Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 347
ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ล้วนสามารถได้ยินบทสนทนาระหว่างหลินสวินและพญาแร้งได้อย่างชัดเจนถนัดหู
แต่ไม่ว่าจะเป็นชื่อเซวี่ยที่ดื่มอยู่หรือหยางหลิงที่หลับปุ๋ยอยู่ รวมทั้งผู้เฒ่าเตียวที่นั่งสมาธิอยู่ ต่างนิ่งเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ท่าทีดูไม่แยแส แสดงให้เห็นชัดถึงความเย่อหยิ่ง เพราะอย่างไรที่นี่ก็คือภูเขาชำระจิตที่มีหลินสวินเป็นเจ้าถิ่น
แต่พวกเขายังเลือกที่จะแสดงออกว่า ‘ไม่เห็นอะไรในสายตาแบบนี้’ พูดได้คำเดียวว่าพวกเขาจงใจ!
จงใจสร้างบททดสอบให้หลินสวินชัดๆ!
ถ้าได้รับความเลื่อมใสจากพวกเขา พวกเขาย่อมเต็มใจอยู่ต่อ แต่ถ้าไม่ แม้พญาแร้งออกโรงก็รั้งพวกเขาไม่อยู่
หลินจงและเสี่ยวเคอเองก็ตระหนักได้ถึงเรื่องนี้ ในขณะที่หลินจงดูกังวล แต่เสี่ยวเคอกลับทำทีกอดอกรอชมเรื่องสนุก
มีเพียงหลินสวินที่ยิ้มอย่างเบิกบาน เขาเงยหน้าขึ้นมองบนยอดภูเขาแล้วพูดเสียงกังวาน “จูเหล่าซาน เรื่องนี้ฝากเจ้าด้วย ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด ข้าต้องการแค่ให้พวกเขาอยู่ต่อด้วยความเลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง”
หลินสวินจงใจเน้นเสียงคำว่า ‘เลื่อมใสอย่างสุดซึ้ง’
จูเหล่าซานอย่างนั้นหรือ
เสี่ยวเคอและพญาแร้งอึ้งงันไปตามๆ กัน จากนั้นสายตาพลันดูแปลกประหลาดขึ้นมา เมื่อหลายวันก่อนตอนที่พวกเขากลับมาภูเขาชำระจิต ก็ได้รับรู้ที่มาของจูเหล่าซาน
เพียงแต่ไม่คิดว่าหลินสวินจะโยนปัญหานี้ให้จูเหล่าซานดื้อๆ!
ส่วนหลินจงตัวแข็งค้างไปทันที ในขณะเดียวกันก็หมดห่วงหลินสวิน แต่เปลี่ยนมากังวลแทนชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวแทน
ในลาน นอกจากหลินสวินมีเพียงหลิงจงที่เคยเห็นความน่ากลัวของจูเหล่าซานกับตาของตัวเอง เพราะฉะนั้นเขาย่อมรู้ดีว่าวิธีแก้ไขปัญหาของจูเหล่าซานมีเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ…เปิดศึก!
โครม!
หลินสวินพูดยังไม่ทันจบประโยค ชายร่างกำยำดุจภูผา ผมเผ้ายุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบก็ปรากฏขึ้นบนลานแสดงยุทธ์
ไอสังหารกระหายเลือดอันน่าสยดสยองแพร่กระจายจากตัวของจูเหล่าซาน จนบรรยายรอบข้างทรุดตัวลงราวกับจะพังทลายลงในไม่ช้า
ณ พื้นที่แห่งนี้กลายเป็นเหมือนทะเลแห่งซากศพโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ส่วนจูเหล่าซานก็ราวกับเทพผู้มีหน้าที่สังหารเพื่อสังเวยชีวิตพิชิตโลก
เก่งกาจเหลือเกิน!
