Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 360
หลินสวินกลับตำหนักชำระจิต อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดสะอาดเอี่ยม ผ่อนคลายไปทั้งตัว
การประลองกับเสี่ยวเคอในช่วงนี้ ทำให้เขาสามารถควบคุมวิธีการต่อสู้ของผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณได้อย่างสมบูรณ์ และสามารถสำแดงพลังของตนได้อย่างเต็มที่
นี่ทำให้หลินสวินพอใจมาก
ทว่าการพัฒนาของพลังปราณไม่ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ แต่ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน
หลินสวินเองก็ไม่ได้รีบ ‘เคล็ดวิชาหลุมดำกลืนกิน’ ที่เขาฝึก ควบคู่กับผลลัพธ์อันอัศจรรย์ของ ‘คัมภีร์ประสานมายา’ เพียงพอที่จะทำให้การฝึกของเขาไวกว่าคนส่วนใหญ่แล้ว!
พูดง่ายๆ ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้หลินสวินยากจะบรรลุพลังปราณได้อีก เขาจึงไปให้ความสำคัญกับการฝึกยุทธ์
ตอนนี้ในการฝึกยุทธ์ ‘เพลงดาบวัฏจักรฟ้า’ หลินสวินเริ่มเข้าใจ ‘กระบวนท่าสอยจันทรา’ แล้ว กระบวนท่านี้กว้างขวางลึกซึ้งและไม่มีที่สิ้นสุดยิ่งกว่า ‘กระบวนท่าคว้าดาว’
ด้วยการตระหนักรู้ของหลินสวิน ตอนนี้เรียนรู้กระบวนท่าสอยจันทราถึงเพียงแค่ ‘ขั้นเข้าถึง’ เท่านั้น
แม้จะเป็นเช่นนั้น พลังระดับนี้ก็ยังร้ายกาจกว่าขั้นสมบูรณ์แห่งกระบวนท่าคว้าดาวไปหนึ่งระดับ!
ด้านการฝึก ‘เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์’ เรียกได้ว่ามีพัฒนาการรวดเร็วถึงที่สุด ตอนนี้มาถึง ‘ขั้นแม่นยำ’ แล้ว อานุภาพนั้นน่าสะพรึงกลัวมาก
วิชานี้ไม่เหมือนกับเพลงดาบวัฏจักรฟ้า เป็นการทดสอบพลังปราณของผู้ฝึกปราณ พลังปราณยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่ อานุภาพที่สำแดงออกมาก็ยิ่งแข็งแกร่งมากเท่านั้น
โดยเฉพาะระหว่างเก้ากระบวนท่าใหญ่ของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ยังสามารถผสมผสานเป็นกระบวนท่าใหม่ได้ ถือว่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง
เมื่อหลินสวินสามารถผสานทั้งเก้ากระบวนท่าใหญ่ของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์เข้าด้วยกัน และสำแดงออกมาในการโจมตีเดียวได้ ก็จะเรียกได้ว่าการฝึกสมบูรณ์แบบแล้ว
การโจมตีครั้งเดียวนั้น เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ‘หนึ่งเดียวสะเทือนสวรรค์’!
