Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 350
ที่น่าเสียดายคือ การต่อสู้ยังไม่ทันเริ่มก็จบลงเสียแล้ว
หลังจากหลินจงแสดงอิทธิฤทธิ์อันชวนผวาของพลังปราณระดับหยั่งสัจจะ ศัตรูหลายชีวิตที่เฝ้ารออยู่ก็ถอยทัพไปอย่างไม่ลังเล
ทำให้หลินสวินอดผิดหวังไม่ได้
เขาล่ะอยากรู้จริงๆ ว่าเสิ่นจิงหลุนผู้ที่ได้อันดับสามในการทดสอบระดับอาณาจักร ชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วทั้งนครต้องห้ามและถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทั่นฮวาม้าขาว’ จะเก่งกาจสักเพียงใด
หลินจงไม่ได้ตามไป ด้วยเกรงว่าศัตรูจะล่อเสือเข้าถ้ำ
พอเขากลับมาอีกที ทวนเงินในมือก็หายไปแล้ว กลับเป็นข้ารับใช้หลินจงที่หลังค่อมสัตย์ซื่อคนเดิม
หลินสวินอ้าปากจะถาม แต่ถูกหลินจงชิงพูดขึ้นก่อน “นายน้อย หากในอนาคตมีโอกาส ข้าน้อยจะบอกเหตุผลที่แท้จริง”
หลินสวินรับคำในลำคอ ก่อนจะเอ่ยขึ้นเหมือนยังไม่ตายใจ “ลุงจง ต่อไปหากข้าขอให้ท่านช่วยลงมือ ท่านจะยินยอมหรือไม่”
หลินจงถอนหายใจ ก่อนจะฝืนยิ้มพูด “นายน้อย ข้าน้อยมีหน้าที่ดูแลความปลอดภัยของนายน้อย เมื่อเจอกับเหตุการณ์ที่ควรลงมือก็ย่อมต้องลงมือ”
หยุดไปครู่ เขาจึงพูดเสียงขรึมต่อ “แต่ข้าน้อยไม่มีวันลงมือกับคนของตระกูลหลินกันเองเด็ดขาด เรื่องนี้ข้าน้อยเคยรับปากกับนายท่านเอาไว้”
หลินสวินมองหลินจงด้วยสายตาลึกซึ้ง ยิ้มกล่าว “เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากกลับถึงภูเขาชำระจิต หลินสวินก็เอาสามแสนเหรียญนั่นไปให้พญาแร้งจัดแจงบริหารเงินก้อนโตนี้ต่อไป
ส่วนหลินสวินไปนั่งลงบนก้อนหินก้อนหนึ่งบนยอดเขาเพียงลำพัง
ในระยะที่ไกลสุดสายตา ทะเลเมฆลอยเคลียคลอจันทราที่โปรยแสงสว่างสู่พื้นดิน สายลมพัดโชยเรียกให้ต้นสนที่อยู่ตามแนวหน้าผาโยกย้ายเสียดสีส่งเสียงดังแว่วมาเป็นระลอก
หลินสวินในชุดสีจันทร์นวล ผมดำขลับมัดลวกๆ ไว้หลังศีรษะ ใบหน้าคมสันโดดเด่นใต้แสงจันทร์ ดูนิ่งสงบมากเป็นพิเศษ
อีกยี่สิบกว่าวันเขาก็ต้องไปเยือนตระกูลหลินแห่งแสงอุดร เพื่อประลองกับหลินเสวี่ยเฟิง บุตรหลานผู้ถูกเลือกที่โดดเด่นที่สุดคนนั้นด้วยตัวเองแล้ว
ถึงตอนนั้นอีกฝ่ายคงบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณไปแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
ความแตกต่างนั้นชัดเจนมาก แม้ตอนนี้หลินสวินจะอยู่ในขั้นผสานฟ้า แต่ก็ยังห่างจากหลินเสวี่ยเฟิงไปอีกหนึ่งระดับใหญ่ๆ
ห่างเพียงเอื้อมมือ แต่กลับราวฟ้ากับเหว หลินสวินเคยสู้กับฉือฉางเฟิงมาแล้วจึงรู้ความเก่งกาจของระดับมหาสมุทรวิญญาณเป็นอย่างดี