เสี่ยวเคอและพญาแร้งหรี่ตาลงโดยพร้อมเพรียงกัน
และในบริเวณที่ไกลออกไป ชื่อเซวี่ยที่ดื่มเหล้าอยู่พลันตัวสั่นระริก สำลักเหล้าจนไอเสียงดังลั่น
ในขณะที่หยางหลิงที่หลับปุ๋ยอยู่ก็ตกใจจนลุกพรึ่บขึ้น
มีเพียงผู้เฒ่าเตียวที่นั่งสมาธิอยู่ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ใบหน้าอันเหี้ยมโหดที่เต็มไปด้วยรอยมีดขมึงทึง
ทันใดนั้นสายตาของทั้งสามพลันเคลื่อนไปมองจูเหล่าซานเป็นตาเดียวกัน ไม่สามารถวางมาดไม่เห็นอะไรในสายตาเหมือนเมื่อครู่นี้ได้อีก
“พวกเจ้าจะก้มหัวเอง หรือจะให้ข้ากดหัวพวกเจ้าลง?” จูเหล่าซานแค่นเสียงในลำคอ ใบหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก
ผมเผ้าของเขายุ่งเหยิง ร่างกำยำแข็งแกร่งหาที่เปรียบไม่ได้ ผิวสีน้ำตาลทั้งร่างราวกับก้อนอิฐอันแข็งแรงยิ่งพาให้รู้สึกกดดัน
ทั้งชื่อเซวี่ย หยางหลิง และผู้เฒ่าเตียวต่างตะลึงจนทำหน้าไม่ถูก ราวกับไม่เคยคิดว่าหลินสวินจะใช้วิธีอัน ‘รุนแรงเรียบง่าย’ ขนาดนี้มาทำให้พวกเขายอมรับ
แบบนี้ต่างอะไรกับการโกง!
แต่กลับเห็นว่าหลินสวินไม่มีท่าทีว่าอึดอัดใจเลยสักนิด เพียงถอยไปอยู่ห่างๆ แล้วมองทุกอย่างด้วยความตื่นเต้นราวกับไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น
ฮูม!
เห็นพวกชื่อเซวี่ยเงียบไป ไอสังหารพลันพรวดพราดออกจากตัวจูเหล่าซานประหนึ่งน้ำทะลัก ราวกับพายุกระหน่ำ ท้องฟ้า พื้นดินแปรปรวนฉับพลัน
สีหน้าของชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวพลันเปลี่ยนไป ในที่สุดก็ยอมปริปาก
“ช้าก่อน!”
“สหาย เรื่องนี้คงไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าใช่หรือไม่!”
“นี่คือวิธีต้อนรับแขกของภูเขาชำระจิตอย่างนั้นหรือ”
ไอสังหารที่แพร่กระจายอยู่รอบตัวจูเหล่าซานน่ากลัวมาก ทำเอาพวกเขาอกสั่นขวัญแขวน รู้ดีแก่ใจว่าหากลงมือ พวกเขาคงแหลกละเอียดคามือจูเหล่าซาน
“จะยอมหรือไม่ยอม เลือกมา” จูเหล่าซานเอ่ยเสียงเรียบ
สีหน้าของพวกเขาดูแย่มาก ต่างหันมองหลินสวินและพญาแร้งที่อยู่ถัดออกไปเป็นตาเดียวกัน
“จูเหล่าซาน ช้าก่อน” หลินสวินเอ่ยขึ้น ทำให้สีหน้าของพวกเขาพลันดูดีขึ้นไม่น้อย
หลินสวินหันขวับไปมองพญาแร้งอย่างผิดหวังพลางพูดว่า “พญาแร้งเนี่ยหรือยอดฝีมือที่ท่านเชิญมา? ข้าว่าก็เท่านั้นแหละ”
