Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 362
“คุณชาย!”
ขณะที่หลินสวินเพิ่งจากไป ชายสูงวัยในชุดดำผู้หนึ่งพลันปรากฏตัวขึ้น มองไปยังฮวาอู๋เหินที่หมอบนิ่งอยู่บนพื้นเหมือนสุนัขด้วยสีหน้าตะลึงขึ้งโกรธ
ทันใดนั้นสีหน้าพลันเขาถมึงทึง พูดลอดไรฟันว่า “คุณชาย! นี่เป็นเจ้าสารเลวจากที่ไหน ในนครต้องห้ามแห่งนี้ ยังมีใครกล้าแตะคนตระกูลฮวาได้”
ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ลมหายใจน่าหวาดหวั่น น่าพรั่นพรึงจนคนรอบข้างสะท้านไปทั้งตัว
“ยังไม่ต้องยุ่งเรื่องพวกนี้ พาข้าไปหาพี่รองก่อน” ฮวาอู๋เหินพูดพลางหอบหายใจ
“คุณชาย ตอนนี้ท่านควรกลับบ้านก่อน…”
ไม่รอให้พูดจบ ก็ถูกฮวาอู๋เหินแทรกขึ้นอย่างโมโห “ข้าบอกว่าจะไปหาพี่รอง!”
“ขอรับ”
ชายสูงวัยชุดดำจนใจ พูดเสียงค่อยว่า “คุณชาย คุณหนูรองไปงานเลี้ยงรวมตัวเหล่าสหายที่หอสรวลทรัพย์ขอรับ ท่าน…”
“ก็ไปหอสรวลทรัพย์สิ!” ฮวาอู๋เหินเอ่ยด้วยน้ำเสียงดื้อดึง
จากนั้นชายสูงวัยชุดดำจึงพาฮวาอู๋เหินออกไปจากที่นั่น
จนเมื่อพวกเขาออกไปแล้ว ฝูงชนที่รายล้อมอยู่ถึงถอนหายใจยาวออกมา
“ไม่คิดว่าการต่อสู้วันนี้จะเร้าใจยิ่งนัก เริ่มจากฮวาอู๋เหินผู้นั้นเกือบสังหารหลินเสวี่ยเฟิง ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะมีตัวละครที่ร้ายกาจยิ่งกว่าโผล่มา ซัดฮวาอู๋เหินเสียเปิดเปิง น่ากลัวไปแล้ว!”
“ไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนั่นโผล่มาจากไหน ไม่กลัวโดนเอาคืนหรือไงนะ ตระกูลฮวาเป็นถึงหนึ่งในตระกูลมหาอำนาจทั้งเจ็ด มองไปรอบจักรวรรดิ น้อยคนนักจะกล้ามีเรื่องด้วย”
“ไม่ได้ยินที่เจ้านั่นพูดหรือ เขาชื่อหลินสวิน มาจากภูเขาชำระจิต”
ฝูงชนอุทานตกใจ วิพากษ์วิจารณ์กันไม่หยุด
เวลานี้พลันมีคนร้องขึ้นเสียงดัง “ข้ารู้แล้ว ที่แท้ก็เขานั่นเอง! หลินสวินผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่โดดเดียวที่สุดในนครต้องห้าม’ ผู้นั้น!”
