Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 372
หลินสวิน!
ผู้คนมากมายในสนามไม่คิดว่าหลินสวินจะกล้ามาประลองจริงๆ
ชั่วขณะหนึ่ง กลับมีคนไม่น้อยลอบนับถือ อย่างน้อยในแง่ความกล้าหาญ หลินสวินก็ควรค่าได้รับความเคารพ
ทว่าผู้คนส่วนใหญ่เมื่อเห็นว่าหลินสวินมาถึงกลับแสดงสีหน้าดีใจกับความโชคร้ายของผู้อื่น ด้วยเห็นว่าเขามาครั้งนี้ไม่ต่างกับรนหาที่เอง
แววตาเห็นใจ ยิ้มเย็นชา ดูถูก ขบคิด เยาะหยัน ราวตาข่ายใหญ่โตที่ปกคลุมไปทั่วร่างหลินสวิน
ภายใต้สายตาของผู้คนนับหมื่นนี้ หลินสวินมีสีหน้าเรียบเฉย ก้าวขึ้นลานประลองอย่างไม่เร็วไม่ช้าเกินไป
เงาร่างผอมบางสูงโปร่ง สวมชุดสีขาวพระจันทร์ ผมดำรวบไว้ที่หลังศีรษะอย่างลวกๆ ขณะเคลื่อนไหวมีกลิ่นอายสุขุมเยือกเย็นราวเยื้องย่างในสวนอย่างไรอย่างนั้น
ผู้คนส่วนใหญ่ในที่นั้นได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของหลินสวินเป็นครั้งแรก คิดว่าอีกฝ่ายแม้ยังเยาว์ แต่ท่าทางกลับเหนือธรรมดามาก จึงอดประหลาดใจไม่ได้
ทันใดนั้นก็เข้าใจได้ว่า นี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว ถ้าคู่ต่อสู้ของฮวาอู๋โยวต่างชั้นกันเกินไป เช่นนั้นแล้วการประลองครั้งนี้ก็คงไม่มีอะไรน่าดู
ยิ่งหลินสวินแสดงออกอย่างแข็งแกร่ง เมื่อต่อสู้กัน ถึงจะทำให้ทุกคนได้เห็นความสามารถในตัวฮวาอู๋โยว
แน่นอนว่าแม้คิดเช่นนี้ ผู้คนในลานประลองส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมรับหลินสวินดังเดิม เพียงหวังไม่ให้เขาอ่อนแอเกินไป…
ในห้องรับรองห้องหนึ่ง สืออวี๋ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี และกงหมิงรวมตัวกันที่นั่น ตามองการปรากฏตัวของหลินสวิน
“พูดตามจริง ข้าเป็นห่วงแทนเขาอยู่บ้างจริงๆ” สืออวี่ถอนหายใจยาว
“ข้าก็ด้วย” หนิงเหมิงกลับไม่คัดค้านอย่างเห็นได้ยากนัก สีหน้าหนักใจ “ผู้หญิงอย่างฮวาอู๋โยวแม้จะน่าชิงชัง แต่ความสามารถในการต่อสู้แข็งแกร่งนัก”
กงหมิงกับเย่เสี่ยวชีแม้ไม่เอ่ยปาก แต่สีหน้าของพวกเขาเหมือนกับสืออวี่และหนิงเหมิง เห็นได้ชัดว่าในใจก็กังวลแทนหลินสวิน
เวลานี้ชายชราผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้อง พูดเสียงเบาว่า “นายน้อย ไปสืบมาแน่ชัดแล้วขอรับ ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงที่มาสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ครั้งนี้ นอกจากตระกูลฉินกับหานสองตระกูลนี้แล้ว ตระกูลอื่นอีกห้าตระกูลล้วนมีคนใหญ่คนโตมาดูด้วยตนเองของรับ”
“นอกจากนี้ มีคนของตระกูลทรงอิทธิพลชั้นกลางกับชั้นล่างมาดูมากนัก สรุปจำนวนได้ยากขอรับ”
“ที่แน่ใจได้ก็คือพวกไป๋หลิงซี จ้าวหยินล้วนมากันหมด รวมถึงพวกคนเก่งกาจจากสำนักศึกษามฤคมรกตบางคนก็มาด้วย”
“เพราะผู้มีอำนาจที่มาดูการประลองครั้งนี้มีมากยิ่ง ร่องรอยยากติดตาม จึงทำให้แยกแยะได้ยากว่าพวกเขาถูกฮวาอู๋โยวดึงดูด หรือตั้งใจมาเพราะคุณชายหลินสวินขอรับ”
เมื่อฟังมาถึงตอนนี้ สืออวี่สีหน้าเรียบนิ่ง เขาคาดไว้ก่อนแล้วว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้ อย่างไรเสียผู้ฝึกปราณในสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ก็มีมากนัก ลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลก็มีไม่น้อย จะแยกแยะจุดประสงค์ที่พวกเขามาที่นี่นั้น ย่อมเป็นเรื่องยากอย่างเห็นได้ชัด
ทว่าเมื่อชายชราพูดประโยคต่อมา กลับทำให้นัยน์ตาสืออวี่หดรัด
“ที่ควรค่าแก่การพูดถึงคือ ได้ยินว่าในราชวงศ์ก็มีสมาชิกชั้นสูงมาดูด้วยคนหนึ่งขอรับ!”