แต่เขาจะแพ้การประลองครั้งนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
ด้วยเหตุนี้เขาจำเป็นต้องทุ่มเทให้กับการพัฒนาความสามารถเป็นอันดับแรก เพื่อเตรียมพร้อมรับมือการประลองในครั้งนี้อย่างเต็มกำลัง
หลินสวินนั่งครุ่นคิดอยู่บริเวณข้างหน้าผาอยู่นาน สุดท้ายก็ระบายยิ้ม คว้าเหล้าขึ้นมานั่งดื่มเพียงลำพัง
…
นับตั้งแต่วันนั้น หลินสวินก็เก็บตัวอยู่บนยอดภูเขาชำระจิตเพียงลำพัง
กลางวันชมเมฆ พลบค่ำก็เข้านอน
บางทีก็ฝึกดาบ โดยใช้ต้นไม้ใหญ่ ก้อนหิน น้ำตกเป็นเป้า คมดาบฟาดฟันท่ามกลางแสงจันทร์ ก้อนเมฆ และสายลม
จากนั้นเขาก็นั่งกอดเข่าราวกับจักจั่นผู้หงอยเหงา ชมดาวเชยเมฆ ดื่มด่ำกับภูเขาสายน้ำอันไพโรจน์
นั่งทีก็หลายวันติด โดยไม่สนฟ้าสนดิน ไม่หลบแดดหลบฝน ไม่รู้วันรู้คืน สับสนมึนงง เลอะเลือนไปไกล ดูพิลึกอย่างคนทึ่ม
บางทีเขาก็นั่งตัวตรงขัดสมาธิฝึกฝนจากภายใน นิ่งราวกับภูเขา หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับฟ้าดิน ทำความเข้าใจหลักการความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดิน
นี่คือการฝึกปราณ
ละทิ้งกิเลส ตัดความคิดทางโลก หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ จดจ่ออยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง
ในสายตาคือความงามบนโลก คือความแน่นอนไม่ได้ของเวลาที่ไหลผ่าน คือความเปลี่ยนแปลงที่เกินจะคาดเดา คือสายรุ้งที่วาดผ่านกลางอากาศ คือวิถีของแสงที่เรี่ยไรและสีสันอันหลากหลายที่ส่องสะท้อนออกจากน้ำค้างในยามเช้า…
ภายในใจนิ่งสงบ พร้อมเปิดรับทุกสิ่ง!
เมื่อกายใจเป็นส่วนหนึ่งของฟ้าดิน ความตระหนักรู้ก็จะบังเกิด!
สิ่งที่ขั้นผสานฟ้าแห่งระดับจิตผสานวิญญาณจะตระหนักได้ คือหลักการของฟ้าดิน ความเปลี่ยนแปลงอย่างหาที่แน่นอนไม่ได้
เสียงที่ไพเราะที่สุดคือความเงียบ ภาพที่งดงามที่สุดคือความว่างเปล่า
ท่ามกลางเวลาที่ล่วงเลยไป หลินสวินไปมาอย่างอิสระเพียงลำพัง สันโดษอยู่ในโลกส่วนตัว ตัดขาดจากโลกภายนอก
บางทีก็นั่งขัดสมาธิ บางทีก็ฝึกดาบ บางทีก็สำรวจภูเขาแม่น้ำ บางทีก็รินดื่มสุรา บางทีก็เหม่อลอย
ผมเผ้าของเขาค่อยๆ ยาวลงมา สภาพดูอดสู กลางหว่างคิ้วเคลือบแฝงแววทุกข์ยากของชีวิต ดูไม่เหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่ง แต่กลายเป็นเหมือนชายที่มากประสบการณ์
ณ ตอนนี้ไม่มีใครหรือเรื่องอะไรรบกวนหลินสวินได้
แต่หลินจง เสี่ยวเคอและพญาแร้งต่างลอบเฝ้ามองทุกอิริยาบถของหลินสวินอยู่ห่างๆ
พวกเขารู้ตั้งแต่วันแรกว่าหลินสวินกำลังฝึกยุทธ์ ถ้าจะพูดให้ถูกคือเขากำลังรู้แจ้ง!