“ใช่แล้ว! ภูเขาชำระจิต นั่นไม่ใช่อาณาเขตที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูลหลินหรอกหรือ”
“มิน่าถึงได้ออกหน้าแทนหลินเสวี่ยเฟิง ที่แท้ก็เป็นคนในตระกูลเดียวกัน แต่ว่า…ตระกูลหลินตอนนี้เสื่อมอำนาจแล้ว เต็มที่คงเป็นได้เพียงตระกูลผู้มีอำนาจระดับล่าง หลินสวินผู้นั้นไปเอาความกล้าหาญมาจากไหนถึงกล้าทำร้ายฮวาอู๋เหินเช่นนี้”
“ใครจะรู้ล่ะ ที่ข้าสงสัยจริงๆ ก็คือ ความสามารถในการต่อสู้ที่หลินสวินผู้นั้นแสดงออกมาในวันนี้ ก็เพียงพอจะผ่านการทดสอบระดับอาณาจักรได้แล้ว แต่ทำไมปีนี้เขาไม่ได้เข้าร่วมเล่า”
“ใช่แล้ว ในเมื่อหลินสวินผู้นี้สามารถสู้ชนะผู้กล้าระดับฮวาอู๋เหินได้อย่างง่ายดาย แค่คิดก็รู้ว่าหน่วยก้านและพรสวรรค์จะน่ากลัวเพียงไหน แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมการทดสอบ พาให้คนแปลกใจเสียจริง”
“เหอะๆ ไม่ว่าอย่างไร เกิดเรื่องนี้อย่างวันนี้เข้า ภายหน้านครต้องห้ามคงได้เห็นเรื่องอึกทึกครึกโครมกันล่ะ คิดดูสิ ฮวาอู๋เหินผู้นั้นถูกทำร้าย คนตระกูลฮวาจะยอมปล่อยไปได้อย่างไร”
ความเห็นต่างๆ ดังเซ็งแซ่ขึ้นไม่หยุดหย่อน
หลายคนรับรู้ได้ว่า เกรงว่าไม่นานนัก ข่าวคราวเกี่ยวกับการต่อสู้ที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้จะกระจายไปทั่วนครต้องห้าม!
อย่างไรเสียฐานะของฮวาอู๋เหินก็พิเศษนัก!
ส่วนหลินสวินผู้ถูกขนานนามว่าเป็น ‘เจ้าตระกูลทรงอิทธิพลที่โดดเดียวที่สุดในนครต้องห้าม’ ก็เป็นตัวละครที่น่าจับตามองมากเช่นกัน
ขณะนี้ทั้งสองผูกความแค้นต่อกันแล้ว ภายหลังไม่รู้ว่าจะสร้างความโกลาหลได้กี่มากน้อย
…
ราตรีเริ่มมาเยือน
เกี้ยวสมบัติหลังงามเคลื่อนไปตามถนนพลุกพล่านเต็มไปด้วยแสงสี มุ่งหน้าไปยังหอสรวลทรัพย์อย่างเนิบช้า
ทว่าบนเกี้ยวสมบัติกลับเงียบเชียบ
ครู่หนึ่งหลินเสวี่ยเฟิงก็พูดขึ้นอย่างลังเล “เมื่อครู่นี้…เจ้ามุทะลุไปแล้ว ข้าไม่ได้จะต่อว่าเจ้า แต่ฐานะของฮวาอู๋เหินผู้นั้นสูงส่งยิ่ง ทำร้ายเขาก็รังแต่หาเภทภัยไม่จบสิ้นมาสู่ตัวเจ้าเอง”
หลินสวินอึ้งไป ก่อนจะยิ้มขึ้นทันใดแล้วพูดเสียงเรียบว่า “เจ้าเป็นลูกหลานตระกูลหลิน ข้าทนดูเจ้าถูกรังแกกับตาไม่ได้”
คำพูดเพียงประโยคเดียวกลับทำให้หลินเสวี่ยเฟิงสะท้านไปทั้งตัว มองหลินสวินอย่างตะลึงไปครู่หนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าอ่านยากว่า “ในที่สุดข้าก็มั่นใจได้ว่า เจ้าเหมาะสมครอบครองภูเขาชำระจิตกว่าข้า”
สีหน้าของเขาหม่นลง