สืออวี่ใจสะท้าน ถึงกับดึงดูดความสนใจของราชวงศ์เลยหรือ
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ธรรมดาแน่!”
ดวงตาสืออวี่เปล่งประกาย “แค่การประลองของเด็กรุ่นเยาว์คู่หนึ่งเท่านั้น ต่อให้ครึกโครมแค่ไหน จะดึงดูดผู้มีอิทธิพลมามากมายขนาดนี้ได้อย่างไร เบื้องหลังของทั้งหมดนี้ต้องเกี่ยวข้องกับหลินสวินแน่!”
“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร” หนิงเหมิงอดถามไม่ได้ เวลานี้ชายสูงวัยผู้นั้นจากไปอย่างเงียบเชียบ
“คนทั้งโลกล้วนนึกไปว่า หลินสวินมีเรื่องกับตระกูลซ่ง ตระกูลฮวาสองตระกูลนั้นภายในคืนเดียว คิดว่าเขาใจกล้าคับฟ้า ไม่รู้ดีชั่ว ความจริงที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ก่อนหลินสวินจะเข้ามาในนครต้องห้าม เขาก็ผูกแค้นกับตระกูลฉือไปแล้ว!”
ดวงตาของสืออวี่เคร่งขรึมลง “เดิมทีข้าก็แปลกใจอยู่ว่าหลังจากหลินสวินเข้ามาในนครต้องห้าม ทำไมจู่ๆ ตระกูลฉือก็ไม่ลงมือกับหลินสวินอีก แต่พอดูสถานการณ์ในวันนี้ก็รู้ว่า เบื้องหลังของทุกอย่างนี้ต้องเก็บงำเรื่องลับที่พวกเราไม่อาจรับรู้ไว้มาก”
“และเรื่องลับเหล่านี้ย่อมเกี่ยวข้องกับหลินสวิน ต่อให้ฮวาอู๋โยวคนนั้นจะโดดเด่นสะดุดตาอย่างไร แต่ก่อนหน้านี้ไม่เคยถูกจับตามองมากเช่นนี้!”
