Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 357
ภายในลานเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าพูดอะไร ในใจต่างเต็มไปด้วยความตะลึง
แม้แต่จูเหล่าซานที่เย็นชานิ่งขรึม ยามนี้ยังเผยสีหน้าหวั่นไหว ส่วนลึกของสายตาสาดประกาย เห็นได้ชัดว่าอารมณ์ไม่มั่นคงอย่างมาก
เท่าที่เขารู้ คนที่หยัดดาบยืนมั่น อาศัยเพียงพลังปราณก็ชักนำให้เกิดปรากฏการณ์ประหลาดจากฟากฟ้ายามบรรลุขั้นเหมือนกับหลินสวินนั้นมีน้อยมาก
มีเพียงแค่ในอดีตโบราณ จึงมีเรื่องราวอันเป็นตำนานเช่นนี้ปรากฏ
น่าทึ่งเกินไปแล้ว
ต่อให้ไม่พูดว่าเป็นที่หนึ่งตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แต่อย่างน้อยก็ไม่มีใครเสมอเหมือน!
สีหน้าของหลินไหวหย่วนที่อยู่ห่างออกไปเผยความสับสน หว่างคิ้วแฝงความตะลึงและดูอึมครึมอย่างไม่อาจควบคุมได้
ครั้งนี้หลินสวินแสดงฝีมือออกมาได้อย่างน่าทึ่งเหลือเกิน บาดเจ็บหนักจนยากจะสู้ต่อแล้วแท้ๆ ใครจะคิดว่าเขาสามารถบรรลุพลังปราณไปอีกขั้นด้วยวิธีที่แข็งแกร่งเพียงนี้ต่อหน้าทุกคน
รุ้งศักดิ์สิทธิ์ที่ปรากฏบนท้องฟ้า พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม…
ช่างเหมือนกับในตำนาน!
เมื่อเทียบกันแล้ว ลูกชายของเขาหลินเสวี่ยเฟิงด้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด
ภายในลานฝึกยุทธ์หลินสวินลืมตาขึ้น ชั่วพริบตานั้นราวกับมีสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์สีฟ้าอ่อนปรากฏภายในนัยน์ตาเขาแล้วสะท้อนสู่ท้องนภา อัศจรรย์เกินคาดเดา
ตอนนี้พลังวิญญาณในตัวเขาราวกับผืนน้ำกว้าง ร่างกายและจิตวิญญาณใสสะอาด ผิวพรรณเปล่งประกาย ในห้วงนิมิตสว่างสดใส มีดวงดาวแห่งจิตเจ็ดร้อยยี่สิบดวงแขวนอยู่
ดวงดาวแห่งจิตมากกว่าปกติเป็นสิบเท่า!
นี่ก็หมายความว่าหลังจากบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว พลังแห่งจิตวิญญาณของหลินสวินแข็งแกร่งกว่าเดิมหลายเท่าตัว
หลินสวินสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังระหว่างฟ้าดินและปราณของตัวเองได้ผสานเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่เหมือนกับตอนอยู่ในขั้นผสานฟ้าแห่งระดับจิตผสานวิญญาณเลยสักนิด
พลังของเขาได้ก้าวไปสู่ขั้นใหม่อีกขั้น โลกที่เห็นก็ดูแตกต่างไปจากเดิม มีความงดงาม ความศักดิ์สิทธิ์และการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ที่ผ่านมาไม่เคยสังเกต
ดังเช่นการมองไปยังเมฆบนฟากฟ้าในตอนนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกเหมือนเกินเอื้อมเหมือนที่ผ่านมาแล้ว ตรงกันข้าม ขอเพียงเขาต้องการ ขอเพียงแค่มีความปรารถนา ก็สามารถขึ้นไปเหยียบได้!
นี่ก็คือระดับมหาสมุทรวิญญาณ!
