Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 375
อึก!
หลินสวินกระอักเลือด เจ็บปวดไปทั่วร่าง
เมื่อกี้เขาโดนโจมตีกะทันหัน ถูกพลังน่าสะพรึงกลัวของระดับหยั่งสัจจะกดทับ ได้รับบาดเจ็บไม่น้อย
ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเก็บดาบหลบออกมาได้ในช่วงเวลาสำคัญ เพียงการโจมตีเดียวนี้ก็สามารถเอาชีวิตเขาได้!
พลังระดับหยั่งสัจจะ ได้เห็นเพียงส่วนเดียวก็รับรู้ถึงความแข็งแกร่งแล้ว!
ฮวาเชียนเฉิงเข้าโจมตีกะทันหัน ทำให้ทั้งลานประลองประหลาดใจ นี่เป็นศึกชี้เป็นชี้ตายที่ฮวาอู๋โยวเสนอขึ้น แต่ตอนนี้ พวกเขาตระกูลฮวากลับละเมิดกฎ น่าขายหน้าเกินไปแล้ว
ทว่าที่ทำให้ผู้คนคิดไม่ถึงคือ พอฮวาเชียนเฉิงพุ่งเข้าไปในลานประลองแล้วกลับไม่ได้ไปช่วยฮวาอู๋โยว แต่กลับกระโจนร่างเงื้อฝ่ามือแหวกอากาศซัดไปยังหลินสวิน
นี่มันเกินไปแล้ว!
“หน้าไม่อาย!” ผู้แข็งแกร่งอาวุโสหลายคนในที่นั้นเองก็อดโกรธขึ้นมาไม่ได้ แบบนี้เห็นชัดว่าต้องการใช้โอกาสนี้สังหารหลินสวินในคราวเดียว!
“น่ารังเกียจ!” พวกสืออวี่ หนิงเหมิงเย็นเยียบไปทั่วร่าง ราวตกลงไปในหลุมน้ำแข็ง ความไม่ละอายและความร้ายกาจโหดเหี้ยมของฮวาเชียนเฉิงทำให้พวกเขาผิดคาดไป
“ต่ำทราม!” ขนาดผู้ชมที่ดูถูกหลินสวินก่อนหน้านี้บางคน เมื่อได้เห็นภาพนี้ก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ ตระกูลฮวานี้กำเริบเสิบสานเกินไปแล้ว!
ตูม!
แต่มาพูดอะไรเอาตอนนี้ก็สายไปแล้ว เห็นเพียงเมฆแสงน่าสะพรึงกลัวรวมตัวเป็นมือใหญ่สีดำตบลงมา บดขยี้ห้วงอากาศครั่นครืน
หลินสวินที่มีเพียงปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นต้นพลันแข็งทื่อไปทั้งตัว เลือดลมราวถูกแช่แข็ง ประหนึ่งมีภูเขาเทพสูงตระหง่านกดทับร่างไว้
ไร้ทางหลบหนี!
ถึงขั้นที่พลังน่าสะพรึงกลัวที่เต็มเปี่ยมอยู่ในมือนี้ ทำให้หลินสวินยากจะมีความคิดจะต่อต้าน
ทว่า เผชิญเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ สีหน้าหลินสวินกลับไม่ตื่นตระหนก ยังคงสงบนิ่งอย่างเคย
เงาร่างของเขายืนตระหง่านอยู่ที่เดิม ดวงตาสีดำปรากฏแววเยียบเย็นอย่างถึงที่สุด ในมือเขาปรากฏไข่มุกดำขลับแวววาวเพิ่มขึ้นมาเม็ดหนึ่งไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
ฟิ้ว~
ไข่มุกพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า โคจรหมุนคว้างเป็นวงกลม ปรากฏเป็นลวดลายลับที่สลับซับซ้อนและน่าพรั่นพรึง คลื่นขมุกขมัวน่ากลัวตลบอบอวลตามมา
ตูม!
เสียงดังสะท้านฟ้าดินกระหึ่มขึ้น บนลานประลองราวกับภูเขาทลายคลื่นยักษ์ซัดสาด เสาลำแสงทำลายล้างน่าหวาดหวั่นเสาหนึ่งพุ่งขึ้นมา บดขยี้ห้วงอากาศ ทำลายล้างกระแสลม
ลานประลองทั้งลานในเวลานี้สั่นสะเทือนไปทั่ว บังเกิดเสียงหวีดหวิวแหลมคมไม่อาจรับแรงไหวออกมา
ภาพนี้น่ากลัวยิ่งนัก ประหนึ่งผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะชั้นยอดกำลังแสดงพลานุภาพ ต้องการผลาญสิ้นฟ้าดิน กำราบภูผานทีอย่างกราดเกรี้ยว!
