Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 364
น้ำเสียงนั้นไม่ปิดบังความไม่พอใจ
หว่างคิ้วสืออวี่ปรากฏแววอึมครึมโดยพลัน เห็นชัดว่าโมโหขึ้นบ้างเช่นกัน
บรรยากาศในงานเลี้ยงขณะนี้แปรเปลี่ยนกดดันเล็กน้อย
ประโยคนี้ของซ่งชงเฮ่อ ทั้งตำหนิที่สืออวี่จัดการงานไม่เรียบร้อย ทั้งกระทบกระเทียบหลินสวิน คิดว่าด้วยฐานะของเขานั้นไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้นั่งโต๊ะประธาน
“แค่ที่นั่งโง่ๆ ตัวหนึ่ง หรือเจ้าอยากจะสู้กับหลินสวินสักตั้ง” หนิงเหมิงตีหน้าขึง พูดด้วยน้ำเสียงขัดเคือง
“ที่นั่งโง่ๆ รึ เหอะๆ เหอะๆๆ…” ซ่งชงเฮ่อหัวเราะเยียบเย็นไม่หยุด
ผู้คนมากมายสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย
เห็นบรรยากาศที่พลันเปลี่ยนเป็นตึงเครียด ทว่าหลินสวินกลับยิ้มไปพูดไปว่า “ช่างเถอะ ข้านั่งที่ไหนก็ได้ ไม่ต้องทะเลาะกันหรอก”
เขาพูดไปพลางเลือกที่นั่งที่อยู่ไกลลิบแล้วนั่งลง
สืออวี่จ้องมองหลินสวินอยู่ครู่หนึ่ง เห็นว่าฝ่ายหลังไม่ได้ต่อต้านอะไร ในที่สุดก็พยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ได้ เอาตามนี้แล้วกัน”
หนิงเหมิงเหมือนอยากจะพูดอะไร แต่ก็ถูกสืออวี่พูดแทรกขึ้น “หนิงเหมิง เจ้าก็นั่งเถอะ วันนี้พวกเรามิตรสหายมาชุมนุมกัน อย่าทำให้เสียบรรยากาศเลย”
หนิงเหมิงส่งเสียงฮึอย่างเย็นชา ในที่สุดก็พูดฮึดฮัดว่า “ได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน”
เขาพูดพลางหย่อนก้นนั่งลงข้างหลินสวิน สื่อจิตเอ่ยว่า ‘เดี๋ยวหาโอกาสมาจัดการเจ้าซ่งชงเฮ่อนี่ดีๆ กัน มันคิดว่ามันเป็นใคร คู่ควรมาเอ็ดตะโรใส่พวกเราพี่น้องรึ’
หลินสวินยิ้มน้อยๆ พลางสื่อจิตกลับไปว่า ‘อย่าโกรธไปเลย มารวมตัวกันเช่นนี้ ต้องเกิดเรื่องกระทบกระทั่งกันบ้างอย่างยากจะเลี่ยงได้ ไม่ต้องไปเอาความกับเขามากนักหรอก’
หนิงเหมิงอึ้งไป พูดขึ้นอย่างสงสัย ‘นี่ฟังดูไม่สมเป็นเจ้าเลย’
หลินสวินพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า ‘คนที่รับจัดงานเลี้ยงครั้งนี้คือสืออวี่ ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ต้องอดกลั้นไว้หน่อย’
หนิงเหมิงพูดขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า ‘ช่างเถอะ ข้าทำตามที่พวกเจ้าวางแผนไว้ก็แล้วกัน’
ที่ใช้ในการสนทนาระหว่างทั้งสองนั้นคือการส่งจิต หมดกังวลเรื่องถูกผู้อื่นได้ยินเข้า
