Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 352
เกี้ยวงามวิจิตรพลันหยุดลง
เมื่อหลินสวินเดินลงมา ก็เห็นสิ่งปลูกสร้างโอ่อ่าตั้งตระหง่านอยู่ไม่ไกล
ไม่ต้องสงสัย นี่คงเป็นดินแดนที่อยู่ใต้อาณัติของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
หลินจงเดินไปข้างหน้า แล้วเอ่ยชี้แจงกับผู้คุ้มกันที่ยืนเฝ้าหน้าประตูคฤหาสน์ ไม่นานนักก็เห็นร่างของหลินต้าหงรีบรุดวิ่งออกมาจากส่วนลึกในคฤหาสน์
เขายิ้มพลางยกมือคารวะ “ขออภัยที่มิได้ออกมาต้อนรับ รีบตามข้ามาเถิด” พูดพลางเชิญหลินสวินเข้าด้านใน
หลินสวินยิ้มให้แล้วเดินตามเขาเข้าไปภายในคฤหาสน์
หลินจงกับจูเหล่าซานตามหลังมาติดๆ เหมือนบริวารผู้ซื่อสัตย์ภักดี
ทว่าเพียงเดินเข้ามาในคฤหาสน์เท่านั้น ยังไม่ทันที่หลินสวินได้ประเมินโดยรอบ ก็ได้ยินเสียงตะโกนแหบแห้งราวเป็ดตัวผู้ดังขึ้น
“เจ้าเด็กนั่นกล้ามาหรือนี่? หึๆ ใจกล้าดีนี่ เขาอยู่ที่ไหนแล้วล่ะ”
เสียงนี้ยังไม่หายไป ก็เห็นคุณชายในชุดสีทองทั้งตัวคนหนึ่ง มือถือพัดหยกเดินออกมา ด้านหลังมีกลุ่มชายหญิงติดตาม ท่าทางเหิมเกริม
คุณชายชุดทองเมื่อได้เห็นหลินสวินก็พลันยิ้มเย็นแล้วพูดว่า “โอ้ เจ้าคงเป็นหลินสวินคนนั้นสินะ ที่เพ้อพกท้าสู้กับท่านพี่เสวี่ยเฟิงของข้า เจ้าหนูอย่างเจ้านี่บ้าระห่ำใช่เล่น”
“เจ้าเด็กคนนี้คือหลินสวินหรือ ดูแล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษนี่”
“ดูท่าทางน่าจะเพิ่งอายุสิบกว่าปีเท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าไปเอาความมั่นใจมาจากไหน ถึงกับกล้ายุ่มย่ามในภูเขาชำระจิต”
ชายหญิงที่อยู่เบื้องหลังคุณชายชุดทองพวกนั้นก็วิพากษ์วิจารณ์หลินสวินอย่างกำเริบเสิบสาน ถ้อยคำแม้ไม่หยาบคาย แต่ไม่เกรงใจและสบประมาทยิ่ง
เพิ่งเข้าประตูใหญ่คฤหาสน์ตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ก็ถูกชายหญิงเยาว์วัยเหล่านี้ขวางไว้อย่างเหิมเกริม นี่ทำให้หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ มองไปยังหลินต้าหงที่อยู่ด้านข้าง
ทว่าเห็นหลินต้าหงมีสีหน้าเคร่งเครียด ตวาดกลับไปว่า “เสวี่ยตง อย่าเสียมารยาท! หลินสวินเป็นแขกผู้มีเกียรติของพวกเราตระกูลหลินแห่งแสงอุดร รีบถอยไป ไม่อย่างนั้นได้เกิดเรื่องใหญ่แน่”
คุณชายชุดทองกลับไม่กลัวเกรงเลยแม้แต่น้อย พูดขึ้นอย่างโอหังว่า “ท่านอาต้าหง พวกข้ารู้อยู่แล้วว่าหลินสวินเป็นแขก แต่ข้าว่าเขาไม่เห็นวิเศษโสตรงไหน มีคุณสมบัติมาท้าสู้กับพี่เสวี่ยเฟิงได้อย่างไรเล่า”
“จริงด้วย สถานะของท่านพี่เสวี่ยเฟิงในตอนนี้ ใช่ว่าใครก็ท้าประลองได้เสียที่ไหน”
ชายหญิงคนอื่นก็คล้อยตามเซ็งแซ่
สีหน้าหลินต้าหงยิ่งบึ้งตึง เอ่ยว่า “ถ้าพวกเจ้ายังไม่ถอยไปอีก ก็อย่ามาว่าที่ข้ายึดกฎตระกูลมาจัดการพวกเจ้าก็แล้วกัน!”