ระดับที่ทุบกำแพงภายในดวงจิตและกายหยาบธรรมดาอย่างสิ้นเชิงและหลุดพ้นจากความเป็นมนุษย์โลกสามัญ ไม่ได้ถูกจำกัดพื้นที่เพียงบนพื้นดิน แต่เริ่มโอบกอดท้องฟ้าและท่องไปสู่จักรวาล!
สำหรับผู้ฝึกปราณแล้ว ก้าวนี้ถึงจะเป็นก้าวที่พิเศษที่สุดท่ามกลางหนทางแห่งการฝึกตน ก้าวออกไปเพียงก้าวเดียวก็เป็นความแตกต่างระหว่างฟ้าดิน
หลินสวินกำลังรับสัมผัสของตนเงียบๆ ภายในลานเงียบสนิทไม่มีใครกล้าส่งเสียงฮือฮา ราวกับไม่มีใครกล้าทำลายบรรยากาศอันเคร่งขรึมนี้
สุดท้ายหลินสวินก็เก็บความคิด เป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน
สายตาของเขามองไปที่หลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ห่างออกไป พลันพูด “ไม่มากไม่น้อย หนึ่งก้านธูปพอดี หากเจ้าไม่ยอมแพ้ก็สู้กันต่อเถอะ”
น้ำเสียงราบเรียบ แต่เมื่อผนวกกับอานุภาพแห่งฟ้าดินที่เขาชักนำให้เกิดตอนบรรลุปราณเมื่อครู่นี้แล้ว ทำให้คำพูดนี้แฝงความน่าเกรงขามไปโดยปริยาย
ได้ยินเช่นนี้ หลินเสวี่ยเฟิงเหมือนตื่นจากฝัน ตื่นจากความตะลึงอันว่างเปล่า มองหลินสวินที่อยู่ตรงหน้าแล้ว เขารู้สึกพ่ายแพ้อย่างบอกไม่รู้และไม่ทราบสาเหตุ สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่มั่นคง
สีหน้าของทุกคนก็ดูแปลกไปเช่นกัน
จะสู้อย่างไรต่อ?
ก่อนหน้านี้ตอนที่หลินสวินยังไม่ทะลวงขั้นยังสามารถทำให้หลินเสวี่ยเฟิงบาดเจ็บได้
ตอนนี้เขาได้บรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว อีกทั้งตอนที่บรรลุก็เกิดปรากฏการณ์อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ในสถานการณ์นี้หลินเสวี่ยเฟิงจะยังใช่คู่ต่อสู้ของเขาอีกหรือ?
แม้ในใจจะไม่จำยอม แต่ทุกคนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า การประลองในครั้งนี้รู้ผลตั้งแต่ตอนที่หลินสวินบรรลุพลังปราณแล้ว
“เสวี่ยเฟิง ถอยไปเถอะ”
เสียงทอดถอนหายใจของหลินไหวหย่วนดังจากบริเวณที่ไกลออกไป
“ข้า…” หลินเสวี่ยเฟิงสับสน สุดท้ายก็ส่ายหน้า ก่อนจะประสานมือคารวะหลินสวิน “ข้า…สู้เจ้าไม่ได้!”
พูดจบเขาก็หมุนตัวเดินจากไป
เขายอมแพ้ตรงๆ แบบนี้ ทำให้หลินสวินแปลกใจไม่น้อย ในใจอดชื่นชมหลินเสวี่ยเฟิงไม่ได้
เห็นเช่นนี้ทุกคนล้วนเผยสีหน้าสับสนอย่างกลั้นไม่อยู่
ก่อนหน้านี้หลินสวินเป็นคนที่ถูกพวกเขาหาเรื่อง ปฏิเสธและเย้ยหยัน คิดว่าเขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ถึงขั้นที่บีบให้หลินสวินมอบอำนาจการปกครองภูเขาชำระจิต
แต่ตอนนี้หลินสวินใช้ความจริงที่ราวกับเหล็กกล้ายืนยันว่า อย่างน้อยๆ ในเรื่องของความสามารถและพลังปราณ แม้แต่บุคคลที่พวกเขายกย่องให้เป็นผู้ถูกเลือกอย่างหลินเสวี่ยเฟิงยังด้อยกว่าหลินสวินไปหนึ่งขั้น!