เมื่อเห็นว่าหลินสวินและหนิงเหมิงไม่พูดอะไรอีก กลุ่มคนในงานเลี้ยงก็รู้ว่าเรื่องยุ่งยากครั้งนี้คลี่คลายลงอย่างสงบ
ราวรู้สึกว่าบรรยากาศในงานเงียบเชียบเกินไป จึงมีคนอดพูดพลางยิ้มออกมาไม่ได้ว่า “คุณชายสามสือ ไม่ทราบว่ายังมีแขกคนไหนยังมาไม่ถึงบ้างหรือ”
สืออวี่กลับไปนั่งที่นั่งประธานแล้วตอบว่า “เหลือแค่ไป๋หลิงซี จ้าวหยินกับหลี่ตู๋สิงแล้ว” เขาหยุดไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยต่อว่า “แต่ไป๋หลิงซีไปมาไร้ร่องรอย นิสัยสันโดษ เกรงว่าจะไม่มาแล้ว”
“ส่วนจ้าวหยิน ถ้าไป๋หลิงซีไม่ปรากฏตัว เขาก็ย่อมไม่ปรากฏตัวด้วย” เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกไป คนในงานไม่น้อยก็อดผิดหวังมิได้
ไป๋หลิงซีฐานะสูงส่งยิ่ง เป็นถึงหลานสาวคนโตของจิ้งไห่โหวแห่งจักรวรรดิ ตัวนางเองก็เป็นราชนิกูล อีกทั้งในการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อไม่นานนี้ก็คว้าอันดับสามอันโดดเด่น
หญิงงามแห่งสวรรค์เช่นนี้ ย่อมไม่ได้พบเห็นกันอย่างง่ายดาย
ส่วนจ้าวหยินนั้นก็ไม่ธรรมดา เขาไม่เพียงมีชาติกำเนิดเป็นราชนิกูล ทั้งยังมีคุณลักษณะพรสวรรค์ ‘แก่นสุริยอำพัน’ มีพรสวรรค์โดดเด่น ไม่มีทางได้พบเจอง่ายๆ เช่นเดียวกับไป๋หลิงซี
มีเพียงหลี่ตู๋สิงที่ออกจะพิเศษ
เจ้าคนนี้ที่มาลึกลับ แต่พรสวรรค์โดดเด่นเป็นที่สุด ไม่ค่อยสุงสิงกับผู้ใด ในการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อไม่นานนี้ อาศัยวิชากระบี่ที่ทำให้ทั่วหล้าตื่นตะลึงคว้าอันดับที่ห้ามาได้
น่าเสียดายที่เด็กคนนี้ไม่แสดงตัวเป็นจุดเด่นอย่างยิ่ง ราวกับมังกรเทพเห็นแต่หัวไม่เห็นหาง ในสถานการณ์ทั่วไปแล้ว ก็มีน้อยคนนักที่ได้พบตัวจริง
“คุณชายสามสือ เจ้าหลอกกันนี่ ที่ข้ามาร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ เดิมทีก็มาเพราะคุณหนูไป๋หลิงซี แต่ยามนี้เจ้ากลับบอกว่านางอาจมาไม่ได้ เจ้าล้อข้าเล่นหรือ”
ซ่งชงเฮ่อผู้นั้นสีหน้าปั้นปึ่ง กระแทกจอกเหล้าเข้ากับตั่งอย่างแรง พูดเสียงเย็นเยียบ
ครู่หนึ่งบรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมาอีก
ซ่งชงเฮ่อผู้นี้ยโสโอหังนัก วางมาดไม่เห็นหัวใคร พาให้ผู้คนที่อยู่ในงานอดหน้านิ่วคิ้วขมวดไม่ได้
ทว่าสืออวี่กลับยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “คุณชายชงเฮ่ออย่าถือโทษโกรธไปเลย ข้าเพียงพูดว่าไป๋หลิงซีอาจจะมางานเลี้ยง แต่ไม่ได้บอกว่านางต้องมาอย่างแน่นอน”
“พูดเช่นนี้ เจ้ากำลังล้อข้าเล่นรึ” ซ่งชงเฮ่อเอ่ยอย่างเย็นชา