เพียงแต่ตอนนี้หลินสวินยังห่างจากจุดนั้นอีกไกลมาก
อย่างไรก็ตามการฝึกยุทธ์ก็เหมือนการฝึกปราณ ล้วนเรียกได้ว่าไม่มีที่สิ้นสุด ต้องการให้ผู้ฝึกค้นหาไปเรื่อยๆ
ในขณะที่หลินสวินกำลังใคร่ครวญถึงการฝึกยุทธ์ หลินจงก็เข้ามาอย่างเร่งรีบ
“นายน้อย คุณชายสืออวี่เพิ่งให้คนเอาเทียบเชิญมาให้ขอรับ” พูดจบก็ยื่นเทียบเชิญลายทองใบหนึ่งให้หลินสวิน
หลินสวินหยิบมาอ่าน เป็นเทียบเชิญให้หลินสวินไปร่วมงานเลี้ยงคืนนี้ เมื่อถึงเวลานั้นศิษย์มากมายที่เคยฝึกในค่ายกระหายเลือดก็จะมาร่วมด้วย
หลินสวินพลันนึกขึ้นได้ว่า ตอนที่ไปอัครการค้าคราวก่อน สืออวี่เคยบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงหลังจบการทดสอบระดับอาณาจักร นัดรวมตัวลูกศิษย์แห่งค่ายกระหายเลือดเมื่อปีนั้น
“ลุงจง คืนนี้ท่านกับจูเหล่าซานไปกับข้าหน่อยเถิด”
หลินสวินสั่งความง่ายๆ
……
เวลาโพล้เพล้
หลินสวิน หลินจงและจูเหล่าซานลงจากภูเขาชำระจิต
ภูเขาชำระจิตในวันนี้ ในที่สุดก็ดูครึกครื้นขึ้นมา ภายใต้การจัดการของพญาแร้ง ห้องหลอมยาของชื่อเซวี่ย โรงหลอมอาวุธของหยางหลิงก็เริ่มดำเนินการแล้ว
แม้แต่ผู้เฒ่าเตียวเองยังงานยุ่ง เริ่มวางค่ายกลวิญญาณทั้งบนล่างของภูเขาชำระจิต
นอกจากนี้พญาแร้งยังได้คัดเลือกข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์เชื่อถือได้ คล่องแคล่วมีไหวพริบมากลุ่มหนึ่ง คอยช่วยจัดการงานยิบย่อยให้พวกชื่อเซวี่ย
ข้ารับใช้เหล่านี้ล้วนถูกจ้างมา จำนวนห้าสิบกว่าคน มีเสี่ยวเคอคอยจับตาดูทุกวัน ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ระหว่างทางหลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้ ในที่สุดภูเขาชำระจิตก็ไม่รกร้างอีกต่อไปแล้ว เริ่มมีร่องรอยที่จะฟื้นตัวอีกครั้ง แม้จะน้อยนิด แต่ถ้าพยายามไปทีละก้าวๆ สักวันจะต้องพลิกโฉมหน้าใหม่ทั้งหมดได้แน่!
เพียงแต่ไม่รอให้หลินสวินได้ทอดถอนใจต่อ ก็เห็นชื่อเซวี่ยพุ่งเข้ามาจากไกลๆ อย่างกระหืดกระหอบ
“หลินสวิน เจ้าดูแลไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่นยังไงเนี่ย? พวกมันทำลาย ‘ดอกเลือดผีเสื้อ’ สิบหกต้นที่ข้าปลูกขึ้นมาอย่างยากลำบากไปหมดแล้ว!”