นี่ก็เหมือนการตอกกลับอย่างไร้เสียง ทำให้ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก
“หลินสวิน เจ้าตามข้ามา”
หลินไหวหย่วนที่อยู่ห่างออกไปส่งเสียงอีกครั้ง สีหน้ากลับคืนสู่ความน่าเกรงขามแล้ว
หลินสวินรู้ทันทีว่า การชนะการประลองในครั้งนี้ทำให้เขาได้มีโอกาสเข้าพบท่านปู่ห้าหลินเป่ยกวงแล้ว!
……
หลินสวินและหลินไหวหย่วนเดินเคียงข้างกันไปบนทางเดินเศษหินอันเงียบสงบ
หลินจงและจูเหล่าซานไม่ได้ตามมาด้วย เพราะคนที่หลินสวินกำลังจะไปพบเป็นบุคคลระดับตำนานของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
“ก่อนที่เจ้าจะมา ข้าทุ่มเททุกอย่างกับเสวี่ยเฟิง หวังว่าเขาจะสามารถเติบโตขึ้นมาแบกรับภาระอันหนักหน่วงในการกอบกู้ตระกูลหลิน”
ระหว่างทางหลินไหวหย่วนพูดขึ้นช้าๆ “คนทั้งตระกูลหลินแห่งแสงอุดรต่างคิดว่า ด้วยพรสวรรค์ของเสวี่ยเฟิง ในอนาคตย่อมสามารถเติบโตเป็นคนที่เก่งกาจ แก้ไขปัญหาภายในของตระกูลหลิน หวนคืนสู่ภูเขาชำระจิตได้”
“เพราะฉะนั้นพอรู้ว่าเจ้าโผล่ออกมา หลายคนก็รับไม่ได้และไม่สามารถก้มหัวให้ได้ เพราะถ้ายอมรับฐานะของเจ้า ก็เท่ากับทำให้เสวี่ยเฟิงต้องสูญเสียอะไรมากมาย”
หลินสวินฟังเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไรมาก
“แต่ใครจะคิดว่าเจ้าจะมีความสามารถและพรสวรรค์ที่เก่งกาจกว่าและโดดเด่นกว่าเสวี่ยเฟิง” หลินไหวหย่วนถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า “บางทีนี่อาจจะเป็นโชคชะตาของเสวี่ยเฟิง”
“ข้าไม่เคยเชื่อเรื่องโชคชะตา” จู่ๆ หลินสวินก็พูดจาแปลกๆ
หลินไหวหย่วนอึ้งงันไป ก่อนส่ายหน้าพูด “ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องพวกนี้แล้วกัน เสวี่ยเฟิงเป็นคนชอบเอาชนะ แต่จิตใจดี หวังว่าเจ้าจะไม่ถือสาเรื่องที่เกิดขึ้นในสนามประลอง”
หลินสวินจึงพูด “ในฐานะคนตระกูลหลินด้วยกัน แน่นอนว่าข้าจะไม่ถือสาเรื่องพวกนี้”
หลินไหวหย่วนมองหลินสวินอย่างลึกซึ้ง แต่กลับต้องผิดหวังเพราะสีหน้าของหลินสวินเรียบเฉย ไม่สามารถยืนยันได้ว่าคำพูดของหลินสวินนั้นมาจากใจจริงหรือไม่
ไม่นานหลินไหวหย่วนก็พาหลินสวินเดินเข้าไปในสวนเรือนขนาดเล็กที่เรียกได้ว่าเรียบง่าย
กระท่อมหลังหนึ่ง โต๊ะหินหนึ่งตัว ต้นไหวโบราณหนึ่งต้น แม้จะดูเรียบง่าย แต่เงียบสงบและสะอาดสะอ้านอย่างมาก
ชายชรารูปร่างสูงผอมในชุดธรรมดา กำลังนั่งนิ่งอยู่หน้าโต๊ะหิน หรี่ตาเล็กน้อยเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ชายชราท่านนี้ก็คือหลินเป่ยกวง ท่านปู่ห้าของหลินสวิน!