พลังทำลายล้างเกินจินตนาการนั้นพาให้ผู้ฝึกปราณทั้งลานประลองหลายคนส่งเสียงหวีดร้องพรั่นพรึงออกมา ตกตะลึงไม่หยุดหย่อน
ขนาดคนใหญ่คนโตเหล่านั้นยังอดสะท้านสะเทือน จิตใจสั่นไหวไปด้วยมิได้
ปัง!
ท่ามกลางฝุ่นละอองตลบอบอวล เงาร่างผอมแห้งของฮวาเชียนเฉิงถูกซัดกระเด็น ส่งเสียงร้องเจ็บปวดอย่างตื่นตระหนกและโมโห
เกิดเสียงดังตุ้บ ผู้ฝึกปราณยิ่งใหญ่ระดับหยั่งสัจจะเช่นเขากลับกระเด็นลงมาบนพื้นอย่างยับเยิน ปากพลันกระอักเลือดสีแดงสดออกมา!
ทั้งลานประลองนิ่งงัน ตาเบิกค้างพูดไม่ออก
หลินสวินผู้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายถึงชีวิต เดิมไม่มีแรงต้านทานได้นั้น กลับอาศัยเพียงไข่มุกเม็ดเดียวก็สลายเภทภัยที่จะปลิดชีพตนได้!
ทั้งยังทำร้ายฮวาเชียนเฉิงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะผู้ยิ่งใหญ่อย่างสาหัส!
นี่ก็คือพลังของไข่มุกสะเทือนสวรรค์
ไข่มุกนี้ก็คือสมบัติวิเศษที่ตะพาบเขียวหลอมขึ้นเพื่อฆ่าเวลาเมื่อครั้งถูกขังที่โบราณสถานบรรพกาล ตลอดเวลาพันปี ตะพาบเขียวหลอมออกมาเพียงเก้าเม็ดเท่านั้น อานุภาพแข็งแกร่ง เพียงพอที่จะทำร้ายผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะอย่างสาหัสได้!
ยามออกมาจากโบราณสถานบรรพกาล ตะพาบเขียวมอบให้หลินสวินอย่างใจกว้างไว้สามเม็ด หลินสวินเก็บไว้กับตัวมาโดยตลอด ไม่เคยมีโอกาสได้นำออกมาใช้
ทว่าตอนนี้ ฉับพลันที่นำออกมาใช้ ความแกร่งกล้าของพลานุภาพยังพาให้ใจหลินสวินสั่นไหวไม่หยุด แข็งแกร่ง แข็งแกร่งไปแล้ว! สมกับนาม ‘สะเทือนสวรรค์’!
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน ถึงกับร้ายกาจปานนี้ วันนี้ข้าจะไม่สนเกียรติภูมิ อย่างไรก็ต้องสังหารเจ้าเสียที่นี่เพื่อเชือดไก่ให้ลิงดู!”
ฮวาเชียนเฉิงโกรธจนสั่นไปทั้งตัว ในสายตาผู้คนนับหมื่น เขามีฐานะเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะผู้ยิ่งใหญ่ กลับถูกหลินสวินทำร้ายกระเจิดกระเจิงด้วยไข่มุกเม็ดเดียว ถือเป็นความอัปยศอดสูยิ่ง!
โครม!
เสียงพูดไม่ทันเงียบลง ฮวาเชียนเฉิงก็ออกโจมตีอีกครั้ง หนวดเคราเผ้าผมของเขาสยายออกบ้าคลั่ง ดวงตาดุร้ายราวสายฟ้าฟาดแปลบปลาบ ความแข็งแกร่งของพลานุภาพพาให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
“เศษสวะ!”