เขาคาดไม่ถึงว่าเพิ่งรับหลินสวินเข้าคฤหาสน์มา ก็จะได้เจอเรื่องพรรค์นี้เข้าเสียแล้ว ถ้านี่ทำให้หลินสวินเข้าใจผิดไปคงวุ่นวายน่าดู
ความโอหังของชายหญิงกลุ่มนั้นพลันถูกยับยั้งลงไปไม่น้อย ทว่าคุณชายชุดทองยังคงคอตั้งบ่า กล่าวว่า “ท่านอาต้าหง ข้าไม่ได้ตั้งใจมาหาเรื่อง ขอเพียงเจ้าหนูนี่ผ่านด่านข้าไปได้ พวกเราจะเปิดทางให้เอง หาไม่แล้วต่อให้ถูกลงโทษตามกฎตระกูล วันนี้เขาก็อย่าได้หวังไปท้าทายท่านพี่เสวี่ยเฟิงอีกเลย!”
“เจ้า…”
หลินต้าหงโกรธจนหน้าเขียว แต่ก็จนใจ
คุณชายชุดทองตรงหน้าผู้นี้มีนามว่าหลินเสวี่ยตง เป็นน้องชายแท้ๆ ของหลินเสวี่ยเฟิง และเป็นบุตรชายคนรองของหัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรหลินไหวหย่วน
ด้วยฐานะของหลินต้าหง เขาไม่อาจทำอะไรได้
เห็นเพียงหลินเสวี่ยตงมองไปยังหลินสวินด้วยสีหน้าเอาเรื่องเต็มที “หลินสวิน ถ้าเจ้ากล้าก็อย่าทำให้ท่านอาต้าหงลำบากใจ เป็นไง กล้าประลองกับข้าสักรอบรึไม่”
ชายหญิงกลุ่มนั้นล้วนตื่นเต้นตะโกนร้องขึ้น
“เป็นชายก็ต้องรับคำท้าสิ!”
“แหม เจ้าเด็กนี่คงกลัวเสียแล้วกระมัง ก่อนหน้านี้ในเมืองไม่ได้ลือกันหรอกหรือว่าเขาเป็น ‘เจ้าตระกูลที่อ่อนแอที่สุดในนครต้องห้าม’ ไม่รู้ว่าสร้างเรื่องน่าขันไว้มากแค่ไหน”
“เจ้าตระกูลอะไรกัน อย่างเขาก็เป็นได้หรือ ไม่ได้รับการยอมรับจากพวกเรา เขาไม่มีทางสืบทอดภูเขาชำระจิตอย่างเต็มภาคภูมิตลอดกาล”
หลินสวินมองทุกอย่างด้วยสายตาเยือกเย็น มาถึงตอนนี้ก็แน่ใจประมาณหนึ่งแล้วว่า ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรนี้ คงมีคนจำนวนมากไม่ต้องการเห็นตนมาเยือน แม้แต่การประลองของตนกับหลินเสวี่ยเฟิงก็เต็มไปด้วยเสียงคัดค้านเสียด้วยซ้ำ
“หลินสวิน คือ…”
หลินต้าหงตั้งท่าจะอธิบาย หลินสวินก็ส่ายหน้าพลางยิ้มเล็กน้อย แสดงท่าทีไม่แยแส แล้วพูดว่า “จูเหล่าซาน เจ้าเปิดทางข้างหน้าให้ที”
แย่ล่ะ!
