Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 353
รนหาที่เอง!
เมื่อได้ยินหลินสวินวิจารณ์เช่นนี้ หลินต้าหงก็อดยิ้มขื่นไม่ได้ หลินสวินก็แข็งกร้าวนัก เอะอะก็เรียกขาน ‘จูเหล่าซาน’ แต่ที่นี่คืออาณาเขตตระกูลหลินแห่งแสงอุดรนะ!
เขาไม่กังวลว่าจะชักนำเภทภัยมาสู่ตนเลยหรือไง
หลินสวินไม่กังวลใจจริงๆ ตอนนี้สถานการณ์ของเขาย่ำแย่พออยู่แล้ว ถ้าวางตัวขี้ขลาดอีกก็รังแต่จะทำให้ถูกกลั่นแกล้งรุนแรงยิ่งขึ้น
ถ้าครั้งนี้เขาสามารถโน้มน้าวให้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรสนับสนุนได้ ย่อมเป็นเรื่องดียิ่ง ถ้าทำไม่ได้ หลินสวินก็ไม่สนใจแล้ว
ก่อนหน้านี้ก็ล้วนเป็นปฏิปักษ์กับธารประจิม คานเมฆา ยอดวายุอยู่แล้ว กับแสงอุดรก็ไม่ต่างอะไรกัน
แน่ล่ะ นี่เป็นผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด
หลินสวินหวังยิ่งกว่าว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะไม่บีบคั้นให้ตนอึดอัดจนเกินไป
ยังดีที่ระหว่างทางต่อมาไม่ได้พบกับเรื่องราวยุ่งยากอีก ไม่นานนักด้วยการนำทางของหลินต้าหง หลินสวินก็มาถึงลานฝึกยุทธ์อย่างราบรื่น
นี่เป็นลานประลองใหญ่โต กินพื้นที่กว้างขวางยิ่ง พื้นลานปูทับด้วยหินเหล็กกล้าแข็งแรง ทั้งประดับประดาด้วยรอยสลักวิญญาณ ไม่ธรรมดา
ขณะนี้บริเวณลานฝึกยุทธ์นั้นคลาคล่ำไปด้วยฝูงชนหนาแน่น ทั้งชายทั้งหญิง ทั้งแก่ทั้งเด็ก กะคร่าวๆ แล้วมีหลักพัน!
หลินสวินพลันตกตะลึง “เหตุใดคนเยอะขนาดนี้
หลินต้าหงกล่าวอธิบาย “คนในตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจริงๆ มีเพียงหลักร้อย ที่เหลือโดยมากเป็นญาติสายนอกกับญาติต่างสกุล”
เด็กหนุ่มร้องอ้อ จิตใจยังคงสับสน ตระกูลหลินสายตรงถ้าไม่ถูกสังหารไปตอนนั้น คนในตระกูลคงมีมากขึ้นไปอีก
“รีบดูสิ เจ้าเด็กนั่นคงเป็นหลินสวิน!”
“หึ! ท่านลุงต้าเชียนบอกว่าเจ้าเด็กนี่เพิ่งไปรังแกผู้อื่นมา ขนาดท่านลุงต้าเชียนยังไม่เคารพ ก้าวร้าวเสียจริง”
“เขากล้ามารึนี่ เฮอะ! ไม่รู้เรื่องอะไรเลยทำใจกล้าได้ล่ะสิ!”
“ไม่รู้ว่าผู้เฒ่าเป่ยกวงไปเห็นอะไรในตัวเจ้าเด็กนี่จริงๆ ทั้งยังจัดการประลองของพี่เสวี่ยเฟิงกับมันขึ้น ยกยอมันมากไปแล้ว!”
