Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 351
นายน้อยบรรลุแล้วอย่างนั้นหรือ?
หลินจงหัวใจกระเพื่อมไหว แต่พอสังเกตอย่างละเอียดแล้วกลับไม่พบกลิ่นอายเฉพาะของระดับมหาสมุทรวิญญาณบนตัวหลินสวิน
ทำให้เขาอึ้งไม่น้อย
ตอนนี้ปราณบนร่างของนายน้อยทรงพลังมาก ร่างกายราวกับหุบเหวขนาดใหญ่ที่มีพายุหมุนวน ไม่เหมือนกลิ่นอายที่ผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าจะมีได้
ทั้งที่เป็นเช่นนี้ แต่นายน้อยกลับเหมือนยังไม่บรรลุ
นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
วงพายุที่พัดโหมอยู่ภายในนัยน์ตา ลึกล้ำและสงบลงอีกครั้ง พร้อมกับพลังรอบตัวของหลินสวินที่ค่อยๆ ผ่อนลงเช่นเดียวกัน
เขาลุกขึ้นยืนบนขอบหน้าผาอย่างผ่าเผย ผมยาวยุ่งเหยิงพลิ้วไปตามสายลมที่พัดโชย ดูโดดเด่นเป็นสง่า
หลินสวินหยิบมีดศึกออกมาสะบัดไม่กี่ครั้ง ผมยาวและหนวดเคราที่ราวกับหญ้ารกถูกตัดขาด ก่อนจะใช้เชือกเส้นหนึ่งมัดผมส่วนที่เหลือขึ้นกลางศีรษะลวกๆ
พอมองนายน้อยอีกครั้ง กลับพบว่าท่าทางของเขาดูไม่ต่างจากเดิมเลยสักนิด แม้กระทั่งความทุกข์ระทมบนหว่างคิ้วยังถูกความสดใสเข้ามาแทนที่
“นายน้อย สรุปว่าท่านทะลวงขั้นหรือยัง?” หลินจงอดถามไม่ได้
หลินสวินชะงักงัน ก่อนจะส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ไม่ต้องรีบ ข้ายังสังเกตลักษณ์แห่งฟ้าดินไม่พอ รอยามจำเป็นค่อยก้าวข้ามทะลวงขั้นตอนนั้นก็ไม่สาย”
น้ำเสียงเรียบเฉยแต่เปี่ยมไปด้วยความสุขุมและมั่นใจ ราวกับว่าสำหรับเขาแล้ว การจะบรรลุทะลวงขั้นนั้นเป็นเพียงเรื่องธรรมดาเล็กน้อยไร้กังวล
หลินจงรู้สึกแปลกๆ นายน้อยที่อยู่ตรงหน้าดูไม่ต่างไปจากเดิม แต่หลินจงมักรู้สึกว่าในช่วงยี่สิบกว่าวันที่เก็บตัวฝึก นายน้อยเหมือนมีอะไรเปลี่ยนไป
ดูมั่นคงขึ้น สุขุมขึ้น และคาดเดาได้ยากขึ้น
“ลุงจง ช่วยเล่าให้ข้าฟังหน่อยว่าช่วงนี้เกิดเรื่องใดขึ้นบ้าง” หลินสวินเดินไปตามทางเล็กคดเคี้ยวที่ทอดยาวจากขอบหน้าผาอย่างผ่อนคลาย
“นายน้อย ระหว่างนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นไม่น้อยเลยจริงๆ…” หลินจงรีบขนาบข้างตามไป พร้อมอธิบายเรื่องต่างๆ
จวบจนกระทั่งกลับไปถึงห้องหนังสือบนชั้นสองของตำหนักชำระจิต หลินสวินก็ได้รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในช่วงหลายวันนี้เป็นส่วนใหญ่แล้ว
