหวนวงนี้ไม่ได้เป็นสมบัติมีค่า ไร้ซึ่งไอวิญญาณ
หลินสวินเงยหหน้าขึ้น ลองมองไปยังเพดานอีกครั้ง กลับพบว่าว่างเปล่าไม่มีสิ่งใด แสงวิญญาณสีดำกลมที่ฉายขึ้นเมื่อครู่ราวกลับสลายหายไปจากโลก ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลย
“แปลก…”
หลินสวินเล่นแหวนที่อยู่ในมือ พลางเดินออกจากห้องฝึกลับ
ใครจะคาดคิด เพิ่งเดินออกมาจากประตูสำริดก็พบหลินจงรออยู่ตรงนั้นก่อนแล้ว หลินสวินอดตกใจไม่ได้ “ลุงจง มาหาข้าด้วยเรื่องใดหรือ”
หลินจงกำลังจะเอ่ยปาก แต่เมื่อตาสบเข้ากับแหวนสีดำที่อยู่ในมือหลินสวินก็เบิกตาโต แสดงสีหน้าตื่นเต้นยากกลบเกลื่อน
เขาพูดเสียงสั่นเครือ “แหวนบรรพชน! มัน…มันไม่ได้ถูกชิงไปตอนนั้น แต่ถูกนายท่านใหญ่นำมาซ่อนไว้ที่นี่ดังคาด!”
น้ำเสียงยินดียากจะปิดบัง ปนเปกับเสียงสะอื้นไห้และน้ำตา
เป็นที่แน่ชัดว่า เจ้า ‘แหวนบรรพชน’ นี้ต้องมีความหมายพิเศษยิ่งต่อหลินจง ยังผลให้เขาพลันกลั้นความรู้สึกไว้ไม่อยู่
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็เริ่มเข้าใจ แหวนที่ดูภายนอกธรรมดาไร้ซึ่งไอวิญญาณ คงเป็นสิ่งที่บรรพชนตระกูลหลินสืบทอดกันมา และคงมีความลับที่คนนอกไม่มีทางล่วงรู้ได้
เมื่อหลินจงหายตื่นเต้น หลินสวินจึงเอ่ยขึ้นว่า “ลุงจง เล่าเรื่องแหวนนี้ให้ข้าฟังเถิด”
“นายน้อย ท่านไม่รู้อะไร แหวนนี้มีนามว่า ‘ประสานมายา’ เป็นสมบัติที่ตกทอดมาจากต้นตระกูลหลิน มีเพียงผู้สืบทอดสายตรงของตระกูลหลินเท่านั้นที่มีคุณสมบัติครอบครองได้ คนตระกูลสาขาสายอื่น รวมทั้งคนนอก ไม่สามารถครอบครองสิ่งนี้ได้ขอรับ เพราะแหวนนี้พิเศษนัก มีแต่เส้นปราณของผู้สืบทอดสายตรงแห่งตระกูลหลินเท่านั้นที่จะปลุกมันขึ้นมา และทำให้มันอยู่ใต้อาณัติได้!”
น้ำเสียงของหลินจงแซมไว้ด้วยความระลึกถึง บอกเล่าความเป็นมาของแหวนประสานมายานี้
“หลายปีนี้ที่บ่าวคุ้มครองภูเขาชำระจิต ที่ปกป้องจริงๆ นั้นคือเขตฝึกปราณหวงห้ามชั้นสามของตำหนักชำระจิตขอรับ เพราะบ่าวทราบดีว่าต่อให้พวกนายท่านใหญ่ล้วนประสบเภทภัยและจากไปแล้ว แต่แหวนประสานมายานี้ไม่มีทางสูญหายได้ขอรับ”
แหวนประสานมายา ของตกทอดจากต้นตระกูลหลิน!
เพียงผู้สืบทอดสายตรงเท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติครอบครอง!
เมื่อรู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว จิตใจหลินสวินอดสั่นสะท้านไม่ได้ เดิมทีเขาเดาว่าสิ่งนี้ต้องมีที่มาไม่ธรรมดา แต่ไม่คิดว่าจะเป็นของของต้นตระกูลหลิน
“นายน้อย เมื่อได้มันมา คุณสมบัติผู้สืบทอดตระกูลหลินของท่านก็เท่ากับได้รับการยอมรับจากบรรพชนตระกูลหลินของเราแล้ว! ภายหน้าใครก็ไม่อาจพูดจาเหลวไหลเรื่องฐานะของท่านได้อีกขอรับ”
ดวงตาหลินจงมองหลินสวินอย่างตื้นตัน
“ที่แท้ก็เอาไว้รับรองฐานะ”
หลินสวินคิดถึงตรงนี้ ความตื่นเต้นในใจก็เบาบางลงไม่น้อย ได้มาแล้วอย่างไรเล่า คนจากสายตระกูลสาขาทั้งสี่คงไม่ยอมก้มหัวอ่อนข้อให้ตนโดยง่ายเพียงเพราะสถานะหรอก
“นายน้อย ท่านเข้าใจผิดแล้วขอรับ”
หลินจงกล่าวหนักแน่น “กล่าวอย่างเคร่งครัดแล้ว แหวนนี้เป็นแก่นแท้ที่ทำให้ตระกูลหลินของเราดำรงอยู่ในใต้หล้าถึงทุกวันนี้”
หลินสวินแข็งทื่อไปทั้งตัว ถามพลางเปลี่ยนสีหน้าว่า “หมายความว่าอย่างไร”
หลินจงหายใจเฮือกใหญ่ พูดชัดถ้อยชัดคำ “เพราะต้องอาศัยพลังจากแหวนนี้ ถึงครอบครองตำราสูงสุดของตระกูลหลินของเรา ‘คัมภีร์ประสานมายา’ ได้ขอรับ ตำรานี้ก็มีเพียงผู้นำตระกูลหลินเท่านั้นถึงมีคุณสมบัติได้ฝึกปราณวิชาลับที่สืบต่อกันมา!”