ครานี้กลุ่มคนที่กระจายอยู่บริเวณลานฝึกยุทธ์ก็ล้วนได้เห็นหลินสวินแล้ว พลันเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ขึ้น
เพียงได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เต็มไปด้วยความดูถูก ขัดเคือง โกรธเกรี้ยวและเหยียดหยาม ก็รู้ว่าคนในตระกูลส่วนมากไม่พอใจที่หลินสวินมาเยือนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในครั้งนี้
หลินสวินแม้คาดการณ์ไว้แต่แรกแล้ว แต่เมื่อได้มาเห็นกับตาก็ยังประหลาดใจอยู่บ้าง
“หลินสวิน ขอเจ้าอภัยให้เถิด อย่าได้โมโหไปเลย ถ้าก่อปัญหาใหญ่โตเข้า ต่อให้ผู้เฒ่าเป่ยกวงผู้นั้นออกหน้าก็ไร้ประโยชน์”
หลินต้าหงเอ่ยเสียงเบา มีน้ำเสียงขอร้องอยู่ในที เขาคงถูกวิธีการแข็งกร้าวที่หลินสวินใช้ก่อนหน้านี้ทำให้ตกใจกลัว เกรงว่าหลินสวินจะบันดาลโทสะขึ้นมาอีก
“อืม ไม่ทำหรอก” หลินสวินยิ้มให้อย่างใจเย็น
แต่ยิ่งเขาทำเช่นนี้ ใจหลินต้าหงยิ่งสับสน อดยิ้มขื่นไม่ได้ เจ้าเด็กนี่…ไม่รู้ไปได้ความกล้าขนาดนี้มาจากไหน
ยังดี ไม่นานนักก็มีคนมาช่วยแก้ไขสถานการณ์ให้หลินต้าหง
นั่นคือชายวัยกลางคนสวมชุดสีม่วง ผมเผ้าหนวดเคราดำขลับ ดวงตาลึกล้ำราวน้ำลึก ท่าทางสงบนิ่งสง่างาม
เขาเดินก้าวใหญ่มาอยู่ตรงหน้าหลินสวิน เหลือบมองจูเหล่าซานกับหลินจง แล้วจึงมองไปทางหลินสวินพลางพูดว่า “หลินสวินรึ?”
หลินต้าหงที่อยู่ด้านข้างรีบแนะนำ “หลินสวิน ท่านผู้นี้ก็คือหลินไหวหย่วน หัวหน้าตระกูลหลินแห่งแสงอุดร เป็นท่านลุงของเจ้า”
“คาราวะท่านลุง” หลินสวินกุมมือคารวะ
“อืม ในเมื่อมาแล้วก็หมายความว่าเจ้าเตรียมตัวพร้อมประลอง ในตอนนี้เจ้าสามารถรอที่ลานฝึกยุทธ์ได้ อีกสักครู่เสวี่ยเฟิงก็มาแล้ว” หลินไหวหย่วนยังเคร่งขรึมผ่าเผยดังเดิม ไม่ยินดียินร้าย ทำให้ผู้อื่นอ่านความรู้สึกในใจเขาไม่ออก
“ได้ขอรับ” หลินสวินพยักหน้ารับ
หลินไหวหย่วนเมื่อเห็นหลินสวินตอบรับอย่างเต็มใจ กลับตะลึงไป ดวงตาอดจับจ้องเขาไม่ได้ กล่าวว่า “ทำตามความสามารถของตน ถ้ารับไม่ไว้ จะออกปากยอมแพ้ก็ย่อมได้ ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรแห่งนี้ไม่มีใครว่าอะไรเจ้าหรอก”
หลินสวินยิ้มพลางพูดว่า “ขอบคุณท่านลุงอย่างยิ่งที่กล่าวเตือน”
ตั้งแต่ต้นจนจบ หลินสวินประพฤติตนอย่างมีมารยาท ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ ออกไป
“ไปเถอะ” หลินไหวหย่วนไม่พูดอะไรอีก
จากนั้นหลินสวินส่งสัญญาณให้หลินจงกับจูเหล่าซานรออยู่ด้านข้างฝั่งหนึ่ง ส่วนเขาเดินไปทางลานฝึกยุทธ์เพียงลำพัง
ฝูงชนที่รออยู่บริเวณลานฝึกยุทธ์เห็นเช่นนี้ก็พลันเดือดดาล ส่งเสียงอึกทึกครึกโครม
“รีบมาดูสิ เจ้าเด็กนี่ยังกล้าตอบรับคำท้าประลอง!”