ไม่รอให้พญาแร้งได้ท้วงกลับ ชื่อเซวี่ยก็ชิงเย้ยหยันขึ้นก่อน “เด็กน้อย เจ้าจะไปรู้อะไร ความสามารถของเราใช่สิ่งที่เจ้าจะมาวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือ”
หลินสวินเลิกคิ้ว ในขณะที่ยิ้มพูด “เช่นนั้น…ให้จูเหล่าซานลงมือต่อเพื่อประเมินตัวเองดีหรือไม่”
สีหน้าของชื่อเซวี่ยแข็งทื่อไปทันตาเห็น รีบกล่าวอย่างลนลาน “เจ้า เจ้า…บังอาจมาขู่พวกเราอย่างนั้นหรือ”
อีกด้าน หยางหลิงพูดกับพญาแร้งด้วยน้ำเสียงที่ดูผิดหวังมากโข “คนแบบนี้เนี่ยนะที่จะให้พวกเราทำงานให้”
“สักแต่ใช้กำลังกดขี่กัน เด็กนี่ไม่มีความจริงใจเลย” ผู้เฒ่าเตียวเองก็พูดเสียงขรึม
พญาแร้งเพียงระบายยิ้มโดยไม่ได้พูดอะไร เขาอยากรู้ว่าหลินสวินจะคลี่คลายสถานการณ์นี้อย่างไร
“ก่อนหน้านี้ข้าสุภาพด้วย พวกท่านกลับไม่คิดสนใจข้า ขณะนี้พอข้าหมายจะให้จูเหล่าซานออกโรง เพื่อแลกกับความเลื่อมใสยอมรับจากพวกท่าน พวกท่านก็กล่าวหาว่าข้าไม่จริงใจ”
หลินสวินทำทีถอนหายใจอย่างจนปัญญา “ท่านทั้งสามช่างเอาใจยากนัก”
ชื่อเซวี่ยแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ “อยากให้พวกเราช่วย ก็ต้องทำให้พวกเรายอมรับให้ได้ก่อน ไม่ใช่ใช้ความรุนแรงกดขี่ ถ้ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ข้าไม่มีทางยอมมาที่นี่กับพญาแร้งแน่”
หลินสวินยิ้มพูด “ถ้าเป็นเช่นนั้นข้าก็พอจะเข้าใจแล้ว หากท่านพูดให้กระจ่างแต่แรกคงไม่เกิดเรื่องเข้าใจผิดเช่นนี้”
สีหน้าของทั้งสามแข็งทื่อ พูดอะไรไม่ออก
หลินจงที่ยืนอยู่ห่างออกไปยิ้มออกทันที นายน้อยไม่เคยเดินตามหมากที่วางไว้ และวิธีนี้ก็ได้ผลอย่างไม่ต้องสงสัย
เสี่ยวเคอเม้มปากอย่างนึกขำ หากก็กลั้นเอาไว้
ขณะนั้นเองพญาแร้งกลับพูดขึ้นว่า “ในเมื่อเมื่อครู่นี้เป็นเรื่องเข้าใจผิด เช่นนั้นเราเข้าเรื่องได้หรือยัง”
“ช้าก่อน!”
ชื่อเซวี่ยกลับปฏิเสธแล้วพูดอย่างหยิ่งผยอง “อยากเข้าเรื่องก็ได้ แต่เจ้าหนุ่มคนนี้ต้องทำให้ข้ายอมรับและเลื่อมใสให้ได้เสียก่อน!”
รอยยิ้มตรงมุมปากของหลินสวินเปลี่ยนเป็นเย็นชา หันสายตาไปที่หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียว “พวกท่านก็คิดเช่นเดียวกันหรือ”
ทั้งสองพยักหน้า
หลินสวินไฟสุมอกอย่างควบคุมไม่อยู่ เจ้าสามคนนี้ช่างดื้อรั้น!