หลินสวินตกตะลึงพึงเพริด จิตใจไหวกระเพื่อม ที่แท้แหวนนี้ซ่อนความลับโลกตะลึงเช่นนี้นี่เอง หากไม่ได้หลินจงเตือนไว้ ตนคงไม่ได้รับรู้เรื่องนี้ไปตลอดชีวิต
“นายน้อย เมื่อห้าร้อยปีก่อนตระกูลหลินของเราเป็นหนึ่งในแปดตระกูลผู้ทรงอิทธิพลชั้นสูง ที่สามารถเทียบเคียงอีกเจ็ดตระกูลผู้มีอิทธิพลชั้นสูงได้ ก็เป็นเพราะคัมภีร์ประสานมายานี่ล่ะขอรับ!”
หลินจงพูดถึงตรงนี้ก็อดถอนใจไม่ได้ “ทว่าน่าเสียดาย นายท่านผู้นำตระกูลทุ่มเทพลังทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถไขปริศนาที่แท้จริงของคัมภีร์ประสานมายาได้ การฝึกปราณจึงติดอยู่ที่ระดับกระบวนแปรจุติมาโดยตลอด ไม่สามารถกลายเป็นราชันระดับสังสารวัฏได้อย่างแท้จริง”
“เดิมทีพลังโดยกำเนิดของนายท่านนั้นโดดเด่นเหนือใคร ฌานสัมผัสล้ำเลิศ เป็นผู้ที่มีความหวังที่สุดว่าจะสำเร็จคัมภีร์ประสานมายา แต่มาสิ้นไปจากเหตุนองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว…”
หลินจงพูดเสียงอ่อน สีหน้าเจื่อนเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
หลินสวินเพิ่งตระหนักว่า ที่แท้สิ่งที่ตนมารับช่วงต่อไม่ใช่ภูเขาชำระจิตที่ว่างเปล่าราวเปลือกหอยกลวง แต่ยังมีสมบัติชิ้นใหญ่ที่สุดที่ต้นตระกูลทิ้งไว้ให้ นั่นคือ ‘คัมภีร์ประสานมายา’!
“ลุงจง จะปลุกพลังในแหวนประสานมายาได้อย่างไรหรือ เหตุใดข้าสัมผัสความพิเศษไม่ได้เลยสักนิด”
หลินสวินพลันเอ่ยถาม
“นายน้อย ข้าเคยได้ยินนายท่านหัวหน้าตระกูลกล่าวไว้ มีเพียงก้าวเข้าสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้นถึงจะไขปริศนาที่ซ่อนไว้ในแหวนประสานมายานี้ได้” หลินจงอธิบายเสียงแผ่ว
“อย่างนี้นี่เอง”
หลินสวินเข้าใจได้ในทันใด คิดครู่หนึ่งก็เก็บแหวนประสานมายาอย่างระมัดระวัง นี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่สุดของตระกูล ภายหน้าเมื่อตนเลื่อนขั้นถึงระดับมหาสมุทรวิญญาณ ก็มีโอกาสได้เห็นความลับของคัมภีร์ประสานมายาแล้ว!
เวลานี้หลินจงราวนึกอะไรขึ้นได้ พลางตบหน้าผากแล้วพูดว่า “นายน้อย บ่าวตื่นเต้นเกินเหตุเลยลืมเรื่องหนึ่งไปเสียสนิทเลย”
หลินสวินอึ้งไป “เรื่องอะไรหรือ”
หลินจงแสดงสีหน้าหนักใจ “สายตระกูลสาขาแห่งตระกูลหลินของเราจะส่งตัวแทนมาสายละหนึ่งคน วันนี้ยามเที่ยงจะมาเยี่ยมท่านขอรับ”
หลินสวินเลิกคิ้ว แล้วยิ้มเย็น “ข้าเพิ่งกลับมาถึงเขาชำระจิตได้สองวันเท่านั้น พวกเขาก็นั่งไม่ติดกันแล้วหรือนี่”