ใช่ รู้แจ้ง
สัจธรรมนั้นลึกล้ำลึกซึ้ง เมื่อผู้ฝึกยุทธ์ฝึกไปได้ในระดับหนึ่ง ก็เริ่มสัมผัสกับฟ้าดินจากภายในสู่ภายนอก ตระหนักได้ถึงพลังแห่งธรรมชาติ
สัจธรรมที่ผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าอย่างหลินสวินจะหยั่งถึงก็คือลักษณ์ฟ้าดิน มีเพียงสังเกตความเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินเท่านั้น เมื่อบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว จึงจะกลายเป็นยอดฝีมือที่ควบคุมและเข้าถึงฟ้าดินได้อย่างลึกซึ้ง
เสี่ยวเคอกังวลว่าหลินสวินจะใจร้อนกับการบรรลุระดับชั้น จนจมสู่การผูกมัด ไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางไว้
เพราะพวกเขาต่างรู้ดีว่าหลินสวินกำลังจะประลองกับเด็กหนุ่มยอดฝีมือระดับมหาสมุทรวิญญาณเร็วๆ นี้ จึงเป็นห่วงว่าการฝึกปราณครั้งนี้จะเกิดขึ้นภายใต้ความกดดัน
แรกๆ พญาแร้งก็กังวล แต่หลังจากได้สังเกตอยู่ห่างๆ มาหลายวัน เขาก็มั่นใจว่าหลินสวินไม่ได้ถูกความกดดันบีบคั้น
พญาแร้งถึงขั้นสงสัยว่าหลินสวินได้ลืมทุกสิ่ง และเข้าสู่ระดับอันลึกซึ้งจนลืมตัวไปแล้ว
หลินจงเองก็เสนอความคิดเห็นของตัวเองว่า การฝึกปราณของหลินสวินในครั้งนี้ ต่อให้ไม่สามารถบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ แต่ก็มีผลเก็บเกี่ยวอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าอย่างไร การฝึกปราณของหลินสวินไม่ได้เกิดข้อผิดพลาดประการใด ทำให้พวกเขาต่างโล่งอก
แรงกดดันของหลินสวินยิ่งใหญ่มาก เขาแบกรับภาระหนักอึ้งเอาไว้ บางทีพวกเขายังแอบคิดว่าถ้าเปลี่ยนเป็นตัวเองเกรงว่าคงจะทำได้ไม่ดีเท่าหลินสวิน
เวลาล่วงเลยไปเรื่อยๆ อีกเพียงสามวันก็ถึงเวลาที่นัดกับตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแล้ว แต่การฝึกปราณของหลินสวินกลับไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดลง
หลายวันนี้นครต้องห้ามได้เกิดเรื่องอันน่าตื่นเต้นขึ้นมากมาย
เช่นงานประมูลที่เป็นที่จับตามองของอัครการค้า สมบัติที่ประมูลกันล้วนเป็นของล้ำค่าเป็นประวัติการณ์ ทำให้เกิดการแย่งชิงอย่างดุเดือดในหมู่ผู้มีอิทธิพลมากมาย
ว่ากันว่าพอการประมูลจบลง สมบัติอันล้ำค่าเป็นประวัติการณ์เหล่านี้ได้ราคาประมูลสูงจนน่าทึ่ง!
เพราะความสำเร็จของการประมูลครั้งนี้ทำให้ชื่อเสียงของอัครการค้าโด่งดังขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ ให้ความรู้สึกเหมือนหาที่เปรียบไม่ได้
สิ่งที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดคือ การประมูลครั้งนี้สำเร็จได้ภายใต้ความรับผิดชอบเพียงลำพังของสืออวี่ บุตรชายคนที่สามของเทพเศรษฐีสือ
เพราะเรื่องนี้ทำให้บารมีของสืออวี่ในอัครการค้าเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี คนภายนอกต่างชื่นชม
นอกจากนี้ยังมีการประลองที่สำนักศึกษามฤคมรกตจัดขึ้นระหว่างดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถังและอีเนี่ยนแห่งอาณาจักรวงจันทรา
ผลสุดท้ายกลับไม่อาจประเมินแพ้ชนะ!
ภิกษุหนุ่มอีเนี่ยนกลายเป็นที่สนใจของผู้คนในนครต้องห้ามทันที ในขณะที่ชื่อเสียงก็โด่งดังไปไกล
ส่วนดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง หลังจากการประลองในครั้งนี้ก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงของเขาเสื่อมเสียลงแต่อย่างไร ตรงกันข้ามหลังการประลองสิ้นสุดลง พลังปราณของเขาได้บรรลุไปอีกขั้น สร้างความตื่นตะลึงฮือฮาอย่างท่วมท้น ทำให้ชื่อเสียงบารมีของเขามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
แน่นอนว่าเมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่สร้างความฮือฮามากที่สุดคงหนีไม่พ้นการทดสอบระดับอาณาจักร โดยการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้เรียกได้ว่าเป็นการรวมตัวของเหล่าผู้ถูกเลือกที่เก่งกาจไม่ด้อยไปกว่ากัน