หลินต้าหงสะท้านใจ กลัวอะไรก็ได้เช่นนั้นจริงๆ เขาจะไปคิดได้อย่างไรว่าหลินสวินจะไม่พูดอะไรสักคำ แล้วส่งจูเหล่าซานคนน่ากลัวผู้นี้ออกมา
เมื่อแรกขึ้นภูเขาชำระจิตนั้น จูเหล่าซานอาศัยเพียงจิตสังหารก็บีบให้พวกเซียวเฟิ่งหรูทั้งสามคุกเข่าลงกับพื้นได้!
ฝีมือชั้นนั้น สะเทือนเลือนลั่นไปทั่วหล้า ถ้าครั้งนี้จูเหล่าซาน ‘ปฏิบัติหน้าที่อย่างรุนแรง’ คงน่ากลัวมาก
หลินต้าหงคิดจะยั้งไว้ก็สายไปก้าวหนึ่งเสียแล้ว
เงาร่างกำยำราวหอคอยเหล็กของจูเหล่าซานยืนตระหง่าน ใบหน้าหนวดเครารุงรังไม่แสดงสีหน้า เดินก้าวใหญ่ไปข้างหน้า
“หลินสวินเจ้า…”
หลินเสวี่ยตงตกใจระคนโกรธเคือง คิดว่าหลินสวินไร้ยางอายนัก ให้บริวารออกหน้า แต่ตัวเขาเองกลับขี้ขลาดตาขาวราวเต่าหดหัวในกระดอง ช่างไม่มีความกล้าเอาเสียเลย
เขาเพิ่งเอ่ยปาก ก็พลันรู้สึกราวกับทั้งร่างถูกมือใหญ่ที่มองไม่เห็นจับไว้อย่างโหดเหี้ยม แล้วโยนออกไปอย่างไร้ความปรานี กลิ้งกระดอนลงไปบนพื้นเสียงดังปึ้ง จะพยายามอย่างไรก็ลุกขึ้นยืนไม่ได้
ไม่เพียงหลินเสวี่ยตง กลุ่มชายหญิงที่ขวางทางด้านหน้านั้น ขณะนี้ล้วนถูกกระแทกจนตัวลอย แล้วล้มลงบนพื้นระเนระนาด
อย่าว่าแต่พยายามดิ้นรนเลย ขนาดแรงจะส่งเสียงร้องครวญครางยังไม่มี ราวถูกตรึงไว้ตรงนั้น ยับเยินอย่างที่สุด
ตั้งแต่เริ่มจนจบ จูเหล่าซานไม่ได้ขยับมือเลยแม้แต่น้อย ร่างกำยำของเขาก้าวมาข้างหน้า ท่าทีองอาจแฝงพลังที่ไม่มีใครเทียบเทียมต้านทานได้
“ท่านอา ไปเถิด”
หลินสวินยิ้มบาง ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
หลินต้าหงมุมปากกระตุกเกร็งไปเล็กน้อย ถอนใจยาวเฮือกหนึ่งก็เดินตามไป สิ่งเดียวที่ทำให้เขาดีใจคือจูเหล่าซานไม่ได้ลงมืออย่างโหดร้าย มิเช่นนั้นผลลัพธ์คงรุนแรงมาก
“นายน้อยปรานีมากแล้วขอรับ ตามกฎตระกูลแล้ว กล้ามาหยามเกียรติผู้นำตระกูล จุดจบคงยับเยินกว่านี้หลายเท่า”
หลินจงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งกล่าวเตือนเบาๆ ทำให้หลินต้าหงสะดุ้งไปทั้งตัว ยิ้มขื่นไม่หยุด นี่จะโทษใครได้เล่า
“หลินสวิน เจ้าคนต่ำทราม! คนไร้ยางอายเช่นเจ้าไม่คู่ควรได้ครอบครองภูเขาชำระจิตหรอก!”