เมื่อก่อนเขาถูกปลูกฝังเลี้ยงดูอย่างผู้สืบทอดตระกูลหลินมาโดยตลอด ถูกคนทั้งตระกูลจับตามอง ส่วนตัวเขาเองก็คาดหวังว่าตนจะรวมตระกูลหลินเป็นหนึ่งได้ในสักวัน พาตระกูลหลินกลับมารุ่งเรืองอีกครั้ง ฟื้นคืนเกียรติภูมิในวันวาน
แต่ความเป็นจริงกลับไร้ความปรานีเช่นนี้
เพียงเขาประสบกับการเหยียดหยามของฮวาอู๋เหินก็เกือบโยนชีวิตตัวเองทิ้ง สิ่งนี้กระทบจิตใจหลินเสวี่ยเฟิงอย่างหนักโดยไม่ต้องสงสัย
“อย่าท้อแท้หมดกำลังใจไป ข้าเห็นการต่อสู้ระหว่างเจ้ากับเขาแล้ว ไม่ใช่ว่าความสามารถในการต่อสู้ไม่พอ แต่เพราะของวิเศษห่างชั้นกันต่างหาก” หลินสวินเอ่ยด้วยเสียงอ่อนโยน
“ไม่ต้องมาปลอบข้า ของวิเศษเป็นส่วนหนึ่งในพลังทั้งหมดของผู้ฝึกปราณ สู้ไม่ได้ก็คือสู้ไม่ได้ ข้าไม่หลอกตัวเองหรอก”
หลินเสวี่ยเฟิงถอนหายใจยาวแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ขอบใจเจ้ามาก ข้าติดหนี้ชีวิตเจ้า ภายหลังจะทดแทนคืนให้”
หลินสวินยิ้มบางๆ
ที่เขาช่วยหลินเสวี่ยเฟิงไว้นั้น แท้จริงไม่ได้ไตร่ตรองมากนัก แต่เขามีฐานะเป็นผู้นำตระกูลหลินในอนาคต ไม่สามารถนิ่งดูดายได้
แม้ว่าฐานะของฮวาอู๋เหินจะสูงส่ง แต่กับเรื่องที่ข้องเกี่ยวถึงเกียรติของตระกูลเช่นนี้ หลินสวินไม่ลังเลแต่อย่างใด
ทว่าหลินสวินเพิ่งได้พบว่า หลังจากช่วยชีวิตหลินเสวี่ยเฟิง แม้อาจจะล่วงเกินตระกูลฮวา แต่ได้รับการยอมรับจากหลินเสวี่ยเฟิงกลับมา!
เท่านี้ก็พอแล้ว!
หลินเสวี่ยเฟิงเป็นผู้นำรุ่นเยาว์ของตระกูลหลินแห่งแสงอุดร ขอเพียงได้รับความเชื่อถือจากเขา ย่อมมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการควบคุมตระกูลหลินแห่งแสงอุดรในภายภาคหน้า!
นี่เรียกได้ว่าเภทภัยก็ชักนำโชคดีมาได้
“เจ้าจะไปไหนหรือ” ทันใดนั้นหลินเสวี่ยเฟิงถามขึ้น
“หอสรวลทรัพย์” หลินสวินเปรย “ไปงานเลี้ยงรวมตัวมิตรสหาย ไปด้วยกันสิ”
“อืม”
หลินเสวี่ยตอบรับโดยง่ายดายแต่ก็พลันอึ้งไปเล็กน้อย เขาเพิ่งรู้สึกได้ว่า เมื่อเผชิญหน้ากับการจัดการของหลินสวิน ตัวเขาช่างปฏิเสธได้ยากยิ่ง!
ไม่นานหลินเสวี่ยเฟิงก็ไม่คิดมากอีก ในใจเขากลับรู้สึกสงสัย งานเลี้ยงรวมตัวที่หลินสวินจะไปร่วมนั้นจะเป็นของสหายกลุ่มใดหนอ
หอสรวลทรัพย์เป็นแหล่งละลายทรัพย์อันดับหนึ่งของนครต้องห้าม ค่าใช้จ่ายที่นั่นแพงหูฉี่ แม้แต่ลูกหลานตระกูลผู้มีอำนาจอย่างหลินเสวี่ยเฟิงยังไม่สามารถไปได้โดยง่าย
เขาถึงขนาดรู้ชัดว่า ลูกหลานตระกูลผู้มีอำนาจพวกนี้ในนครต้องห้ามก็ไม่ต่างจากเขามากนัก นอกเสียจากบังเอิญเป็นคนที่ร่ำรวยเป็นพิเศษ มิเช่นนั้นใครจะไปเป็นประจำได้เล่า
ช่าวยไม่ได้ ค่าใช้จ่ายที่นั่นแพงมากเกินไปน่ะสิ!