เพียงแต่ชั่วขณะนี้ฮวาเชียนเฉิงได้สูญเสียโอกาสไปเสียแล้ว ระหว่างที่เขากำลังลงมือก็ได้ยินเสียงเย็นชาเคร่งขรึมดังขึ้น
เสียงนั้นราวกับเสียงปรามาสของเทพอัสนี สะท้านสะเทือนไปทั้งวิญญาณ
ฝูงชนเพียงรู้สึกว่าดวงตาพร่ามัว เงาร่างสูงตระหง่านโหดเหี้ยมร่างหนึ่งปรากฏขึ้นบนลานประลอง มือใหญ่ดั่งพัดเข้าตะปบ
บังเกิดเสียงดังตูม ห้วงอากาศระเบิดกระจุย ร่างของฮวาเชียนเฉิงราวถูกมือใหญ่ไร้รูปร่างกุมไว้แล้วทุ่มลงพื้นอย่างโหดเหี้ยม กระดูกทั้งกายไม่รู้แตกไปกี่ซี่ ทั้งร่างหดเกร็ง เลือดไหลไม่หยุด
ทั้งลานประลองเงียบสนิทไร้เสียง
ดวงตาทุกคู่จับจ้องไปยังเงาร่างสูงใหญ่ที่ปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ฮวาเชียนเฉิงเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ พลังแข็งแกร่งมหาศาลขนาดไหน แต่เมื่ออยู่ในมือบุรุษร่างสูงตระหง่านผู้นี้ กลับเหมือนไม่มีฝีมือสมกับที่ร่ำลือ ถูกการโจมตีเดียวกำราบลงกับพื้น
โหดเหี้ยมดุดันเกินไปแล้ว!
พาให้คนไม่กล้าคาดคิด
เงาร่างสูงใหญ่นี้ก็คือจูเหล่าซาน เขามาด้วยกันกับหลินสวิน ย่อมไม่อาจทนเห็นฮวาเชียนเฉิงทำร้ายหลินสวินได้
“จูเหล่าซาน ฆ่าเขาซะ!”
หลินสวินเอ่ยปากอย่างไม่ลังเลด้วยเสียงเยียบเย็น
การประลองชี้เป็นชี้ตายแต่เดิม กลับถูกตาแก่นี่ยื่นมือเข้ามาขัดขวาง ไม่เพียงทำให้หลินสวินเสียโอกาสสังหารฮวาอู๋โยว ทั้งเกือบเอาชีวิตหลินสวินไปด้วย
ในสถานการณ์เช่นนี้หลินสวินจะเกรงใจอยู่ได้อย่างไร
จูเหล่าซานพยักหน้าน้อยๆ แล้วย่างสามขุมไปยังฮวาเชียนเฉิง สีหน้าเย็นชา ใบหน้าไร้อารมณ์ เงาร่างสูงใหญ่น่าเกรงขาม เผยให้เห็นความหาญกล้าหาใดเทียม พาให้ฝูงชนทั้งลานประลองอดเปลี่ยนสีหน้าไม่ได้
หลินสวินผู้นี้โหดเหี้ยมเสียจริง!
ส่วนฮวาเชียนเฉิงผู้นั้นน่ากลัวจะคิดไม่ถึงว่า การที่เขาแทรกแซงเข้ามาในการต่อสู้นี้อย่างไม่สนหน้าตา กลับก่อให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ขึ้นกระมัง
“เจ้าสารเลวกำเริบเสิบสาน หรือจะรังแกจนตระกูลฮวาของข้าไร้คนไปเลย”
เสียงทุ้มต่ำน่ากลัวดังกึกก้องขึ้น ก็เห็นว่ามีบุรุษน่าเกรงขามสวมชุดสีขาวยืนอยู่ด้านหน้าฮวาเชียนเฉิงแล้ว
เขาสวมชุดแขนกว้างคาดเอวด้วยเข็มขัดหนา ท่วงท่าสง่างาม ยืนอย่างสบายอยู่ตรงนั้น มีความน่ายำเกรงไร้รูปร่างแบบหนึ่ง ราวราชันผู้อยู่เบื้องบนมานานมองลงมายังใต้หล้า
ฮวาชิงหลิน!
ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะที่มีชื่อเสียงร่ำลือแห่งตระกูลฮวา ปัจจุบันมีตำแหน่งเป็นแม่ทัพโทแห่งกรมทหาร ออกศึกมาห้าสิบปี ฆ่าศัตรูไม่รู้เท่าไร มือทั้งสองย้อมไปด้วยเลือด ถือเป็นหนึ่งใน ‘พยัคฆ์ร้ายทั้งห้าแห่งจักรวรรดิ’!
เห็นฮวาชิงหลินออกหน้า ผู้คนในลานประลองอดสูดลมหายใจเย็นเยียบไม่ได้ เรื่องไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นในการประลองวันนี้ นั้นน่าตื่นตระหนกไปแล้ว!