“ชื่อเซวี่ย พวกเจ้า…”
พญาแร้งเองก็ไม่พอใจ พลันมุ่นคิ้วพูด แต่พูดยังไม่ทันจบ หลินสวินกลับตัดบทไปเสียก่อน “ไม่เป็นไร ข้าเองก็อยากรู้ว่าต้องทำอย่างไร ถึงจะได้รับความเลื่อมใสจากพวกเขา”
เขาตัดสินใจแล้วว่าหากทั้งสามเจตนาสร้างความลำบากใจให้เขา ก็จะไล่พวกเขาออกไปเสีย!
เด็กหนุ่มต้องการหาผู้มีฝีมือมารับใช้ ไม่ใช่เอามาให้นอบน้อมถ่อมตนปรนนิบัติ!
“ท่าทีของพวกเราอาจจะไม่เหมาะสมนัก แต่เหตุผลที่เราต้องทำเช่นนี้ เพราะเราไม่ต้องการสูญเสียอุดมการณ์เดิมของตัวเอง ข้าคิดว่าเจ้าเองคงไม่อยากได้คนที่ไม่มีอุดมการณ์ใช่หรือไม่”
ชื่อเซวี่ยเหมือนจะตระหนักได้ว่า วิธีที่ใช้เมื่อครู่นี้เห็นทีจะแข็งข้อเกินไป น้ำเสียงจึงอ่อนโยนขึ้นไม่น้อย
“มีเงื่อนไขอันใดว่ามา” หลินสวินถามตรงๆ
ท่าทางนักเลงของชื่อเซวี่ยในยามนี้ดูเคร่งขรึมขึ้นมาอย่างที่น้อยครั้งจะได้เห็น ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามขึ้นมาทันที
“ข้าเป็นผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบ ทั้งยังเป็นนักหลอมยา ข้าขอเพียงอย่างเดียว หากเจ้ามีโอสถวิญญาณให้ข้าอย่างสม่ำเสมอ สนองความต้องการในการหลอมยาของข้าในทุกด้าน ข้าก็สามารถรับปากอยู่รับใช้เจ้าที่นี่ได้!”
ชื่อเซวี่ยพูดเสียงขรึม “แน่นอนว่า ข้ารับปากเจ้าได้เดี๋ยวนี้เลย แต่ข้าอยากเห็นความจริงใจของเจ้ามากกว่า”
ผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบ!
นักหลอมยา!
สายตาของวาบประกายอย่างยากจะสังเกต เขาใครครวญครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “แม้ตอนนี้ภูเขาชำระจิตจะว่างเปล่า แต่ที่นี่กลับเป็นแหล่งทรัพยากรอันเล่อค่า เช่นสวนโอสถวิญญาณบนเส้นชีพจรวิญญาณ รวมทั้ง ‘ห้องโอสถล้ำค่า’ สถานที่หลอมยาที่บรรพบุรุษตระกูลหลินสืบทอดกันมา”
หยุดไปครู่ เขาประกาศกร้าวเสียงดังสนั่น “ทั้งหมดนี้ ข้าสามารถยกให้ท่านเป็นคนดูแล”
ชื่อเซวี่ยนิ่งมองหลินสวินอยู่ครู่ จึงพูดว่า “ได้ ข้ารับปากเจ้าชั่วคราว”
“รับปากชั่วคราวอย่างนั้นหรือ?” หลินสวินมุ่นคิ้ว
ชื่อเซวี่ยพูดเสียงเรียบ “ข้าไม่เชื่อคำสัญญาปากเปล่า ทั้งหมดต้องดูจากการกระทำ”
หลินสวินระบายยิ้ม พลางโยนโอสถวิญญาณให้ชื่อเซวี่ย “สิ่งนี้แทนความจริงใจของข้า หากท่านสามารถปรุงมันให้เป็นลูกกลอนได้ ข้ารับรองว่าต่อไปจะสนับสนุนโอสถวิญญาณอีกมากมายหลากชนิดให้กับท่าน!”
หืม?