เห็นหลินสวินเดินไกลออกไปเรื่อยๆ หลินเสวี่ยตงที่ล้มก้นจ้ำเบ้าอยู่บนพื้นลุกไม่ขึ้นก็ไม่รู้ว่าเอาแรงจากไหนตวาดด้วยเสียงกราดเกรี้ยว
เด็กหนุ่มพลันหยุดเดิน หันหน้ามายิ้มบางๆ พลางพูดว่า “ไม่ว่าเจ้าจะยอมรับหรือไม่ ภูเขาชำระจิตในตอนนี้ก็อยู่ในการควบคุมของข้า ข้าจะอภัยความไม่รู้ของเจ้าเมื่อครู่นี้ แต่ถ้าพวกเจ้ายังเอาความไม่รู้มาแปรเป็นความมั่นใจเข้าท้าทายข้าอีก ลงท้ายพวกเจ้าคงรับผลที่ตามมาไม่ไหวหรอก จำไว้ ไม่มีครั้งที่สองแล้ว”
พูดจบ เขาก็สาวเท้าก้าวใหญ่เดินออกไป
“เจ้า…”
หลินเสวี่ยตงกัดฟันกรอด ความรู้สึกผสมปนเปแยกแยะไม่ออก
เจ้าหนูนี่เพิ่งมาถึงตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ไม่รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน กลับต่อต้านแข็งกร้าวเช่นนี้ โอหังเป็นที่สุด!
ชายหญิงผู้อื่นก็มีสีหน้าดูไม่จืดยิ่งนัก เดิมพวกเขาตั้งใจมาหาเรื่องรังแกหลินสวิน ให้เขารับรู้ถึงความเก่งกาจ ใครจะคิดว่าหลินสวินไม่แยแสพวกเขาแต่แรกจนจบ แล้วใช้คนมากำราบขับไล่พวกตน น่ารังเกียจยิ่งนัก!
…
อาณาเขตใต้อาณัติของตระกูลหลินแห่งแสงอุดรช่างกว้างใหญ่ กินพื้นที่หลายสิบหมู่ รายล้อมด้วยศาลาอาคาร ลานสวนกว้างสุดลูกหูลูกตา ทิวทัศน์งดงามดังภาพวาด โอ่อ่าหรูหรา
ชัดเจนว่า นับแต่ย้ายออกจากภูเขาชำระจิต ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรก็ดำรงชีวิตได้อย่างดี
“พวกเราจะไปไหนหรือ” หลินสวินถาม
“ลานฝึกยุทธ์”
หลินต้าหงอธิบาย “คนในตระกูลมากมายล้วนรู้ว่าเจ้าจะมาวันนี้ จึงไปรอที่นั่นก่อนแล้ว ครั้งนี้ การประลองของเจ้ากับเสวี่ยเฟิงก็จะเกิดขึ้นที่นั่นเช่นกัน”
หลินสวินส่งเสียงอืม พลันพูดขึ้น “ตอนนี้ในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรคงมีหลายคนที่ไม่ยอมรับฐานะของข้าสินะ”
หลินต้าหงใจเต้นรัว อย่าว่าแต่ไม่ยอมรับ หนำซ้ำยังต้องการชิงอำนาจใหญ่โตในมือเจ้าไปเหมือนพวกธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุสามตระกูลรองนั้น
แน่ล่ะ หลินต้าหงไม่อาจพูดเช่นนี้ออกไปได้ เขาเพียงยิ้มอย่างจนใจแล้วพูดว่า “เจ้าเองมาเยือนครั้งแรก ยังโน้มน้าวให้คนเชื่อถือได้ยาก แต่อย่าได้กังวลไป ในเมื่อผู้ใหญ่ในตระกูลมอบโอกาสนี้ให้เจ้าแล้ว ถ้าเอาชนะได้ อาจทำให้ความคิดของคนในตระกูลที่มีต่อเจ้าเปลี่ยนไปไม่น้อย”
หลินสวินฟังออกว่าหลินต้าหงที่ไม่ได้พูดอย่างที่คิด แต่ก็ไม่คิดเปิดโปง กล่าวขึ้นว่า “เช่นนี้ก็ดี ที่จริงจุดประสงค์ที่ข้ามามีเพียงอย่างเดียวคือต้องการพบท่านปู่ห้าเท่านั้น”