เมื่อได้ฟังการวิเคราะห์ของสืออวี่ หนิงเหมิง กงหมิงและเย่เสี่ยวชีก็ตกใจระคนสงสัยนัก เบื้องหลังการต่อสู้ครั้งนี้ จะยังมีคลื่นใต้น้ำที่มองไม่เห็นมากมายเพียงนี้ได้หรือ
…
บนลานประลองขณะนี้ เงาร่างหลินสวินหยุดอยู่ห่างไปจากฮวาอู๋โยวสิบจั้ง
“เจ้ากล้ารับคำท้าประลอง ทำให้ข้าประหลาดใจเสียจริง แต่ถ้าเจ้าไม่มา ที่จะเสื่อมเสียไม่จบสิ้นก็คงเป็นตัวเจ้าเองและทุกสิ่งที่เจ้าครอบครอง เมื่อมองจุดนี้ เจ้าถือว่าเลือกได้อย่างชาญฉลาดโดยไม่ต้องสงสัย” ฮวาอู๋โยวเอ่ยอย่างเรียบเฉย
ดวงตาเป็นประกายดั่งดวงดาวของนางเย็นเยียบราวคมดาบ ปล่อยรังสีเย็นชาไหลออกมา จ้องมองหลินสวินอยู่ไกลๆ เผยให้เห็นพลังคุกคามน่าเกรงกลัว
ถ้าเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่น น่ากลัวว่าพอถูกนางกวาดสายตาใส่ก็คงตกใจจนขวัญหนีดีฝ่อ ความตั้งใจต่อสู้มลายสิ้น
แต่หลินสวินกลับเหมือนไม่ได้รับผลกระทบใดๆ พูดขึ้นว่า “ที่เจ้านัดประลองที่นี่ ก็เพื่อมาพูดจาไร้สาระเช่นนี้หรือ”
นี่แสดงให้เห็นว่าไม่เกรงใจ
ผู้ฝึกปราณที่ประสาทหูตาเฉียบคมเมื่อได้ยินเข้าก็อดอึ้งไปไม่ได้ หลินสวินผู้นี้คิดจะรีบตายหรือไงนะ ถึงได้กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมา หรือไม่กลัวว่าจะยั่วให้ฮวาอู๋โยวโมโห จนกำจัดเขาทิ้งให้สิ้นซากเสีย
เวลานี้เสียงเซ็งแซ่ในลานประลองพลันแผ่วลง เปลี่ยนไปเป็นเงียบเชียบ ทุกคนล้วนจับจ้องทุกอิริยาบถของหลินสวินและฮวาอู๋โยว
ทว่าฮวาอู๋โยวกลับไม่เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยปากอย่างเย็นชาว่า “ดูออกว่าเจ้าเตรียมใจพร้อมตายแล้ว นี่พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้โง่เขลา ที่จริงแล้วครั้งนี้ข้าก็ไม่คิดให้เจ้ารอดออกไปจากที่นี่ได้”
ประโยคเดียวก็ทำให้ผู้คนทั้งลานประลองสูดหายใจเย็นเยียบ โหดเหี้ยมยิ่งนัก ฮวาอู๋โยวกล้าพูดเช่นนี้ ย่อมกล้าทำแน่นอน!
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงสะท้านในใจ สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ถ้าฮวาอู๋โยวคิดจะฆ่าหลินสวิน นี่เป็นเรื่องยุ่งยากเสียแล้ว!
ส่วนหลินเทียนหลง หลินเนี่ยนซาน หลินผิงตู้ที่อยู่ในห้องรับรองอีกหลังหนึ่งสีหน้าล้วนขรึมขึ้น พวกเขาไม่ได้หวังให้หลินสวินถูกฆ่า นี่ย่อมส่งผลเสียต่อการแย่งชิงภูเขาชำระจิตของพวกเขาแน่
เพราะหากหลินสวินตายแล้ว สิทธิ์ควบคุมภูเขาชำระจิตจะถูกราชวงศ์ยึดกลับไป ถึงเวลานั้นตระกูลรองอย่างพวกเขาก็อย่าได้หวังจะได้กลับไปที่ภูเขาชำระจิตอีกเลย
“ดังนั้น การประลองครั้งนี้จะเป็นการต่อสู้ชี้เป็นชี้ตาย ไม่เจ้าตาย ก็เป็นข้าเองที่ตาย”
ฮวาอู๋โยวน้ำเสียงเย็นชา ตั้งแต่เริ่มจนจบ ดวงตาที่นางมองไปยังหลินสวินไม่มีอารมณ์หวั่นไหวใดๆ ราวกับที่จ้องอยู่นั้นเป็นคนตายคนหนึ่ง
“ศึกชี้เป็นชี้ตายงั้นหรือ”
หลินสวินย่อมประหลาดใจอยู่บ้าง ทันใดนั้นในใจก็อดยิ้มหยันไม่ได้ ฮวาอู๋โยวผู้นี้คิดว่าหมายหัวตนได้แล้วหรือ
“เจ้าคงไม่ได้คิดใช่ไหมว่า ที่ข้าอุตส่าห์เสียแรงท้าประลองกับเจ้าที่นี่เพียงเพื่อทำร้ายเจ้าสักรอบ”
ดวงตาราวดาราของฮวาอู๋โยวหรี่ลง “อย่าคิดว่าตัวจะบังเอิญโชคดีอีก หาเรื่องคนตระกูลฮวาของข้า ไม่มีสักคนที่มีชีวิตรอดบนโลกนี้ไปได้! มีแต่ตายเท่านั้นที่เป็นวิธีชำระโทษเพียงหนึ่งเดียว”
ถึงตอนนี้ผู้คนในที่นั้นก็มั่นใจได้แล้วว่า การท้าประลองครั้งนี้ของฮวาอู๋โยวท้า หมายใจจะสังหารจริงๆ!