ทว่าตอนนี้หลินสวินกลับจะไปสังสรรค์ที่หอสรวลทรัพย์ นี่ย่อมทำให้หลินเสวี่ยเฟิงสงสัย เหล่าสหายที่เชื้อเชิญหลินสวินไปงานเลี้ยงนั้น จะเป็นผู้วิเศษจากที่ไหนกันนะ
…
ไม่นานนักเกี้ยวสมบัติหลังงามก็หยุดลง
ขณะที่เดินลงมาหลินสวินก็อดหรี่ตาไม่ได้
เขามองเห็นว่าสถานที่ที่ไม่ไกลออกไปนักเป็นทะเลสาบที่มีคลื่นใหญ่สุดลูกหูลูกตา ดวงจันทร์ลอยเด่น สะท้อนเงาสว่างไสวลงกลางทะเลสาบ น้ำค้างระเหยขึ้นปะทะเข้ากับแสงจันทร์ งดงามราวภาพฝัน
กลางทะเลสาบนั้นมีหอคอยสูงราวร้อยจั้งตั้งตระหง่านอยู่ ราวกับตำหนักงดงามหรูหราลอยเหนือทะเลสาบ
หอคอยนั้นเรืองแสงไปทั่วทั้งอาคาร ไม่รู้ว่าสร้างขึ้นจากสิ่งใด ทอแสงวิญญาณอ่อนโยนสวยงามเปี่ยมเสน่ห์ลงมาภายใต้แสงจันทร์ที่ปกคลุม ช่างเหมือนสถานที่งามวิจิตรอันเป็นที่พำนักของเซียน ไม่อาจพบได้บนโลกมนุษย์!
หลินสวินตะลึงงัน เพิ่งได้สติกลับมาก็ถอนหายใจแล้วพูดว่า “ค่าใช้จ่ายที่นี่คงแพงมากสินะ”
หลินเสวี่ยเฟิงที่อยู่ด้านข้างกระตุกยิ้มมุมปาก ไม่ใช่แค่แพงมาก แต่แพงถึงขั้นลูกหลานตระกูลผู้มีอำนาจทั่วๆ ไปอุดหนุนไม่ไหว! ยิ่งผู้ฝึกปราณทั่วไปยิ่งไม่ต้องพูดถึง!
ไม่กลัวว่าจะพูดเรื่องน่าขันออกมา ในนครต้องห้ามนี้ เป้าหมายทั้งชีวิตของผู้ฝึกปราณบางคนไม่ใช่การฝึกปราณจนบรรลุวิชา มีอายุยืนนาน แต่เป็นการได้เข้ามาเที่ยวเล่นในหอสรวลทรัพย์แห่งนี้เพียงครั้งเดียว…
“ไปเถอะ”
หลินสวินตั้งสติ ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
หน้าทะเลสาบนั้นมีสะพานโค้งที่สร้างขึ้นจากหยกขาวกว้างขวางยิ่ง ตัดผ่านไปถึงหอสรวลทรัพย์ที่อยู่กลางทะเลสาบ
แต่ยามหลินสวินเพิ่งเดินไปบนสะพานโค้งนั้น ก็มีเงาร่างใหญ่โตกำยำพุ่งพรวดใส่หน้า กระแทกหมัดมาทางเขา
ตูม!
ลมหมัดหนักแน่น ร้ายกาจดุดันทะยานขึ้นฟ้า พลังมหาศาลหาใดเทียม
หลินสวินหรี่ตาแล้วตวัดมืออกไปส่งๆ
ก็ได้ยินเสียงระเบิดดังปึง ลมแรงพัดโหม
ทว่าที่ทำให้หลินสวินตกใจอยู่เงียบๆ ก็คือ แม้เขาดูเหมือนโบกมือออกไปอย่างไม่ตั้งใจ แต่ความจริงใช้พลังไปแล้วเจ็ดส่วน ใครจะคาดคิดได้ว่าร่างสูงใหญ่กำยำนั้นสั่นไหวเพียงเล็กน้อย ราวกับไม่เป็นไร
ครั้นเห็นหลินสวินเตรียมลงมืออีกครั้ง เงาร่างกำยำนั้นก็ตะโกนร้องออกมาว่า “ไม่สู้แล้วๆ ให้ตายสิ ไม่ได้เจอแค่สองปี เจ้าหนูอย่างเจ้านี่ร้ายกาจถึงขั้นนี้แล้วหรือ!”