หลินต้าหงสะอึก กล่าวเตือนว่า “หลินสวิน ความคิดเจ้าดีก็จริง แต่สิ่งที่ต้องพูดถึงก่อนก็คือเจ้าต้องผ่านด่านเสวี่ยเฟิงได้ก่อน ถึงตอนนั้นเจ้าต้องพึ่งตัวเอง คนนอกช่วยอะไรไม่ได้แล้ว”
พูดพลันเหลือบไปมองจูเหล่าซานที่อยู่ข้างหน้า
เห็นชัดว่าเขาเองก็ไม่ได้เห็นชอบกับการประลองระหว่างหลินสวินกับหลินเสวี่ยเฟิงแต่อย่างใด
เด็กหนุ่มย่อมฟังเข้าใจ เขาไม่อธิบายอะไร เพียงยิ้มให้
ทว่าเดินไปข้างหน้าไม่นานนัก ก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นอีก
ชายสวมชุดสีหยกหน้าถมึงทึงผู้หนึ่งขวางทางข้างหน้าอยู่ ยามเห็นหลินต้าหงก็ตะคอกใส่หน้าว่า “ต้าหง เจ้าเป็นอาประสาอะไร เหตุใดถึงให้คนนอกมากลั่นแกล้งลูกหลานในตระกูลได้”
ประโยคเดียวก็ทำให้ประจักษ์แล้วว่า ชายชุดสีหยกผู้นี้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นกับพวกหลินเสวี่ยตงแล้ว
หลินต้าหงไม่ทันเอ่ยปากชี้แจง ชายชุดสีหยกผู้นั้นก็ทอดสายตาคมปลาบราวสายฟ้ามองมาที่หลินสวินอย่างเย็นเยียบ “เจ้าคือหลินสวินเองหรือ อายุยังเยาว์ แต่นิสัยใจคอก้าวร้าวเสียจริง! หากเจ้าก้มหัวขอโทษเสียตอนนี้ ข้าจะอภัยที่เจ้าเสียมารยาทไป มิเช่นนั้นตระกูลหลินแห่งแสงอุดรของข้าคงไม่เปิดประตูต้อนรับเจ้า!”
ถ้อยคำวาจาอุกอาจ
ชั่วขณะนี้หลินสวินก็ขมวดคิ้วขึ้นในที่สุด พลันพูดว่า “ท่านอา ท่านนี้คือ?”
“หลินต้าเชียน ตามศักดิ์แล้วเป็นท่านลุงของเจ้า”
หลินต้าหงแนะนำ “หลินสวิน เจ้าอย่าได้สร้างเรื่องอีกเลย”
ไม่รู้ว่าหลินสวินรับฟังหรือไม่ ดวงตาสงบนิ่งมองดูหลินต้าเชียน ครู่หนึ่งจึงยิ้มให้แล้วพูดว่า “ครู่นี้ที่พวกหลินเสวี่ยตงกล้าท้าทายข้าซึ่งหน้า ท่านเป็นคนยุยงอยู่เบื้องหลังใช่หรือไม่”
หลินต้าเชียนหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย พลันพูดขึ้นอย่างขัดเคืองว่า “เจ้าหนู เจ้าไม่รู้จักสำนึกที่เสียมารยาท หนำซ้ำยังไม่ลดราวาศอก พ่นวาจาร้ายกาจออกมาอีก!”
หลินสวินไม่อยากแยแสอีก พูดขึ้นว่า “จูเหล่าซาน…”
คำนี้จะกลายเป็นคำติดปากของหลินสวินเสียแล้ว แต่ทำให้หลินต้าหงใจเต้นระส่ำระส่ายทุกครั้ง เขาร้องตะโกนเสียงหลง “อย่าเชียวนะ!”
ทันใดนั้นเขาเข้ามาขวางร่างจูเหล่าซานไว้ พลางตวาดใส่หลินต้าเชียน “พี่ต้าเชียน ยังไม่ถอยไปอีกหรือ”
“ข้า…”
หลินต้าเชียนมิได้เบาปัญญา มองปราดเดียวก็ดูออกว่า ‘จูเหล่าซาน’ ที่ว่านั้นต้องเป็นตัวละครที่ร้ายกาจเกินใคร
“เจ้าหนู ฝากไว้ก่อนเถอะ!” ในที่สุด หลินต้าเชียนก็โกรธหน้าเขียว สะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป
หลินสวินยิ้มมองเงาร่างของอีกฝ่ายลับหายไป ปากก็เอ่ยออกมาสี่คำว่า “รนหาที่เอง!”