“หลินสวินคารวะท่านปู่ห้า!”
หลินสวินเดินเข้าไปในสวนเรือนแล้วโค้งคำนับทำความเคารพ หลินไหวหย่วนได้เดินห่างออกไปแล้ว เพราะนี่เป็นการพบกันเป็นการส่วนตัวระหว่างหลินสวินและหลินเป่ยกวง
“เหมือนพ่อของเจ้ามาก”
หลินเป่ยกวงเคลื่อนสายตาขึ้น ดวงตาเจิดจรัสจ้องหลินสวินอยู่ครู่หนึ่ง ก็พูดคล้ายถอดถอนหายใจ “รีบมานั่งเร็ว”
หลินสวินเดินเข้าไปนั่งลงอย่างสบายๆ
“การประลองระหว่างเจ้ากับเสวี่ยเฟิงเมื่อครู่นี้ข้าเห็นหมดแล้ว แม้แต่ข้าก็ต้องยอมรับว่า ในบรรดาลูกหลานตระกูลหลินทั้งหมด ถ้าพูดถึงเรื่องพรสวรรค์และความสามารถ ไม่มีใครเทียบเจ้าได้”
สายตาของหลินเป่ยกวงเผยแววประหลาด
“ท่านปู่ห้าท่านชมเกินไปแล้ว” หลินสวินรีบประสานมือคารวะ
“มิได้ชมเกินไป นี่เป็นความจริง ด้วยปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตอนที่เจ้าบรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณ ในนครต้องห้ามนี้ก็หาคนที่ทำได้อย่างเจ้าไม่กี่คนหรอก”
หลินเป่ยกวงพูดถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนเรื่อง “แต่ถ้าเพียงเท่านี้ ข้ายังไม่อาจวางใจยกตระกูลหลินแห่งแสงอุดรให้เจ้าได้”
หลินสวินหรี่ตา รู้ว่าได้เวลาคุยเรื่องจริงจังแล้ว
“ตอนที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรย้ายออกจากภูเขาชำระจิต ได้นำหนังสือโบราณ โอสถ และอสูรวิญญาณจำนวนมากที่สืบทอดจากบรรพบุรุษมาด้วย ในขณะเดียวกันก็ได้ควบคุมกิจการสามสิบเจ็ดแห่งของตระกูลหลินที่กระจายอยู่ทั่วจักรวรรดิ”
หลินเป่ยกวงเอ่ยต่อ “ตอนนั้นที่ข้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อเก็บสมบัติที่บรรพบุรุษสืบทอดลงมาเอาไว้ ไม่ให้ขาดการสืบทอดต่อไป”
หลินสวินไม่ได้พูดอะไรมาก
หลินเป่ยกวงราวกับอ่านใจเขาออก พูดอย่างราบเรียบ “แน่นอนว่าเจ้าอาจจะไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ คิดว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่ต่างอะไรกับตระกูลสาขาอื่นๆ ที่ฉกฉวยโอกาสแบ่งทรัพย์สินของตระกูล”
สีหน้าของหลินสวินเผยความอึดอัดเล็กน้อย คำพูดนี้ตรงเกินไปจนเขาไม่รู้จะต่อคำอย่างไร
แต่กลับเห็นหลินเป่ยกวงโบกมือพูด “แม้ข้าจะแก่แล้วแต่ก็ยังไม่ถึงกับเลอะเลือน ในเมื่อเจ้าตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะปกครองตระกูลหลิน เช่นนั้นข้าก็จะส่งคืนสมบัติและทรัพย์สินทั้งหมดที่ข้าเอามากลับสู่ภูเขาชำระจิต!”