ชั่วเวลาหนึ่ง ดวงตาหลายคู่ที่มองมายังหลินสวินนั้นไม่ได้เห็นใจ แต่เวทนา
“เช่นนี้ก็ดี” ที่เกินคาดก็คือ หลินสวินกลับหัวเราะเสียงดัง มีท่าทีพึงพอใจ
พาให้ทุกคนต่างอดสงสัยไม่ได้ว่า ที่เขาทำเช่นนั้นเพราะมีความสามารถจริง หรือรู้ดีว่าตนต้องตาย เลยปลดปล่อยออกมาจนหมดกันแน่
“ฮ่าๆๆ หลินสวินเจ้าก็มีวันแบบนี้ได้!” ในห้องรับรองในลานประลองนั้น ฮวาอู๋เหินหัวเราะเสียงดังอย่างแค้นเคือง เขาถูกหลินสวินทำร้ายกลางถนน เสียหน้ายับเยิน ถ้าฆ่าหลินสวินไม่ได้ เช่นนั้นต่อไปเขาคงเชิดหน้าไม่ได้อีก
ครั้งนี้มีฮวาอู๋โยวออกหน้าแทนเขา จะสังหารหลินสวินก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
“รอเอาเถอะ หลังฆ่าเจ้าได้แล้ว ข้าจะไปทำลายหลินเสวี่ยเฟิงเพื่อระบายความแค้นที่อยู่ในใจซะ!”
ฮวาอู๋เหินกัดฟันกรอด สีหน้าโหดเหี้ยมน่ากลัว
“อย่าพูดพร่ำทำเพลงอีกเลย เริ่มเถอะ”
บนลานประลอง รอบกายหลินสวินเอ่อล้นไปด้วยแสงวิญญาณสีฟ้าอ่อน เสื้อผ้าปลิวไหว ท่าทีพลันเปลี่ยนไป เต็มไปด้วยความดูถูก
ดวงตาหลายคนเปล่งประกาย พลังเช่นนี้…ไม่ใช่ว่าระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นทั่วไปจะมีได้ เจ้าเด็กนี่ถึงจะโอหังไม่สนใจสิ่งใด แต่ของดีในตัวชัดเจนว่าไม่ด้อย
“ในเมื่อรนหาที่ตาย ข้าก็จะสงเคราะห์ให้เจ้า” ท่ามกลางน้ำเสียงเรียบเฉย ร่างสีเพลิงของฮวาอู๋โยวก็กระโจนขึ้นกลางอากาศ นิ้วมือขาวโพลนเรียวยาวประสานกัน
พรึ่บ!
ฝนดอกไม้สีแดงหม่นราวเลือดพลันปรากฏขึ้นกลางอากาศลอยละล่องไปทั่ว ห้วงอากาศราวถูกย้อมด้วยสีเลือด เปี่ยมไปด้วยความงามตระการตา
“เคล็ดวิชาฝนบุปผาผลาญวิญญาณ! หนึ่งในหกวิชาใหญ่ที่สืบทอดกันมาในตระกูลฮวา!”
ทั้งลานประลองตื่นตระหนก ล้วนไม่คิดว่าฮวาอู๋โยวจะเร่งรัดถึงเพียงนี้ ทันทีที่ลงมือก็ใช้กระบวนท่าพิฆาตอย่างแท้จริงแล้ว
ฝนดอกไม้เต็มฟ้านั้นดูเหมือนอ่อนโยนนุ่มนวล แต่หากแตะต้องเข้าก็จะเกิดพลังทำลายล้างขึ้น ส่งผลร้ายแรงทำให้จิตวิญญาณไม่สามารถฟื้นคืนได้
ชัดเจนว่าที่ฮวาอู๋โยวทำเช่นนี้เพราะไม่ต้องการเปลืองเวลา และไม่ต้องการให้โอกาสหลินสวินได้ต่อสู้
อย่างไรเสียในสายตาฝูงชนนับหมื่นในลานประลองต่างเห็นว่า หากยอมให้หลินสวินต่อสู้ได้ สำหรับฮวาอู๋โยวแล้วถือเป็นการดูหมิ่นอย่างหนึ่ง!