ชื่อเซวี่ยหน้าเขียวหน้าดำ ตะโกนอย่างขึ้งโกรธ
เขาเป็นผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบ อีกทั้งยังเป็นนักหลอมยาที่มีทักษะสูง ทำให้เขาโกรธขนาดนี้ได้ แสดงให้เห็นว่า ‘ดอกเลือดผีเสื้อ’ นี้สำคัญต่อเขาเพียงใด
“ใคร?” หลินสวินอึ้ง
“ยังจะมีใครอีกล่ะ ก็ไอ้พวกสารเลวที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่งมาไงล่ะ! พวกลูกผู้ลากมากดี แต่ละคนยโสโอหัง ไม่เอาการเอางาน พฤติกรรมย่ำแย่ ไม่รู้ว่าเจ้าอนุญาตให้พวกเขามาอยู่ที่ภูเขาชำระจิตได้อย่างไร!” ชื่อเซวี่ยโวย
เขาหัวเสียอย่างเห็นได้ชัด ระบายเพลิงโกรธทั้งหมดมาที่หลินสวิน
หลินสวินเข้าใจทันที หว่างคิ้วเผยความเย็นเยียบ กล่าวว่า “ชื่อเซวี่ย พาข้าไปพบพวกเขา ข้าจะให้ความเป็นธรรมกับเจ้า”
หลายวันก่อนตระกูลหลินแห่งแสงอุดรได้ส่งลูกหลานวัยเยาว์กลุ่มหนึ่งมาที่ภูเขาชำระจิต ตามคำสั่งของหลินเป่ยกวง
ในนามคือมาช่วยหลินสวิน ฟังคำสั่งจากหลินสวิน
แต่ด้วยความรอบคอบ หลินสวินจึงไม่รีบหางานให้คนในตระกูลพวกนี้ทำ แต่คิดว่าจะสังเกตพวกเขาไปก่อนสักระยะ รอให้รู้นิสัยและตื้นลึกหนาบางของพวกเขาก่อนค่อยว่ากัน
ตอนนั้นหลินสวินได้ออกกฎสามข้อกับคนในตระกู ลเหล่านั้น คือห้ามเข้าใกล้ตำหนักชำระจิต ห้ามพาคนเข้ามาในภูเขาชำระจิตโดยพลการ และห้ามก่อความวุ่นวายบนภูเขาชำระจิต
หลินสวินเองก็รู้ดีว่า อาศัยเพียงกฎสามข้อนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้คนในตระกูลพวกนั้นยอมเชื่อฟังโดยง่าย
ความจริงก็เป็นเช่นนั้น ตั้งแต่คนพวกนั้นเข้ามาอยู่ในภูเขาชำระจิต ก็เอาแต่ดื่มกินสนุกสนาน ไม่เอาการเอางาน ทั้งยังพากันเล่นการพนันอยู่บ่อยๆ ทำให้เขตที่พักของพวกเขากลายเป็นที่มั่วสุม
นี่ยังถือว่าอยู่ในขอบเขตที่หลินสวินรับได้ ไม่ใช่ความผิดใหญ่หลวงอะไร เขาเองก็คร้านจะถือสา และเลี่ยงไม่ให้ท่านปู่ห้าหลินเป่ยกวงคิดว่า เขาจงใจสร้างความลำบากใจให้คนในตระกูลเหล่านี้
แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า ความอดทนของเขาจะทำให้พวกนั้นปีกกล้าขาแข็งขึ้น
ถึงขนาดกล้าทำลายสวนโอสถวิญญาณของชื่อเซวี่ย หลินสวินทนไม่ได้จริงๆ!
ไม่นานชื่อเซวี่ยก็นำหลินสวินไปเจอพวกลูกหลานวัยหนุ่มสาวที่มาจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดร
มีประมาณสิบกว่าคน มีทั้งหญิงทั้งชาย ตอนนี้พวกเขานั่งกับพื้นบนฝั่งลำธาร ดื่มไปพลางหยอกล้อกัน ดูเป็นอิสระมาก
พอเห็นชื่อเซวี่ยพาหลินสวินมา ชายหญิงพวกนี้ก็อึ้งไปครู่ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างไม่รู้สึกรู้สาในวินาทีต่อมา
“ก็แค่เด็ดดอกไม้ไม่กี่ดอกที่เจ้าปลูก ถึงกับวิ่งไปหาตัวช่วยเลยหรือ เจ้าตระหนี่เกินไปแล้ว”
ชายหนุ่มคนหนึ่งพูดอย่างนักเลง น้ำเสียงดูเย้ยหยัน
“ใช่แล้ว พวกข้าดื่มเหล้า ต้องการกลิ่นดอกไม้หอมๆ มาดื่มด่ำ เป็นบุญของเจ้าแล้วที่เราเห็นค่าดอกไม้ที่เจ้าปลูก แต่เจ้ากลับไม่รู้จักสำนึก เสียอารมณ์จริงๆ”
ชายอีกคนเห็นได้ชัดว่าเมาแล้ว คำพูดคำจาก็วางโตขึ้น “เจ้าคิดว่าเจ้าพาหลินสวินมาแล้วเราจะกลัวงั้นหรือ พูดเป็นเล่น เขาใหญ่มาจากไหนถึงจะหยุดพวกข้าได้”
ชายหญิงที่อยู่รอบๆ หัวเราะกันไม่หยุด
ชื่อเซวี่ยโกรธจนเส้นเลือดบนหน้าผากแทบแตก กัดฟันพูด “หลินสวินเจ้าเห็นแล้วใช่ไหม ไอ้พวก…ไอ้พวกโง่เง่าเต่าตุ่นที่เจ้าพากลับมา ช่างไม่รู้จักกลัวฟ้ากลัวดินเลย!”