“หึ! นี่สิถึงเรียกว่าผู้ไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่หวั่นกลัว ถ้าเขารู้ถึงความเก่งกาจของเสวี่ยเฟิง น่ากลัวจะเสียใจที่เต็มใจรับคำท้าเช่นนี้”
“เหอะๆ แต่อย่างนี้ก็ดี เจ้าเด็กนี่อ้างตนว่าเป็นผู้ถือครองภูเขาชำระจิต ทำให้ข้าไม่พอใจนัก ถ้าเสวี่ยเฟิงสั่งสอนมันได้อย่างโหดเหี้ยม นั่นคงดีเหลือเกิน”
เสียงเปี่ยมไปด้วยความเย้ยหยันดูถูกเซ็งแซ่ขึ้นไม่หยุดหย่อน
ท่ามกลางเสียงอื้ออึงนั้น เงาร่างสูงสง่าของหลินสวินเดินออกมาโดยลำพัง สีหน้าราบเรียบ ท่าทางสงบนิ่งราวกับไม่ได้รับผลกระทบใดทั้งสิ้น
เมื่อมาถึงกลางลานฝึกยุทธ์ หลินสวินก็หยุดเดินอย่างเงียบเชียบ นิ่งพิจารณาสติ ราวนักพรตชราเข้าฌาน
ท่าทางสงบนิ่งนี้ทำให้คนจำนวนมากอดแปลกใจไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นเป็นคนหนุ่มคนอื่น เกรงว่าจิตใจว้าวุ่นไปแล้ว
ทว่าหลินสวินกลับไม่เป็นเช่นนั้น
แต่คนส่วนใหญ่ต่างเห็นว่าหลินสวินแค่แสร้งทำเท่านั้น ด้วยอย่างไรก็เป็นแค่เด็กหนุ่มขั้นผสานฟ้า ต่อให้จิตใจสงบนิ่งขนาดไหน เมื่อเผชิญหน้ากับหลินเสวี่ยเฟิงผู้กล้าไร้เทียมทานชั้นนี้ คงพ่ายแพ้เป็นแน่!
ท่าทางเช่นนี้ของเขากลับเหมือนปล่อยเลยตามเลยไม่สนใจแล้วมากกว่า
“เฮ้ย เจ้าหลินสวินคนนั้นน่ะ ข้าว่าเจ้ายอมแพ้เองเถอะ อย่างเจ้าน่ะหรือกล้าหลงผิดท้าทายท่านพี่เสวี่ยเฟิง ไม่รู้อันตรายเสียงจริง” เด็กสาวผู้หนึ่งส่งเสียงหึหยัน
“ถ้าข้าเป็นเจ้าคงไม่รนหาเรื่องใส่ตัวเช่นนี้แน่ ถ้าเจ้ามีปัญญาก็ยอมแพ้แต่โดยดีเสีย ทุกคนจะได้มองเจ้าดีขึ้นมาบ้าง”
แต่ไม่ว่าคำเสียดสีถากถางจะบาดหูอย่างไร หลินสวินก็ยังยืนนิ่งไม่ไหวติง
หลินจงที่อยู่ไกลๆ สีหน้าหนักอึ้ง ในใจทั้งเจ็บปวดทั้งอับจน ถ้าอำนาจตระกูลหลินสายตรงยังอยู่ ใครจะกล้าลบหลู่นายน้อยเช่นนี้ เจ้าคนสายตระกูลรองพวกนี้ทำเกินไปแล้ว!
ขนาดหลินต้าหงยังสลดใจ เขาไม่ได้ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมให้หลินสวิน แต่ห่วงว่าหลินสวินจะทนการลบหลู่เช่นนี้ไม่ได้แล้วคลุ้มคลั่ง
มีเพียงจูเหล่าซานผู้เดียวที่ยืนนิ่งราวรูปปั้นอยู่อย่างนั้น เงียบเชียบไร้เสียง ไม่มีใครสังเกตเลยว่า ยามดวงตาของเขากวาดมองหลินสวินที่ยืนอยู่กลางลานเพียงลำพังและรับเสียงดูถูกถากถางทั้งมวลนั้น ส่วนลึกของดวงตาเขาฉายแววประหลาดโดยไม่ได้รู้ตัว
“ขออภัยทุกท่าน เสวี่ยเฟิงมาช้าไปหน่อย” ทันใดนั้น เสียงสดใสดังขึ้นจากที่ไกลๆ
เพียงประโยคเดียวเท่านั้นก็ทำให้ฝูงชนในลานฮือฮา แต่ละคนแสดงสีหน้าตื่นเต้นและชื่นชม โห่ร้องไม่หยุดหย่อน เด็กหญิงบางคนถึงกับกรีดร้องอย่างคนเสียสติ
“ท่านพี่เสวี่ยเฟิง ท่านพี่เสวี่ยเฟิงมาแล้ว!