หลินสวินหัวใจสะท้าน ยากจะเชื่อได้
รับปากง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ?
ทว่าต่อมาหลินสวินพลันรู้ว่าตนคิดน้อยไป
เพราะหลินเป่ยกวงพูดต่อว่า “แต่ข้าว่าด้วยความสามารถในตอนนี้ของเจ้ายังไม่เพียงพอที่จะรักษาสมบัติเหล่านั้น และยังไม่สามารถทำให้ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรทั้งตระกูลกลับไปอยู่ภายใต้ตระกูลหลินได้”
หลินสวินมุ่นคิ้ว “เช่นนั้นไม่ทราบว่า ท่านปู่ห้าคิดว่าเมื่อไหร่ข้าจะมีความสามารถระดับนั้น”
หลินเป่ยกวงหัวเราะออกมาทันที พลันตบไหล่หลินสวิน “เด็กคนนี้ อย่าใจร้อนเกินไปเดี๋ยวเสียการใหญ่ อีกหน่อยเจ้าจะเข้าใจสิ่งที่ข้าทำ เอาเป็นว่าตอนนี้ข้าชื่นชมเจ้ามาก แต่ก็เพียงเท่านั้น ถ้าอยากได้การสนับสนุน เจ้าก็ต้องแสดงความสามารถที่แท้จริงของเจ้าออกมาให้ข้าเห็น!”
พูดถึงตรงนี้สายตาของเขาก็สาดประกาย “จำไว้ว่าเจ้าเป็นผู้สืบทอดตระกูลหลิน ถ้าแม้แต่บททดสอบเล็กๆ น้อยๆ แค่นี้ยังผ่านไม่ได้ ตำแหน่งผู้นำตระกูลหลินคงไม่ถึงมือเจ้า”
หลินสวินใคร่ครวญครู่หนึ่ง พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ สีหน้าดูหนักแน่ “ท่านปู่ห้า ข้าเพียงอยากได้คำยืนยันเรื่องหนึ่ง”
“เจ้าว่ามา”
“นับตั้งแต่วันนี้ ถือว่าตระกูลหลินแห่งแสงอุดรอยู่ข้างภูเขาชำระจิตแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่แล้ว แต่ตอนนี้ยังไม่สามารถให้เจ้าเข้ามาควบคุมได้ นอกเสียจากว่าวันหนึ่งเจ้ามีกำลังที่สามารถปกครองตระกูลหลินแห่งแสงอุดร แม้แต่ข้าก็จะอยู่ภายใต้อำนาจของเจ้า”
“ได้”
หลินสวินพยักหน้า ถือว่าโล่งใจไปไม่น้อย
ขอเพียงแค่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับตนก็พอแล้ว สำหรับเรื่องที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรจะสนับสนุนและให้ความช่วยเหลือหรือไม่ หลินสวินไม่สนใจ
มีพญาแร้ง เสี่ยวเคอ จูเหล่าซาน ชื่อเซวี่ย หยางหลิงและผู้เฒ่าเตียวคอยช่วย บวกกับความพยายามของตัวเอง ก็เพียงพอที่จะทำให้ภูเขาชำระจิตพัฒนาขึ้นจากเดิม!
เมื่อภูเขาชำระจิตกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง จึงจะเป็นวินาทีที่หลินสวินมีอำนาจควบคุมสูงสุดของตระกูล!
ไม่เหมือนกับตอนนี้ที่อยากทำอะไรก็ต้องผ่าน ‘บททดสอบ’ เพื่อให้ได้รับการยอมรับ แบบนี้ช่างทำให้รู้สึกจนปัญญาและอัดอั้นนัก
แต่หลินสวินก็รู้ว่า นี่คือความจริง ไม่อยากยอมรับอย่างไรก็ต้องยอมรับ