นับตั้งแต่วันแรกที่เข้าสู่เทศกาลดอกจื่อเย่า ผู้ฝึกปราณหนุ่มสาวนับพันที่มาเข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรก็เปิดศึกประลองอันน่าตื่นเต้นครั้งแล้วครั้งเล่า
จวบจนถึงตอนนี้ การทดสอบระดับอาณาจักรได้สิ้นสุดลงแล้ว มีผู้ฝึกปราณทั้งหมดหนึ่งร้อยคนที่ผ่านเข้ารอบและกลายเป็นผู้ชนะในการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้
โดยอันดับหนึ่งคือซ่งอี้ ผู้ถูกเลือกรุ่นหนุ่มจากตระกูลซ่งที่เป็นหนึ่งในตระกูลมหาอำนาจทั้งเจ็ด
อันดับสองคือฉือฉางเฟิง ก็มาจากตระกูลฉือที่เป็นหนึ่งในตระกูลมหาอำนาจทั้งเจ็ดเช่นกัน
ส่วนอันดับสามคือไป๋หลิงซี หลานสาวคนโตของจิ้งไห่โหวแห่งจักรวรรดิ ฐานะไม่ได้ด้อยไปกว่าซ่งอี้และฉือฉางเฟิงสักนิด
เรียกได้ว่าสามอันดับแรกนั้นโดนลูกหลานชนชั้นสูงของจักรวรรดิยึดไปทั้งหมด ทำให้ทุกคนต่างทอดถอนใจ ตระกูลมหาอำนาจเหล่านี้ยืนหยัดมาได้ถึงทุกวันนี้ ล้วนมีรากฐานมั่นคง ก้าวไปถึงขั้นที่ยากจะจิตนการได้แล้วจริงๆ
สำหรับหลินสวินที่ไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ ก็กลายเป็นประเด็นวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนไม่น้อย กล่าวว่าเจ้าของอันดับหนึ่งในการทดสอบระดับมณฑลจากมณฑลซีหนานกลับไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากจริงๆ
แต่คำวิพากษ์วิจารณ์นี้เกิดขึ้นเพียงในกลุ่มแคบๆ เท่านั้น เพราะผู้คนส่วนใหญ่ต่างสนใจสามอันดับแรกของการทดสอบระดับอาณาจักรมากกว่า
ได้ยินมาว่าวันที่การทดสอบสิ้นสุดลง ทั้งสามไม่เพียงถูกจักรพรรดิเรียกให้เข้าเฝ้าด้วยตัวเอง แต่ตอนที่ออกจากพระราชวัง ยังถูกสำนักศึกษามฤคมรกตรับตัวไป!
นี่คือเกียรติที่หาได้ยากนัก
สำนักศึกษามฤคมรกตเป็นสำนักศึกษาอันดับหนึ่งของจักรวรรดิ มีความโดดเด่นเหนือใคร สร้างคนมีความสามารถให้จักรวรรดิมานับไม่ถ้วน
แต่วันนี้สำนักศึกษามฤคมรกตกลับเป็นฝ่ายเรียกตัวซ่งอี้ ฉือฉางเฟิงและไป๋หลิงซีด้วยตัวเอง ผลประโยชน์ระดับนี้ ทำให้ผู้คนไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ต่างอิจฉาตาร้อน
แน่นอนว่าหลินสวินไม่รู้เรื่องพวกนี้
เมื่อเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันก่อนจะถึงเวลาที่นัดหมายไว้กับตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หลินจงก็อดเข้าใกล้ยอดเขาชำระจิตอีกครั้งไม่ได้
หลินสวินยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนหน้าผา ร่างกายผอมบาง โดดเดี่ยวอ้างว้าง เงียบเฉียบไร้สุ้มเสียง
ใบไม้ร่วงและเศษฝุ่นถมเต็มตัวเขา ผมและหนวดเคราทิ้งตัวลู่ลงมา หว่างคิ้วเผยร่องรอยทุกข์ยากของชีวิตยิ่งกว่าเดิม ดูตกอับมากโข
‘จะปลุกนายน้อยดีหรือไม่’ หลินจงลังเล
พรุ่งนี้ก็ต้องเดินทางไปประลองกับหลินเสวี่ยเฟิงที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแล้ว ถ้าหลินสวินยังฝึกต่อไปคงต้องผิดนัดแน่ และจะกระทบต่อการดำเนินการจัดการปัญหาภายใน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่ได้แสดงออกว่าต่อต้านหลินสวินเหมือนอย่างตระกูลรองอื่นๆ
หากพลาดโอกาสนี้ไป จุดจบก็คงยากจะคาดเดา
ฮูม!
ทันใดนั้นพลังอันยากจะอธิบายหมุนวนรอบๆ ตัวหลินสวินดุจพายุคลั่ง
หืม?
หลินจงหัวใจกระตุกวูบ พลันเห็นว่าหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิไม่รู้ว่าลืมตาขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ดวงตาดำขลับลึกล้ำเวลานี้ราวกับพายุที่พัดโหม สาดประกายแสงอันน่าทึ่งออกมา
ราวกับกระบี่คมกริบที่ผ่านการหลอมมานับพันครั้ง ปรากฏกายขึ้นฉับพลันในยามนี้!