ครืน!
ฝนดอกไม้ที่ลอยละล่องบนฟ้าย้อมสีแดงก่ำดุจโลหิตไปทั่วฟ้ากว้าง งดงามเย็นชา บอบบางแต่สง่า ทว่าซ่อนจิตสังหารหาที่สุดไม่ได้
หลินสวินไม่หลบไม่หนี รอบกายพลันเกิดแสงยวงสีฟ้าอ่อนนับหมื่นพันระเบิดพลุ่งพล่าน แสงทั้งมวลนั้นไหลเข้ามาในหมัดแล้วโจมตีออกไป
กระบวนท่าทลายสมุทร!
พลังหมัดนั้นราวภูเขาถล่มทะเลทลาย บดขยี้ห้วงอากาศเสียงครั่นครืนไม่มีผู้ใดต้านทานได้ ในเวลาชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ฝนดอกไม้ที่ลอยทั่วท้องฟ้าก็ถูกบดขยี้จนสลายไปราวฝุ่นผง
ฝูงชนพลันตกตะลึง นี่มันวิชาหมัดอะไรกัน ถึงได้สลายเคล็ดวิชาฝนบุปผาผลาญวิญญาณด้วยพลังแข็งแกร่งเช่นนี้ได้
เห็นเช่นนี้แล้ว หลินสวินผู้นี้ก็ถือว่าพอมีฝีมืออยู่บ้าง
“หึ!”
เกิดประกายเยียบเย็นขึ้นในตาของฮวาอู๋โยว ผมดำขลับของนางปลิวไสว ทั้งใบหน้าปรากฏจิตสังหาร มือขาวสะอาดเรียวยาวแกว่งกวัดไปในอากาศ
ดอกไม้เลือดสีสันสดสวยดอกหนึ่งบานขึ้นกลางอากาศ งดงามสะดุดตาราวกับจะดูดกลืนวิญญาณ งามจนสะท้านจิตสะเทือนวิญญาณ
ผู้ฝึกปราณในที่นั้นไม่น้อยล้วนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ถูกรบกวนด้วยพลานุภาพที่การโจมตีนี้ปล่อยออกมา ราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน
หลินสวินในตอนนี้มีดวงดาวแห่งจิตกว่าเจ็ดร้อยยี่สิบดวงลอยในห้วงนิมิต จิตวิญญาณแข็งแกร่งจนไม่อาจหยั่งรู้ว่าอยู่ระดับใดได้นานแล้ว จะถูกภาพภาพนิมิตชั้นนี้รบกวนได้อย่างไร
สีหน้าของเขาสงบนิ่ง กระโจนตัวขึ้นใช้กระบวนท่าทลายวิญญาณโจมตีออกไปหมายสังหาร
ปัง!
ใครจะคิดว่า ไม่ทันรอให้พลังหมัดนั้นเข้าใกล้ ดอกไม้โลหิตงดงามสดสวยพลันระเบิดออกกลางอากาศ ยิงแสงวิเศษสีโลหิตแถบหนึ่งกวาดม้วนออกมา
ภาพการณ์นั้น เหมือนทะเลโลหิตเชี่ยวกรากถาโถมออกมาจากห้วงอากาศหมายจะท่วมทับโลก!
นี่ก็คือ ‘บุปผานิรมิตรทะเลโลหิต’! หนึ่งในกระบวนท่าสังหารของเคล็ดวิชาฝนบุปผาผลาญวิญญาณ ดอกไม้ราวภาพอัศจรรย์ เก็บกักจิตสังหารนับไม่ถ้วนไว้ภายใน!
เพียงพริบตาเดียวหลินสวินก็สะท้านไปทั้งร่าง ถูกพลานุภาพมหาศาลที่ร้อนแรงน่าสะพรึงกลัวกระแทกเข้าอย่างโหดเหี้ยมจนซวนเซถอยออกไปไม่หยุด
ฝูงชนร้องออกมาด้วยความตกตะลึง หรือว่าหลินสวินจะพ่ายแพ้เช่นนี้เสียแล้ว
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงล้วนจิตใจหดรัด กังวลขึ้นมา