อะไรคือยโสโอหังน่ะหรือ ก็เป็นเช่นนี้ไงเล่า ที่อยู่ในงานล้วนเป็นลูกหลานผู้สูงศักดิ์รุ่นเยาว์ โดยทั่วไปแล้วไม่ว่าใครก็ไม่มาสร้างเรื่องผิดกาลเทศะพรรค์นี้
แต่ซ่งชงเฮ่อผู้นี้ช่างกล้านัก ทำอะไรตามใจคิด ไม่ไว้หน้าใคร โอหังเป็นที่สุด
ทว่าคิดดูก็ไม่แปลก เขามีฐานะเป็นลูกหลานสกุลซ่งที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลมหาอำนาจ ย่อมกล้าเอ่ยถ้อยคำพรรค์นี้ออกมาได้
แต่ว่า…
งานเลี้ยงครั้งนี้อย่างไรเสียสืออวี่ก็เป็นคนจัด ซ่งชงเฮ่อกลับไม่ไว้หน้าเช่นนี้ ถือว่าทำเกินไปมาก
บรรยากาศในงานเงียบเชียบหาใดเปรียบไปครู่หนึ่ง
ขนาดสืออวี่เองยังดูคล้ายไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไรดี ราวกับคาดไม่ถึงว่าซ่งชงเฮ่อจะยโสโอหังได้ปานนี้
“เอ่อ…”
ชั่วขณะที่สืออวี่ตกอยู่ในความเงียบนั้น ฉับพลันด้านนอกโถงก็มีเสียงเย็นรื่นหูดังขึ้น “พลับพลานพนภา? คงเป็นที่นี่สินะ”
ทันใดนั้น ผู้คนก็ได้เห็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยโดดเด่นผู้หนึ่งที่ไม่รู้ว่ามายืนอยู่นอกโถงตั้งแต่เมื่อไร
นางสวมชุดกระโปรงขาวทั้งตัว รูปร่างเพรียวบางสูงโปร่ง ผมดำขลับงดงามระไหล่ ดวงตาเปล่งประกายสุกสกาวราวดารา ประหนึ่งนางเซียนที่เดินออกมาจากภาพวาด
ไป๋หลิงซี!
ชั่วพริบตา สีหน้าของผู้คนในโถงต่างเหม่อลอยอย่างคุมไม่อยู่ไปวูบหนึ่ง เด็กสาวผู้นี้ไม่เพียงมีรูปโฉมสะคราญ ยังมีเสน่ห์ที่ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้ ราวกับนางเซียนที่เดินอยู่ท่ามกลางโลกมนุษย์ ไม่แปดเปื้อนราคีใดๆ
ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ใครจะคิดว่าไป๋หลิงซีจะมาจริงๆ!
นี่เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการคาดการณ์ของคนส่วนใหญ่ อย่างไรเสียไป๋หลิงซีก็เป็นถึงหลานสาวคนโตของจิ้งไห่โหวแห่งจักรวรรดิ อีกทั้งในการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อไม่นานนี้ เข้าสอบครั้งเดียวก็คว้าอันดับสามไปครอง เป็นรองเพียงฉือฉางเฟิงกับซ่งอี้ เรียกได้ว่าเป็นสตรีผู้กล้าชั้นยอดแห่งจักรวรรดิ
ขนาดสืออวี่ยังคิดไม่ถึงว่าไป๋หลิงซีจะมาร่วมงานเลี้ยงนี้จริงๆ
ตามที่เขาจัดแจงไว้ก่อนหน้านี้ แม้กล่าวว่าส่งเทียบเชิญให้ไป๋หลิงซีแล้ว แต่ลึกๆ ในใจ สืออวี่กลับไม่แน่ใจว่านางจะมา
เหตุผลก็เพราะว่า ฐานะของอีกฝ่ายสูงส่งเกินธรรมดาไปแล้ว
“หลิงซี เจ้ามาแล้ว!”