“ฮ่าๆๆ มีละครฉากใหญ่ให้ดูแล้วสิ ไม่กี่วันก่อนในการทดสอบระดับอาณาจักร ท่านพี่เสวี่ยเฟิงแสดงความสามารถไม่เป็นสองรองใคร ทั้งเลื่อนระดับโดยราบรื่น เทียบกับหลินสวินผู้นี้ก็เหมือนจำอวดชั้นเลวไม่ควรค่ากับเสียงหัวเราะ”
พลันเห็นสายรุ้งวิเศษที่ราวกับสร้างขึ้นจากภาพมายาละอองฝนทอขึ้นกลางอากาศ ทาบทับขอบฟ้า เด็กหนุ่มในชุดขาวผู้หนึ่งเดินมาบนสายรุ้งวิเศษนี้
บนศีรษะสวมเกี้ยวขนนก คิ้วตรงเชิดขึ้นราวกระบี่ ดวงตาสุกสกาวราวดวงดาว ทั้งร่างอวลไปด้วยไอละอองฝน เยื้องย่างบนท้องฟ้า ท่วงท่าไม่ธรรมดา
บางคนแค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่คนทั่วไป เช่นหลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ตรงหน้า เพียงบุคลิกเช่นนั้นก็พิเศษเกินคนทั่วไปยิ่งนัก
สวบ!
ร่างของเขาลอยเข้ามากลางลาน ราวกับนกกระสาร่อนลงมากลางฝูงระกา ในลานมีเสียงร้องยินดีสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นรอบแล้วรอบเล่า
“ไม่ได้พบหลายปี เจ้าหนูเสวี่ยเฟิงผู้นี้ก็โตขึ้นแล้ว เพียงแต่เปิดเผยแสดงความสามารถมากไป น่ากลัวว่าภายภาคหน้าจะถูกขัดขวางไม่น้อย” หลินจงเอ่ยเสียงแผ่วเบาจากที่ไกลๆ
“หลินจง เจ้าพูดอะไรน่ะ!” หลินต้าหงเบิกตากว้าง ตวาดขึ้น เขาไม่กล้าตวาดหลินสวิน แต่กับหลินจงบ่าวชราผู้นี้กลับไม่เห็นหัว
หลินจงยิ้มฝืน แต่ก็ไม่แก้ตัว
เวลานี้หลินสวินก็เงยหน้ามองไปทางหลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง
มองปราดเดียวก็รู้ว่าอีกฝ่ายมีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณอย่างไม่ต้องสงสัย พลังที่อยู่ภายในสะท้อนออกมาภายนอกหมุนวนอยู่รอบตัว ดูคุกคามอย่างยิ่ง
“เจ้าคือหลินสวินสินะ ให้เจ้ารอนานเลย”
ดวงตาหลินเสวี่ยเฟิงมองไปยังหลินสวิน พลางเอ่ยปาก เสียงอื้ออึงในลานพลันเงียบลง ขับเน้นให้อำนาจของหลินเสวี่ยเฟิงยิ่งดูเลิศลอย
“ไม่เป็นไร” หลินสวินโพล่งออกมา
“ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นบุตรชายสายตรงของท่านอาเหวินจิ้ง ในเมื่อพวกเราเป็นญาติรุ่นเดียวกัน ข้ามีเรื่องหนึ่งอยากพูดกับเจ้า” หลินเสวี่ยเฟิงเอ่ยเสียงเบา
“พูดได้เลย” หลินสวินกล่าว
“ในใจข้าคิดมาตลอดว่า อยากนำพาตระกูลหลินย้ายกลับไปอยู่ที่เขาชำระจิต ฟื้นฟูให้กลับมารุ่งเรืองดังเก่า รวมถึงช่วยล้างแค้นให้สายตระกูลเจ้าด้วย”
หลินเสวี่ยเฟิงน้ำเสียงสดใส กังวานเปี่ยมอำนาจ “ท่านทวดปลูกฝังข้ามาเช่นนี้ ไม่ให้ข้าลืมความแค้นอัปยศในวันนั้น ในเมื่อตอนนี้เจ้ากลับมาแล้ว คงให้โอกาสข้าอย่างไม่ต้องสงสัย!”