การที่งานประมูลของอัครการค้าจบลงอย่างราบรื่นเป็นเรื่องดีสำหรับหลินสวินอย่างไม่ต้องสงสัย รอเมื่อไปเยือนอัครการค้าครั้งหน้า ก็จะได้รู้แล้วว่าสมบัติพวกนั้นของตนประมูลออกไปด้วยราคาเท่าไหร่
ส่วนเรื่องอีเนี่ยนภิกษุอาณาจักรวงจันทราประลองกับดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง หลินสวินไม่ได้สนใจนัก
แต่พอได้ยินว่าฝีมืออีเนี่ยนสูสีกับเซี่ยอวี้ถังจนไม่อาจประเมินแพ้ชนะ นี่ถือว่าเหนือความคาดหมายของหลินสวินอยู่บ้าง
เท่าที่เขารู้มาอาณาจักรวงจันทราเป็นอาณาจักรเล็กๆ ห่างจากจักรวรรดิไปทางตะวันตกหมื่นกว่าลี้ ถูกเรียกว่าแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกปราณของภิกษุ
ถ้าพูดถึงอำนาจโดยรวมของอาณาจักร ยังด้อยกว่าจักรวรรดิจื่อเย่าอยู่มาก ในความทรงจำของผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ อาณาจักรวงจันทราเป็นเพียงแค่อาณาจักรอันคับแคบที่ไม่มีความน่าสนใจใดๆ
แต่การปรากฏตัวของอีเนี่ยนได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ว่า อาณาจักรภายนอกจักรวรรดิก็มีผู้ประสบความสำเร็จที่โดดเด่นมากเช่นเดียวกัน
สิ่งที่หลินสวินสนใจจริงๆ ก็คือการทดสอบระดับอาณาจักรที่จบไปตั้งนานแล้วต่างหาก
ในบรรดาอันดับหนึ่งถึงสามของการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ มีสองคนที่หลินสวินเคยเจอมาแล้ว อย่างไป๋หลิงซี หลานสาวคนโตของจิ้งไห่โหว หลินสวินเคยได้รู้จักกับไป๋หลิงซีผู้ที่ได้รับขนานนามว่าเป็น ‘หญิงงามจากสวรรค์’ ตอนฝึกปราณอยู่ที่ค่ายกระหายเลือด
เขารู้ถึงขั้นจำได้แม่นว่าไป๋หลิงซีมีคุณลักษณะพรสวรรค์ ‘ดารานิรันดร์’ แต่กำเนิด
พรสวรรค์วิญญาณที่ลึกลับชนิดนี้ถือว่าหาได้ยาก
ตามการแบ่งคุณลักษณะพรสวรรค์ในจักรวรรดิ ‘ดารานิรันดร์’ ถูกจัดคร่าวๆ ว่าอยู่ในระดับสี่
แม้จะเป็นเพียงแค่ระดับสี่ แต่สามารถมีคุณลักษณะพรสวรรค์นี้ได้ก็ถือว่าเป็นเลิศเหนือผู้ฝึกปราณจำนวนมากแล้ว!
เหตุผลก็เพราะว่า ทั่วทั้งจักรวรรดินี้ผู้ฝึกปราณที่มีคุณลักษณะพรสวรรค์มีน้อยมาก เรียกได้ว่าหนึ่งในหมื่น ล้ำค่าและหายากเป็นที่สุด
อีกทั้งตอนที่ไป๋หลิงซีบรรลุสู่ขั้นผสานใจได้สร้างบ่อพลังวิญญาณเหนือกว่าระดับหนึ่งได้สำเร็จ!
เรื่องนี้เป็นความลับที่ไป๋หลิงซีบอกหลินสวินแค่คนเดียว ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าความสามารถและเส้นสนกลในของไป๋หลิงซีน่าเกรงขามมากเพียงใด
แต่หลินสวินคิดไม่ถึงเลยว่า ในการทดสอบระดับอาณาจักรครั้งนี้ไป๋หลิงซีจะคว้าอันดับสามมาได้!