เวลานี้เองซ่งชงเฮ่อผู้นั้นลุกขึ้น ดวงตาเปล่งประกายมองไปยังไป๋หลิงซี แล้วพูดว่า “ข้าได้ยินว่าเจ้าจะมางานเลี้ยง ก็เลยตั้งใจรออยู่ที่นี่ตั้งนานแล้ว ข้า…”
ไม่รู้ว่าไป๋หลิงซีจงใจหรือไม่ถึงเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามาร่วมงานเลี้ยงรวมตัวของศิษย์ที่เคยเข้าค่ายกระหายเลือด แต่ไม่คิดว่าจะมีคนนอกอยู่ในงานด้วย”
ประโยคเดียวก็ทำให้ซ่งชงเฮ่อผู้นั้นมีสีหน้าแข็งทื่อ เสียงขาดหายไปพลัน
“หลิงซีพูดถูกแล้ว งานเลี้ยงครั้งนี้แน่นอนว่ามีสหายสูงศักดิ์พร้อมหน้า ทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตา ได้เข้ามาร่วมงานนี้ ย่อมทำให้ข้ารู้สึกเป็นเกียรติ”
ทันใดนั้นซ่งชงเฮ่อผู้นั้นก็ส่งเสียงหัวเราะกระตือรือร้นออกมา ทำให้ฝูงชนที่อยู่โดยรอบมองอย่างนับถือ เจ้าคนนี้ไม่เพียงแต่โอหัง ยังหน้าหนาเกินคนสามัญอย่างหาที่เปรียบมิได้
ไป๋หลิงซีขมวดคิ้วงามน้อยๆ
เวลานี้เองสืออวี่ก็หัวเราะเสียงดังลุกขึ้นกล่าง “คุณหนูไป๋เชิญนั่งเถอะ”
เขาพูดพลางออกมารับไป๋หลิงซีไปนั่งที่โต๊ะประธานด้วยตัวเอง
คิดไม่ถึงว่าไป๋หลิงซีจะกวาดสายตามองไปโดยรอบแล้วพูดว่า “ไม่ต้องเกรงใจไปหรอก ข้าหาที่นั่งตามชอบสักที่ก็ได้แล้ว”
นางพูดพลางเดินเยื้องย่าง แล้วมานั่งบนที่นั่งข้างหลินสวิน
ทั้งงานต่างตกตะลึงโดยพลัน
ด้วยฐานะของไป๋หลิงซี เพียงพอที่จะได้นั่งตำแหน่งประธานแล้ว แต่นางกลับถ่อมตัวยิ่งนัก ไปเลือกนั่งมุมอับอันไกลลิบ
ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจคือ นางยังนั่งข้างหลินสวินด้วย…
ผู้คนไม่น้อยมองไปทางซ่งชงเฮ่อตามจิตใต้สำนึก และได้เห็นว่าอีกฝ่ายมีสีหน้าตะลึงงัน บนใบหน้าแววไม่สบอารมณ์ขึ้นมาดังคาด
ก่อนหน้านี้ซ่งชงเฮ่อยังประชดประชันหลินสวิน กล่าวว่าหลินสวินไม่คู่ควรกับที่นั่งประธาน
แต่เพียงพริบตาเดียว ไป๋หลิงซีที่เขาอยากพบนักหนาพลันปรากฏตัวขึ้น ไม่เพียงไม่สนใจเขา หนำซ้ำยังไปนั่งข้างหลินสวิน เช่นนี้ทำให้เสียหน้าเกินไปแล้ว
ผู้คนมากมายอดขำในใจไม่ได้ ใครจะคิดว่าสถานการณ์จะพัฒนามาถึงขั้นนี้
ขนาดตัวหลินสวินเองยังอดผิดคาดไม่ได้ เหลือบมองไป๋หลิงซีคราหนึ่ง เขาไม่ได้คิดว่านางไม่จงใจ
แต่หากพูดว่านางจงใจ เช่นนั้นเป็นเพราะเหตุใดเล่า
ไม่เข้าใจเลย
หลินสวินคิดไปคิดมา ได้แต่สรุปว่าจริงๆ แล้วไป๋หลิงซีไม่สนใจที่นั่งประธานที่ว่านั่น แล้วก็ไม่ได้ตั้งใจทำเช่นนี้ด้วย