หลินสวินเลิกคิ้วแล้วพูดว่า “โอกาสอะไรหรือ”
หลินเสวี่ยเฟิงดวงตาฉายแวววาวโรจน์ราวสายฟ้า จ้องหลินสวิงเขม็ง พูดชัดถ้อยชัดคำว่า “โอกาสได้ขึ้นครองภูเขาชำระจิต รวมตระกูลหลินกลับมาเป็นหนึ่งอย่างไรเล่า!”
เสียงก้องกังวานลำพองใจพาให้ทั้งลานไชโยโห่ร้อง
หลินไหวหย่วน หลินต้าเชียนและคนอื่นๆ ที่อยู่ไกลออกไปต่างยิ้มอย่างยินดีอย่างห้ามไม่อยู่ ขนาดหลินต้าหงยังพยักหน้าไม่หยุด
หลินจงกลับมีสีหน้าหม่นหมองถึงที่สุด วาจาไพเราะแต่ใจคอร้ายกาจนัก ต้องการชิงสิทธิ์ในการสืบทอดจากนายน้อยไปชัดๆ!
ทว่าหลินสวินกลับยิ้มแล้วพูดว่า “ปณิธานของท่านใหญ่โตนัก ข้าก็มีเรื่องอยากพูดกับท่านเช่นกัน เกิดเป็นคน ต้องยับยั้งความใฝ่สูงเกินตัว”
หลินเสวี่ยเฟิงขมวดคิ้ว ไม่ทันเอ่ยปาก ฝูงชนโดยรอบก็ทนไม่ไหวต่อว่าออกมา
“เจ้าหนูนี่ มันพูดอะไรของมันกัน”
“บังอาจ! พูดอย่างนี้ได้อย่างไร”
“พี่เสวี่ยเฟิง อย่าไปต่อล้อต่อเถียงกับคนพรรค์นี้เลย ลดตัวเสียเปล่าๆ!”
หลินเสวี่ยเฟิงโบกมือ ระงับเสียงอึกทึกที่ดังขึ้นในลาน สีหน้าสงบนิ่งมองดูหลินสวิน แล้วพูดขึ้น “เจ้าไม่จำเป็นต้องต่อต้านเช่นนี้ ข้าถือเป็นพี่เจ้า ไม่มีทางให้เจ้าถูกปฏิบัติอย่างเย็นชา กลับกัน เพียงเจ้ายกภูเขาชำระจิตให้ ข้าจะให้เจ้าได้รับตำแหน่งและสถานะเช่นเดียวกับสมาชิกในตระกูลคนอื่นๆ ทั้งจะช่วยเจ้าแก้แค้นอีกด้วย”
ฉับพลันสีหน้าของเขาก็ปรากฏสายตาโอหังมั่นใจในตนเอง แล้วพูดต่อว่า “นี่เป็นใจจริงของข้า เจ้าก็น่าจะรู้ ไม่ว่าด้านไหน ข้าก็เหมาะสมรับช่วงต่อภูเขาชำระจิตมากกว่าเจ้า!”
วาจานี้เอ่ยออกมาอย่างหนักแน่นน่ายำเกรง ราวกับไตร่ตรองแทนหลินสวินและคนทั้งตระกูลหลินแล้ว ยังให้ฝูงชนที่รายล้อมอยู่อดไชโยโห่ร้องไม่ได้
หลินสวินนิ่งเงียบ ลึกไปในดวงตาสีดำมีกระแสลมเย็นเยียบโหมพัดอยู่รำไร