ชื่อเซวี่ยรีบรับโอสถวิญญาณมา ตอนแรกยังไม่สนใจเท่าใดนัก คิดว่าหลินสวินดูเหมือนจะรับปากไว แต่ความจริงก็ยังไม่เชื่อความสามารถของเขา มิเช่นนั้นอีกฝ่ายจะโยนโอสถวิญญาณมาให้เขาปรุงเล่นๆ เช่นนี้หรือ?
คิดจะพิสูจน์ฝีมือการหลอมยาของเขาชัดๆ!
หากพอเห็นโอสถวิญญาณที่หลินสวินโยนมาให้ชัดแล้ว ชื่อเซวี่ยราวกับถูกฟาดอย่างหนัก ตัวแข็งค้าง อ้าปากหวออยู่กับที่ในขณะที่พูดเสียงหลง “นี่มัน…หญ้าน้ำลายมังกร”
หญ้าน้ำลายมังกรนั่นขนาดประมาณฝ่ามือ ก้านเรียวเล็ก ปกคลุมไปด้วยเกล็ดขรุขระ ใบทั้งเก้าเป็นสีแดงสดเปล่งปลั่ง ระยิบระยับราวกับหยกแดงอย่างไรอย่างนั้น
สามารถมองเห็นวงแสงที่สาดประกายออกจากโอสถวิญญาณ พร้อมส่งกลิ่นหอมโชยอยู่รางๆ
หญ้าน้ำลายมังกร!
นี่คือหนึ่งในโอสถล้ำค่าโบราณที่ถูกขนานนามว่า ‘เทพแห่งการหลอมโลหิต’ ในตำนานไม่ผิดแน่!
สีหน้าของชื่อเซวี่ยเผยความลนลานทันควัน
ในฐานะนักหลอมยา การมีโอกาสได้เห็นโอสถล้ำค่าที่สูญหายไปจากยุคนี้นานแล้ว เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นและตื้นตันแค่ไหนคงไม่ต้องบอก
ไม่ว่าจะเสี่ยวเคอ พญาแร้ง หลินจง หยางหลิง และผู้เฒ่าเตียวต่างจับจ้องการสนทนาระหว่างหลินสวินและชื่อเซวี่ย
เดิมทีพวกเขาต่างคิดไม่ตกว่าหลินสวินจะทำให้ชื่อเซวี่ยเลื่อมใสได้ด้วยวิธีใด แต่พอเห็นภาพนี้ พวกเขาพลันกระจ่าง สายตาที่มองหลินสวินก็เก็บความตะลึงไม่อยู่
เพียงหญ้าน้ำลายมังกรต้นเดียวเท่านั้นก็ทำชื่อเสวี่ยเสียอาการทันที และเพียงพอที่จะยืนยัน ‘ความจริงใจ’ ของหลินสวินอย่างชัดแจ้งแล้ว!
ตอนนี้ต่อให้ไล่ชื่อเซวี่ยไป น่ากลัวว่าเขาคงลังเลอยากจะอยู่ต่อ
เพราะสิ่งที่หลินสวินให้ ไม่ใช่เพียงแค่หญ้าน้ำลายมังกรต้นเดียว แต่ยังมี ‘สวนโอสถวิญญาณ’ บนชีพจรวิญญาณภูเขาชำระจิต รวมทั้งห้องโอสถวิญญาณที่บรรพบุรุษตระกูลหลินสืบทอดต่อกันมา!
ถ้าเป็นข้างนอก ใช่ว่านักหลอมยาทุกคนจะมีสิทธิ์ครอบครองสิ่งเหล่านี้
ครู่ใหญ่ชื่อเซวี่ยจึงตั้งสติได้ สายตาที่มองหลินสวินได้เปลี่ยนไปแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ หนึ่งที ก่อนพูดอย่างจริงจัง “ต่อไป ข้าชื่อเซวี่ยจะติดตามท่าน!”
พูดจบก็โน้มคำนับด้วยความจริงจังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
นี่แสดงถึงความยอมรับและเลื่อมใส!