“เฮอะๆ เป็นพวกเจ้าต่างหากที่รังแกคนอื่นมากไป”
หลินสวินหัวเราะเบาๆ ในดวงตาดำมีแต่ความเย็นชา “กฎนั้นพวกเจ้าตระกูลฮวาเป็นผู้กำหนด แต่กลับถูกพวกเจ้าทำลายเอง ไร้ยางอายไปแล้ว”
หลินสวินชั่วขณะนี้เดือดดาลเสียแล้ว ไม่สนใจสักนิดว่าฮวาชิงหลินผู้นั้นมีฐานะชั้นใด “ถ้าเพียงเท่านี้ก็คงไม่เป็นอะไรมากนัก แต่พวกเจ้าตระกูลฮวากลับให้ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะมาฆ่าข้าที่เป็นผู้เยาว์คนหนึ่ง เหอะๆ ข้ายังไม่เคยพบเคยเห็นคนแก่หน้าด้านไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน”
วาจาไร้ความเกรงใจ ขาดแค่ไม่ได้ชี้หน้าด่าเท่านั้น
คิดไปก็จริงอยู่ ที่นี่เป็นถึงสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ ในเมื่อนัดประลองแล้วก็ต้องทำตามกฎ!
แต่ในสายตาฝูงชนนับหมื่นนี้ ตระกูลฮวากลับพูดอย่างทำอย่าง เหยียบย่ำกฎเกณฑ์ ดูหมิ่นทุกสิ่ง เรื่องเช่นนี้หากเกิดกับผู้ใดเข้าจะไม่เดือดดาลได้อย่างไร
ฮวาชิงหลินหรี่ตาลงเล็กน้อย พูดชัดถ้อยชัดคำ “เจ้าหนู เจ้านี่รนหาที่ตาย!”
เขาดูเหมือนสง่าผ่าเผย แต่แท้จริงกลับเป็นคนโหดเหี้ยม มิเช่นนั้นคงไม่สามารถถูกจัดอยู่ใน ‘พยัคฆ์ร้ายทั้งห้าแห่งจักรวรรดิ’ ได้
เสียงเพิ่งเงียบลง บรรยากาศรอบกายเขาพลันเปลี่ยนผัน ราวกับแปลงกายเป็นราชันที่ออกศึกในสนามรบ เต็มไปด้วยจิตสังหารกระหายเลือดร้ายกาจ
แทบจะในเวลาเดียวกัน ดวงตาของจูเหล่าซานฉายแววเยียบเย็นน่าตกใจ ร่างสูงใหญ่สะเทือนเลือนลั่นเต็มไปด้วยไอพิฆาตเลือดเหล็ก
“หือ ดูออกว่าเจ้าก็เป็นมือดีในสนามรบ เหตุใดถึงเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อเจ้าเด็กนี่ ถอยไปซะ มิเช่นนั้นข้าจะลงโทษประหารเจ้าตามกฎทหาร!”
เมื่อสัมผัสได้ถึงไอพลังของจูเหล่าซาน ฮวาชิงหลินหรี่ตาลง เอ่ยขึ้นด้วยเสียงหนักแน่นราวกับแม่ทัพผู้บัญชาพลหมื่นม้ากำลังออกคำสั่ง
“ข้าออกจากกองทัพมาหลายปีแล้ว เจ้าคิดจะให้ข้าถอย คงไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ” จูซานเฉยชา
“เช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน!” ฮวาชิงหลินส่งเสียงฮึเยียบเย็น
ขณะที่การประลองระหว่างยอดผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะกำลังจะปะทุ ในเวลานี้เองมีเสียงถอนหายใจดังขึ้น
“แม่ทัพฮวา สังเวียนสวรรค์ยุทธ์ไม่ใช่อาณาเขตของพวกเจ้าตระกูลฮวาเสียหน่อย”
ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งสวมชุดแพรหรูหรา ท่าทางมั่งมี สวมหมวกกลมเล็กบนหัว ปรากฏตัวขึ้นบนลานประลอง
สองมือของเขาซ่อนอยู่ในแขนเสื้อ ราววาณิชผู้สัตย์ซื่อคนหนึ่ง แสดงสีหน้าจนใจ
แต่คนที่รู้จักชายวัยกลางคนผู้นี้กลับไม่มีใครกล้าดูแคลนเขา เพราะเขาแซ่จ้าว นามว่าไท่ไหล เป็นเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์แห่งนี้!
ที่สำคัญที่สุดคือ จ้าวไท่ไหลยังเป็นราชนิกุล!