ซ่งชงเฮ่อที่อยู่ตรงข้ามสีหน้าเรียบเฉย กลับไปที่นั่งอีกครั้ง เพียงแต่สายตาที่มองไปยังหลินสวินกลับอาฆาตมาดร้ายอย่างมาก ราวกับโทษหลินสวินไปเสียทุกเรื่อง
หลินสวินคร้านจะใส่ใจเขา สนใจแต่ดื่มเหล้าของตน พูดคุยกับหนิงเหมิงเป็นครั้งคราว ดูสบายใจอย่างมาก
หลินเสวี่ยเฟิงเวลานี้ก็ถูกจัดที่นั่งให้ได้นั่งอยู่ด้านหลังหลินสวิน
เขาในฐานะผู้สังเกตการณ์ สังเกตได้อย่างเฉียบแหลมถึงความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศในสถานที่แห่งนี้ จึงลอบหวั่นหวาดอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้ สภาพการณ์เช่นนี้ช่างน่าตระหนกไม่น้อย
ถ้าเขาเป็นหลินสวิน คงแสดงออกอย่างนิ่งสงบเช่นนี้ไม่ได้แล้ว
ที่ทำให้เขาไม่เข้าใจคือ ไป๋หลิงซีผู้นั้น… เป็นผู้มีเกียรติหาใดเปรียบได้ผู้หนึ่ง ทำไม…ทำไมถึงเลือกนั่งข้างหลินสวินญาติผู้น้องของตนได้
ไม่เพียงหลินเสวี่ยเฟิง ผู้คนจำนวนมากในเวลานี้ก็ประหลาดใจ ไม่คึกครื้นเหมือนก่อนหน้านี้
เหตุผลก็เพราะไป๋หลิงซีมาอย่างกะทันหันเกินไป ทำให้ทุกคนล้วนคาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะกลับเป็นเช่นนี้ ทำให้บรรยากาศเงียบเชียบผิดปกติไปครู่หนึ่ง
แต่ทว่าความเงียบเชียบนี้อยู่ได้ไม่นาน ก็มีเสียงหัวเราะดังทำลายขึ้นมา
“ฮ่าๆ โทษที ทำให้ทุกคนรอนานเลย”
ฉับพลันที่เดินเข้ามา เขาก็ประกบมือคารวะอย่างยินดี
ผู้คนพากันประหลาดใจอีกครั้ง จ้าวหยิน!
ดังคาด ขอเพียงไป๋หลิงซีปรากฏตัวที่ใด จ้าวหยินก็จะตามไปปรากฏตัวที่นั่น ลื่อของป๋อวั่งโหวผู้นี้ ประหนึ่งทำงานเป็นองครักษ์ปกป้องผกาดีๆ นั่นเอง
“ที่ไหนกันเล่า งานเลี้ยงยังไม่เริ่ม ยังไม่ถือว่าสาย เชิญเข้ามานั่งเร็ว” สืออวี่ลุกขึ้นต้อนรับ
แต่จ้าวหยินกลับกวาดสายตามองรอบทิศ แล้วพูดพลางหัวเราะว่า “ไม่ต้องเกรงใจหรอก ข้านั่งตรงไหนสักที่หนึ่งก็ได้แล้ว”
เขาพูดพลางไปนั่งข้างไป๋หลิงซีอย่างไม่เกรงใจ
เห็นเช่นนี้สีหน้าของทุกคนก็แปลกไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ซ่งชงเฮ่อยังโวยวายว่าตนมางานครั้งนี้เพราะแม่นางไป๋หลิงซีจะมา ใครจะคิดว่าไป๋หลิงซีกลับไม่สนใจเขา ตรงไปนั่งข้างหลินสวิน
และตอนนี้ จ้าวหยินก็มาแล้ว ไม่ต้องรอให้สืออวี่จัดแจงก็ไปนั่งข้างไป๋หลิงซี
นี่มันออกจะน่าประหลาดไปหน่อยแล้ว
ครั้นหันกลับมาดูซ่งชงเฮ่อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้งหนึ่ง สีหน้าไม่เบิกบานนั้นถมึงทึงไปอีกหลายส่วนแล้ว!