ในช่วงสองปีที่ออกจากค่ายกระหายเลือด พลังปราณของไป๋หลิงซีก้าวกระโดดสู่ระดับที่สูงขึ้นจากเดิมอย่างไม่ต้องสงสัย
ส่วนอันดับสองอย่างฉือฉางเฟิงก็ทำเอาหลินสวินขมวดคิ้วทันที เขาจำได้ว่าเจ้านั่นเหมือนจะอายุน้อยกว่าเขาด้วยซ้ำ แต่กลับสามารถคว้าอันดับสองในการทดสอบระดับอาณาจักรไปได้ เห็นได้ว่าเด็กนั่นมีดีมากพอที่จะผยองจริงๆ
คนที่หลินสวินไม่คุ้นเคยเลยแน่นอนว่าคืออันดับหนึ่งอย่างซ่งอี้ เขาจินตนาการไม่ออกจริงๆ ว่าจะเป็นผู้ถูกเลือกที่สุดยอดเพียงใด ถึงได้ชนะบุคคลระดับฉือฉางเฟิงและไป๋หลิงซี ช่างน่าตื่นตะลึงมาก
ด้วยเหตุนี้ทำให้หลินสวินทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ บนโลกนี้ไม่เคยขาดนางมารและวีรบุรุษที่โดดเด่นในแต่ละยุคสมัย เหนือฟ้ายังมีฟ้า คำนี้ช่างจริงแท้แน่นอน
“นายน้อย ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่จำเป็นต้องรายงานท่าน แม่นางเสี่ยวเคอสืบจนได้ความแล้วว่า เหตุการณ์ลอบทำร้ายเราในคืนที่กลับจากอัครการค้าเป็นฝีมือของธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุ สามตระกูลรองตระกูลหลิน” หลินจงที่อยู่ข้างๆ เอ่ย
“ยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะที่เป็นแกนนำนั่น ได้รับฉายาว่ามารเฒ่าฉวี่ เป็นปีศาจเฒ่าที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ในจักรวรรดิ ชำนาญในเคล็ดวิชาเสาะหาและช่วงชิงวิญญาณที่สุด”
หลินสวินหรี่ตา ทีแรกเขาคิดว่าคนร้ายที่ลอบสังหารในคืนนั้นเป็นคนของตระกูลฉือ แต่ดูเหมือนว่าเขาจะประมาณความเลวทรามของตระกูลรองอื่นๆ ในตระกูลหลินต่ำไป!
“จากที่ท่านพญาแร้งวิเคราะห์ ตระกูลรองทั้งสามของตระกูลหลินของเราคงอยากใช้วิธีสกปรกมาควบคุมท่านให้เป็นหุ่นเชิดของพวกเขา เพราะแบบนี้ไม่เพียงไม่เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตของท่าน พวกเขายังสามารถหวนกลับมาสืบทอดอำนาจของตระกูลที่ภูเขาชำระจิตได้ ช่างเป็นแผนการที่ร้ายกาจยิ่งนัก”
หลินจงพูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงพลันแฝงความเย็นเยียบ เห็นได้ชัดว่าเขาก็แค้นเคืองกับวิธีชั่วช้าของอีกฝ่ายไม่ต่างกัน
“นั่นหมายความว่าขอเพียงแค่ข้าก้าวออกจากภูเขาชำระจิต ก็อาจจะถูกพวกเขาจู่โจมหรือลอบสังหารได้ตลอดเวลาอย่างนั้นหรือ”
ดวงตาดำขลับของหลินสวินเผยความเย็นเยียบ
“เป็นเช่นนั้นขอรับ”
หลินจงพูดเสียงต่ำ “ท่านพญาแร้งแนะนำว่าทางที่ดีให้ท่านพาจูเหล่าซานออกไปด้วย เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิด”
หลินสวินขานรับในลำคอ กล่าวคล้ายขบคิดอะไรอยู่ “ลุงจง หากข้าคิดจะฆ่าคนตระกูลหลินบางส่วน ท่าน…จะห้ามข้าหรือไม่”