เมื่อเขาปรากฏตัว ผู้คนมากมายล้วนอดประหลาดใจไม่ได้ จ้าวไท่ไหลเป็นคนไหลลื่นไม่ล่วงเกินใคร น้อยนักจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับความขัดแย้งขั้นนี้
แต่ตอนนี้เขากลับปรากฏตัวขึ้นอย่างผิดวิสัย ทั้งยังเข้าห้ามฮวาชิงหลิน นี่ช่างพิกลนัก
“เจ้า…ต้องการหยุดข้าหรือ”
ฮวาชิงหลินอดขมวดคิ้วไม่ได้
“เป็นพวกเจ้าตระกูลฮวาละเมิดกฎก่อน ข้ามาเพราะไม่อยากให้เรื่องนี้เลวร้ายลงไปอีก”
จ้าวไท่ไหลถอนหายใจอย่างไม่พอใจ
“ถ้าข้าไม่ยอมเล่า”
ฮวาชิงหลินสีหน้าเย็นชาราวน้ำแข็ง คนอื่นอาจหวั่นเกรงฐานะของจ้าวไท่ไหล แต่เขาไม่กลัว ราชนิกุลก็มีหลายประเภท บังเอิญว่าราชนิกุลอย่างจ้าวไท่ไหลไม่ควรค่าให้เขาได้ยำเกรง
ฝูงชนในที่นั้นล้วนตะลึงไปพอควร ฮวาชิงหลินผู้นี้ก็แข็งกร้าวนัก เห็นกันอยู่ว่าพวกเขาตระกูลฮวามีความผิดซึ่งหน้า แต่ยังคงโอหังไม่เกรงกลัวดังเดิม พาให้คนประหลาดใจ
แต่นี่เป็นบุคลิกของคนในตระกูลฮวา ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด ตระกูลฮวานั้นขึ้นชื่อเรื่องความวางโตมาตลอด
“ไม่ ครั้งนี้แม่ทัพฮวาท่านต้องยอมรับ”
ที่เกินคาดคือจ้าวไท่ไหลในเวลานี้หนักแน่นถึงที่สุด สีหน้าไม่หวั่นไหว “นี่ไม่ได้เป็นท่าทีของข้าแต่เพียงผู้เดียว ขอให้แม่ทัพฮวาไตร่ตรองให้ดี”
ฮวาชิงหลินจิตใจสั่นวาบ ตกอยู่ในความนิ่งเงียบ
ฝูงชนในที่นั้นล้วนดูออกว่าคำนี้มีนัยแอบแฝง จ้าวไท่ไหลยับยั้งฮวาชิงหลินอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ ที่แท้ที่เขาแสดงออกมานั้น…
ย่อมไม่ใช่ท่าทีของเขาเพียงผู้เดียว!
พูดง่ายๆ ก็คือ มีคนให้จ้าวไท่ไหลออกหน้าแทนเพื่อยับยั้งทุกสิ่ง
แต่ว่าเป็นใครกันถึงสามารถสั่งการจ้าวไท่ไหลเจ้าของสังเวียนสวรรค์ยุทธ์ผู้นี้ได้
“หึ!”
ในที่สุดฮวาชิงหลินส่งเสียงฮึดฮัด ดวงตาเย็นเยียบดั่งคมดาบกวาดไปยังหลินสวินรอบหนึ่ง แล้วพาฮวาเชียนเฉิงและฮวาอู๋โยวออกไปนอกลานประลอง
เห็นเช่นนี้ผู้ชมทั้งลานประลองก็ล้วนถอนใจโล่งอกเงียบๆ ถ้าฮวาชิงหลินบันดาลโทสะในเวลานี้ก็คงน่ากลัวยิ่งนัก
เห็นว่าการประลองคลี่ลายลงได้เช่นนี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
อย่างไรเสีย ไม่ว่าอย่างไรหลินสวินก็รักษาชีวิตจากการเผชิญหน้ากับตระกูลฮวา ตระกูลทรงอำนาจที่แข็งกร้าวใช้อำนาจบาตรใหญ่ไว้ได้ ผลลัพธ์เช่นนี้ถือว่าดีมากแล้ว
แต่กระนั้นใครก็คาดไม่ถึงว่า ในเวลานี้จู่ๆ หลินสวินกลับเอ่ยปากอย่างหนักแน่นกังวาน “คิดจะไปงั้นหรือ ง่ายดายเช่นนี้เสียที่ไหน จูเหล่าซาน จัดการเขาให้ข้า!”