“เจ้าด่าใครว่าโง่เง่าเต่าตุ่น? อยากตายหรือไง?“
ชายหนุ่มที่ถุงใต้ตาบวมคนหนึ่งลุกขึ้น ชี้หน้าด่าชื่อเซวี่ยอย่างรุนแรง
หลินสวินถอนหายใจ พลันตบไหล่ชื่อเซวี่ยแล้วพูด “เป็นความผิดของข้าเองที่คิดไม่ถึงเรื่องนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้า ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
“เหอะๆ หลินสวินเจ้าพูดเกินไปแล้ว พวกข้าแค่เด็ดดอกไม้ไม่กี่ดอก เจ้าก็ยังจะยุ่ง? ช่าง…’
ชายหนุ่มถุงใต้ตาบวมคนนั้นพูดยังไม่ทันจบ ก็ถูกหลินสวินถีบเข้าหน้าท้องแล้ว
เห็นเพียงว่าร่างของเขาเหมือนว่าวที่สายขาด ลอยละล่องแล้วกระแทกลงบนหินที่อยู่ไกลออกไปสิบกว่าจั้งเสียงดังพลั่กจนหินแตกกระจาย เห็นได้ว่าแรงถีบนี้เหี้ยมเพียงไหน
ชายหนุ่มคนนั้นเกร็งไปทั้งตัว น้ำลายฟูปากแล้วสลบไปทั้งอย่างนั้น
หนุ่มสาวคนอื่นๆ พลันตกใจกันถ้วนหน้า สีหน้าแปรเปลี่ยน พากันลุกขึ้นจ้องหลินสวินอย่างขึ้งโกรธ
“เจ้ากล้าลงมือหรือ”
“จะบอกให้นะ แม้ภูเขาชำระจะเป็นถิ่นของเจ้า แต่ถ้าเจ้ากล้าทำไม่ดีกับพวกเรา ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรไม่เอาเจ้าไว้แน่!”
“อย่าคิดว่าเจ้าชนะพี่หลินเสวี่ยเฟิงแล้ว เจ้าก็จะไม่กลัวฟ้ากลัวดินได้ อยากให้เราเชื่อฟังงั้นหรือ? ไม่มีทาง!”