หลินจงชะงักงัน สีหน้าดูสับสนยากจะเดาความรู้สึกออก ครู่ใหญ่จึงเอ่ย “นายน้อย ตอนนี้นายน้อยเป็นเจ้าของภูเขาชำระจิต ข้าน้อยไม่มีทางขัดความปรารถนาท่านแน่ เพียงแต่…ถึงตอนนั้นข้าน้อยขอให้นายน้อยโปรดยั้งมือ ฆ่าฟันกันเองอย่างไรก็ไม่เกิดประโยชน์”
หลินสวินเผยยิ้มเย็นเยียบตรงมุมปาก “ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน”
หลินจงลอบถอนหายใจ รู้ว่าตระกูลรองทั้งสามของตระกูลหลินได้ล่วงเกินหลินสวินเข้าอย่างจังแล้ว
…
เช้าวันถัดมา
หลินสวินนั่งบนเกี้ยวสมบัติที่สืออวี่ให้มา ออกจากภูเขาชำระจิตไปพร้อมกับหลินจง
สิ่งหนึ่งที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือ จูเหล่าซานเป็นผู้ควบคุมเกี้ยว
วันนี้เป็นวันที่นัดหมายไว้กับตระกูลหลินแห่งแสงอุดร หลินสวินจะต้องไปประลองกับหลินเสวี่ยเฟิงที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
สำหรับการเดินทางไปยังตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในครั้งนี้ หลินสวินไม่กล้าประมาทเลยสักนิด
ที่พาจูเหล่าซานและหลินจงเดินทางมาด้วยในครั้งนี้ ไม่เพียงป้องกันการลอบทำร้ายของธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุตระกูลรองทั้งสามแห่งตระกูลหลิน
ยิ่งไปกว่านั้นคือ หลินสวินไม่มั่นใจว่า การไปเยือนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในครั้งนี้จะเจออันตรายอะไรหรือไม่!
แม้ว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะมีท่าทีที่เป็นมิตรกับเขามากกว่า แต่ใครจะมั่นใจว่าพวกเขาจะไม่แปรพักตร์กะทันหัน?
อย่าลืมว่าที่ที่หลินสวินไปในครั้งนี้ เป็นฐานหลักของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ถ้าพวกเขาคิดเปลี่ยนใจคุมตัวหลินสวินเอาไว้ จุดจบคงเลวร้ายจนไม่กล้าคิด
แม้ความเป็นไปได้ที่จะเกิดเรื่องแบบนี้จะต่ำมาก แต่หลินสวินต้องป้องกันไว้ก่อน
ตอนนี้มีจูเหล่าซานและผู้ที่เคยถูกขนานนามว่าเป็น ‘ทั่นฮวาม้าขาว’ ติดตามไปด้วย หลินสวินมั่นใจว่า แม้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะมีความคิดไม่ซื่อกับตน ก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามทำอะไรโดยไม่ดูตาม้าตาเรือแน่
“นายน้อย นี่คือข้อมูลล่าสุดของหลินเสวี่ยเฟิง”
หลินจงยื่นกระดาษใบหนึ่งให้หลินสวิน
เนื้อหาความว่า หลินเสวี่ยเฟิง อายุสิบแปด บุตรชายของหลินไหวหย่วนหัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ยามบรรลุสู่ขั้นผสานใจได้สร้างบ่อพลังวิญญาณ ‘ภูผาธาราหมอกพิรุณ’ ออกมา ถูกยกให้เป็นหัวหอกที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาหนุ่มสาวยุคใหม่ของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