น้ำเสียงหยาบกระด้างหนักแน่น
เห็นเพียงคนผู้นั้นเงยหน้าขึ้นยิ้มยิงฟัน เผยให้เห็นใบหน้าหนักแน่นองอาจอย่างนักรบ ไม่ใช่หนิงเหมิงแล้วจะเป็นใครได้เล่า
“หนิงเหมิงรึ” หลินสวินนิ่งไปครู่หนึ่ง
หลินเสวี่ยเฟิงที่เดิมเตรียมตั้งท่าป้องกันเคร่งเครียดอยู่ด้านข้างพลันถอนหายใจยาว เพิ่งรู้ว่าหลินสวินกับฝ่ายตรงข้ามรู้จักกัน
แต่สีหน้าหลินจงกลับแปลกไป ถามจูเหล่าซานที่อยู่ข้างๆ เสียงเบาว่า “เมื่อกี้ทำไมเจ้าไม่ออกรับการโจมตีแทนนายน้อย”
จูเหล่าซานสีหน้านิ่งเฉยราวหินผา ตอบเสียงทุ้มว่า “ยามเจ้านั่นลงมือ ไม่มีจิตสังหาร ชัดเจนว่าต้องการหยั่งเชิง”
หลินจงพยักหน้าแล้วพูดว่า “รู้สึกเหมือนข้า”
“เป็นอย่างไรล่ะ แปลกใจหรือเปล่า สองปีมานี้ข้าเปลี่ยนไปมาก ใครเห็นก็ล้วนประหลาดใจทั้งนั้น” หนิงเหมิงพูดอย่างได้ใจ
“ไม่หรอก ข้าแค่รู้สึกว้าเจ้าแก่ขึ้นกว่าเมื่อสองปีก่อน เมื่อกี้เกือบนึกว่าคนวัยกลางคนที่ไหนอยากมาปองร้ายข้าเสียอีก”
ประโยคนี้ของหลินสวินทำให้หนิงเหมิงโกรธจนกัดฟันกรอด พลันคว้าคอของหลินสวินแล้วตะโกนว่า “ปากเจ้านี่มันร้ายกว่าแต่ก่อนเสียอีก!”
หลินสวินหัวเราะออกมา เจ้าหนิงเหมิงผู้นี้ ยังเหมือนแต่ก่อน ดื้อด้านไร้กฎเกณฑ์ ไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น
“ท่านนี้คือ?”
หนิงเหมิงกวาดตาผ่านหลินจงกับจูเหล่าซาน แล้วมองไปยังหลินเสวี่ยเฟิง
ดูจากท่ายืนกับการแต่งกายเขาก็พอดูออกว่า หลินจงกับจูเหล่าซานเป็นผู้คุ้มกัน ส่วนหลินเสวี่ยเฟิงผู้นี้ชัดเจนว่าต่างออกไป น่าจะเป็นสหายที่มากับหลินสวิน
“ญาติผู้พี่ข้า หลินเสวี่ยเฟิง” หลินสวินพูดออกมาง่ายๆ “นี่คือหนิงเหมิง เพื่อนข้าเอง”
หลินเสวี่ยเฟิงกุมมือคารวะ
หนิงเหมิงกลับโบกมืออย่างผ่าเผย “คนกันเองทั้งนั้น อย่าได้เกรงใจกันเลย ไปๆๆ งานเลี้ยงจะเริ่มแล้ว ครั้งนี้มีคนคุ้นหน้ามาไม่น้อย ให้ตายสิ น่าเสียดายเจ้าจ่างซุนเหิงไม่มา ทำข้าผิดหวังชะมัด”
แขนเขาโอบไหล่หลินสวินไว้พลางเดินไปข้างหน้าด้วยกัน เดินไปพลางส่ายหัวถอนใจ
หลินสวินนึกขึ้นได้ หนิงเหมิงกับจ่างซุนเหิงเป็นศัตรูคู่แค้น ก่อนหน้านี้ที่ค่ายกระหายเลือด หนิงเหมิงก็ไม่ถูกกับจ่างซุนเหิงอยู่ตลอด
หลินเสวี่ยเฟิงที่เดินอยู่ข้างหลังราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ ดวงตาที่มองไปทางหนิงเหมิงมีแววประหลาดใจระคนสงสัย
หนิงเหมิง?
เขา…คงไม่ใช่หลานคนโตของหนิงปู้กุยราชันเลือดเหล็กหรอกกระมัง
ยังมีจ่างซุนเหิงผู้นั้นอีก เหมือนจะเป็น…หลานชายของจ่างซุนสยงหย่วนแห่งกรมทหารที่ได้รับฉายา ‘เสาหลักของจักรวรรดิ’!