พวกเขาแผดเสียงตะโกน ดูเหมือนเย่อหยิ่งอย่างมาก แต่แท้จริงแล้วสายตาที่มองหลินสวินกลับแฝงความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็กังวลว่าหลินสวินจะลงมือรุนแรงกับพวกเขา
ฮูม~
หลินสวินคร้านจะพูดมาก สะบัดแขนเสื้อออกไปคราหนึ่ง พลังวิญญาณสีฟ้าอ่อนอันน่าสะพรึงกลัวแปลงเป็นฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งปกคลุมลงมาจากกลางอากาศ
พลันได้ยินเสียงเผียะๆๆ ระลอกหนึ่งดังก้อง หนุ่มสาวสิบกว่าคนนั้นถูกตบจนลงไปคุกเข่ากับพื้น โอดครวญไม่หยุด
“ฟังให้ดี ข้าไม่มีอารมณ์มาเล่นต่อปากต่อคำกับพวกเจ้า ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่งพวกเจ้ามาเพื่อทำงานให้ข้า ไม่ใช่มาก่อกวนข้า”
เสียงของหลินสวินเยียบเย็น เต็มไปด้วยแรงกดดัน ความน่าเกรงขามแห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณนั่น ทำให้หนุ่มสาวพวกนั้นตัวสั่น ตกใจจนไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงโอดครวญ
“จำไว้ จะไม่มีครั้งที่สอง!” พูดจบหลินสวินหันหลังจากไป
ระหว่างทางเขาสั่งหลินจง “ต่อไปให้ไอ้สารเลวพวกนั้นเริ่มทำงานให้หมด ข้ารับใช้ในภูเขาชำระจิตทำอะไร ก็ให้พวกเขาทำอย่างนั้น ถ้าไม่เชื่อฟังก็ให้เสี่ยวเคอจัดการโดยตรง ข้าไม่เชื่อว่าจะเอาพวกเขาไม่อยู่”
“นายน้อย ที่ตระกูลหลินแห่งแสงอุดรส่งพวกหัวโจกที่ไม่เชื่อฟังคำสั่งพวกนี้มา เห็นได้ชัดว่าต้องการทดสอบความสามารถในการเป็นผู้นำของท่าน หากท่านทำแบบนี้…”
ไม่รอให้หลินจงพูดจบ หลินสวินก็หัวเราะเสียงเย็น กล่าวว่า “นี่คือวิธีการเป็นผู้นำของข้า กับพวกเสเพลที่ยโสโอหังพวกนี้ ก็ควรจะกำราบพวกเขาให้อยู่หมัดก่อน!”
หลินจงอึ้งไป แล้วไม่พูดอะไรอีก
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ยามนี้ชื่อเซวี่ยหายโกรธบ้างแล้ว จึงประสานมือกล่าวลา
หลินสวินมองเขาจนลับสายตาไป ค่อยเอ่ยคล้ายครุ่นคิด “ลุงจง ชื่อเซวี่ยเป็นถึงยอดฝีมือระดับมหาสมุทรวิญญาณ อีกทั้งเขายังเป็นผู้ฝึกปราณสายแพทย์ในสนามรบ ความสามารถไม่ธรรมดา แต่ต่อให้เขาโกรธถึงเพียงนี้ ก็ไม่เคยลงมือกับพวกสารเลวพวกนั้นโดยพลการ ท่านรู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
“เพราะเมื่อเทียบกับพวกสารเลวที่ยโสโอหังพวกนั้น อย่างไรเขาก็ถือเป็นคนนอก คนนอกคนหนึ่งถ้ามาสั่งสอนคนในตระกูลหลิน ก็เห็นจะเกินไป จะทำให้เกิดปัญหามากมายตามมา เขาเองก็เข้าใจจุดนี้ดี จึงมาหานายน้อยให้ท่านเป็นคนจัดการ”
หลินจงคิดๆ แล้วเข้าใจทันที
“ไม่ผิด ตอนนี้ในที่สุดข้าก็เข้าใจว่าเหตุใดพญาแร้งจึงเสียแรงขนาดนั้นเพื่อเชิญพวกชื่อเซวี่ยมาช่วยข้า คนที่ไม่เพียงแค่มีความสามารถเก่งกาจ แต่ยังวางตัวเป็นมองเรื่องราวออกเช่นนี้มีไม่มากจริงๆ”
หลินสวินชื่นชม
ตอนที่พูด พวกเขาได้ออกจากภูเขาชำระจิตแล้ว
“ไปที่หอสรวลทรัพย์”
หลินสวินสั่งจูเหล่าซานแล้วขึ้นไปนั่งบนเกี้ยวสมบัติพร้อมหลินจง โดยมีจูเหล่าซานเป็นคนขับเคลื่อน รีบมุ่งหน้าออกไปตอนที่ยังพลบค่ำ ท้องฟ้าไม่ถึงกับมืดมิด