พลังปราณ ณ ตอนนี้อยู่ในระดับมหาสมุทรวิญญาณ
ในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้ หลินเสวี่ยเฟิงผ่านการทดสอบอย่างง่ายดายและอยู่ในอันดับที่เจ็ดสิบเก้า เป็นหนึ่งในสองลูกหลานตระกูลรองของตระกูลหลินที่ผ่านการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้
อ่านถึงตรงนี้ หลินสวินพลันถามอย่างฉงนใจ “นอกจากหลินเสวี่ยเฟิง ยังมีลูกหลานอีกคนของตระกูลรองในตระกูลหลินผ่านการทดสอบด้วยหรือ”
“อีกคนคือลูกหลานของตระกูลหลินแห่งคานเมฆา นามว่าหลินชิงหลัน มีศักดิ์เป็นญาติผู้พี่ของนายน้อย ปีนี้อายุสิบแปด เป็นแม่นางน้อยที่มีพรสวรรค์โดดเด่น ได้อันดับที่เจ็ดสิบสองของการทดสอบระดับอาณาจักรในครั้งนี้ นางถูกสำนักศึกษามฤคมรกตเรียกตัวไปเหมือนกับหลินเสวี่ยเฟิง จะได้เข้าไปฝึกที่สำนักศึกษามฤคมรกตในเดือนสามของปีหน้า” หลินจงเปรย
หลินสวินขานรับในลำคอ ยิ้มพูด “ตระกูลหลินตกต่ำถึงเพียงนี้ แต่คนในตระกูลยังสามารถผ่านการทดสอบระดับอาณาจักรได้ ถือว่าเหนือความคาดหมายของข้า”
หลินจงถอนหายใจ “นายน้อย หากท่านเต้าเฉินยังอยู่ ลูกหลานในวงศ์ตระกูลย่อมสามารถคว้าสิบอันดับแรกได้ และยังเป็นไปได้ที่จะเข้าไปช่วงชิงอันดับหนึ่ง คราวนั้น…นายท่านคว้าอันดับสองของการทดสอบระดับอาณาจักร เป็นรองแค่นายหญิงเท่านั้น!”
เด็กหนุ่มชะงัก เมื่อได้ยินเรื่องของบิดามารดาที่ตัวเองไม่เคยมีโอกาสได้พบเจอ ในใจก็มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก
ครู่หนึ่งเขาจึงส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม “รอให้ถึงการทดสอบระดับอาณาจักรในปีหน้า ข้าจะลองดูบ้าง อย่างน้อยคงได้อันดับที่พอจะเป็นหน้าเป็นตาให้ตระกูลหลินแห่งภูเขาชำระจิตได้บ้าง!”
หลินจงเองก็ยิ้ม แววตาเผยความมั่นหมาย “ปีหน้านายน้อยต้องบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้วแน่ ด้วยพื้นฐานและความสามารถระดับนายน้อย ย่อมติดหนึ่งในห้าอย่างแน่นอน!”
วิธีพูดเช่นนี้ของเขาเป็นการพูดเผื่อเอาไว้ ทว่าตามความคิดของเขา หลินสวินเป็นลูกชายของหลินเหวินจิ้งและลั่วชิงสวิน คนรุ่นหลังย่อมเก่งกาจกว่าคนรุ่นก่อนอยู่แล้ว!
นั่นก็หมายความว่าปีนั้นที่ลั่วชิงสวินคว้าอันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักร ส่วนหลินเหวินจิ้งเป็นอันดับสอง อย่างนั้นหลินสวินก็ต้องเป็นที่หนึ่งถึงจะถูก
แน่นอนว่านี่คือความคิดของหลินจง เขาไม่กล้าพูดพล่อยๆ จนทำให้หลินสวินรู้สึกกดดัน
ยามนี้เองจู่เหล่าซานที่ควบคุมเกี้ยวงดงามหรูหราพลันเอ่ยปากขึ้นสั้นๆ กระชับได้ใจความ
“ถึงแล้ว”