Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 380 หนทางยากลำบาก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 380 หนทางยากลำบาก
หลินสวินก้าวเข้าไปพร้อมพูดอย่างฉงน “ท่านเหมือนจะมีเรื่องทุกข์ใจ?”
พญาแร้งยังคงมองท้องฟ้า สีหน้าราบเรียบกล่าวว่า “ไม่ถึงกับเป็นเรื่องทุกข์ใจ เพียงแค่ชีวิตสงบสุขเกินไปจนระแวง บางอย่างก็ควรเตรียมพร้อมเอาไว้บ้าง”
หลินสวินนั่งลงที่พื้นข้างๆ ลวกๆ สองแขนกอดเข่า ดวงตาดำขลับทอดมองฟ้า “ท่านจะแบ่งปันกับข้าได้หรือไม่”
“จะว่าไป เรื่องพวกนี้ก็เกี่ยวกับเจ้าทั้งสิ้น”
“ข้าหรือ”
“ใช่”
พญาแร้งเก็บสายตาแล้วหันมองเสี้ยวหน้าคมคายของเด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างๆ “ภูเขาชำระจิตในตอนนี้ดูแล้วเจริญรุ่งเรือง เรื่องที่คั่งค้างได้รับการสะสาง ทว่าความจริงมีภัยร้ายบางอย่างซ่อนอยู่”
หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย “ท่านพูดตามจริงได้เลย”
“อย่างไรภูเขาชำระจิตก็ยังขาดกำลังหลักในการบัญชาการภาพรวมอย่างแท้จริง”
พญาแร้งพูดอย่างหนักใจ “เจ้าคงรู้ดีว่าสักวันจูเหล่าซานต้องไปจากที่นี่ แม้ทั่นฮวาม้าขาวเสิ่นจิงหลุนยังอยู่ แต่เขาวางตนเป็นบ่าวรับใช้ เกรงว่าจะแบกรับภาระใหญ่โตไม่ได้”
“ย้อนกลับไปมองที่สามตระกูลรองของตระกูลหลิน แม้ตอนนี้จะยังทำอะไรเจ้าไม่ได้ แต่ในตระกูลของพวกเขามียอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะอยู่มากมาย ถึงขนาดมีผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติเป็นผู้บัญชาการ ขอเพียงพวกเขามีโอกาส ย่อมต้องโจมตีภูเขาชำระจิตอย่างไม่คิดไว้ชีวิตแน่”
หลินสวินหัวใจกระตุกวูบ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นไม่น้อย
“หากไม่จัดการภัยร้ายนี้ สักวันทุกสิ่งทุกอย่างที่ภูเขาชำระจิตสร้างมาคงกลายเป็นของคนอื่น”
นัยน์ตาของพญาแร้งฉายประกายแห่งสติปัญญา “แม้ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลหลินแห่งแสงอุดร แต่ถึงตอนนั้นพวกเขาก็คงช่วยอะไรไม่ได้”
หลินสวินเงียบไปครู่ “ท่านมีแผนการแก้ไขใดหรือไม่”
พญาแร้งครุ่นคิดอยู่นานค่อยกล่าว “ยากเกินไป นอกเสียจากเจ้าจะสามารถเชิญเจ้าของกระบี่โบราณเหมยคดมาช่วยเจ้าได้”
“เป็นไปไม่ได้”
หลินสวินปฏิเสธทันควัน อีกฝ่ายเพียงคอยหนุนหลังตน แต่ถ้าอยากให้ช่วยแก้ไขปัญหา นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด
ส่วนตำหนักรัตติกาล หลินสวินเองก็ไม่อาจคาดหวัง อีกฝ่ายช่วยตนมามากพอแล้ว อีกทั้งในนครต้องห้ามนี้ ผู้อาวุโสท่านนั้นได้พูดชัดแล้วว่าจะไม่ยุ่งเรื่องของเขาอีก
ในสถานการณ์แบบนี้หลินสวินต้องแก้ปัญหาทั้งหมดด้วยตัวเองเท่านั้น
พญาแร้งกล่าวอย่างไตร่ตรอง “ถ้าเจ้าสามารถทำให้จูเหล่าซานอยู่ที่นี่ตลอดไปได้ ขณะเดียวกันก็หาผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะมาใช้งาน บางทีอาจจะแก้ปัญหานี้ได้”
ให้จูเหล่าซานอยู่ต่อ!
หลินสวินตาทอประกาย ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดเรื่องนี้ เพียงแต่ตลอดมายังคิดวิธีดีๆ ไม่ออกเท่านั้น
“ท่านมีวิธีหรือไม่” หลินสวินอดถามไม่ได้
พญาแร้งระบายยิ้มกล่าว “ก่อนหน้านี้ข้าก็คิดเรื่องนี้มาตลอด แม้จะยังไม่มีวิธีที่เป็นรูปธรรม แต่ถ้าเจ้าสามารถสนองความต้องการได้ตรงจุด บางทีอาจจะทำให้จูเหล่าซานติดตามเจ้าได้”
หลินสวินจมสู่ห้วงความคิดทันที อยากชนะใจผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะขั้นสูงย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
แต่ต้องเอาอะไรออกมาล่อเล่าจึงจะทำให้จูเหล่าซานอยู่ต่อ?
หลินสวินคิดไม่ออกจริงๆ
ผู้หญิง เงินทอง อำนาจ… เรียกได้ว่าของทั่วๆ ไปเหล่านี้ไม่สามารถดึงดูดยอดฝีมือระดับจูเหล่าซานได้
“เจ้าไม่ต้องเสียเวลาคิดแล้วล่ะ”
ทันใดนั้นเสียงต่ำลึกเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น ไม่รู้ว่าร่างสูงใหญ่กำยำของจูเหล่าซานมายืนอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาลที่ห่างออกไปตั้งแต่เมื่อไหร่
หลินสวินอึ้งไปทันที
พญาแร้งกลับยิ้มบางๆ ราวกับเดาออกตั้งนานแล้วว่าจูเหล่าซานต้องปรากฏตัว
“ระดับมหาสมุทรวิญญาณมีอายุขัยสามร้อยปี ระดับหยั่งสัจจะมีอายุขัยหกร้อยปี ตอนนี้อายุขัยของข้าเหลือไม่ถึงสองปี แม้เจ้าให้ข้าอยู่ต่อ ก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาของเจ้าได้”
จูเหล่าซานเอ่ยปากอย่างราบเรียบ
หลินสวินคาดไม่ถึง ในใจพลันรู้สึกสับสน ไม่คิดเลยว่าจูเหล่าซานจะเหลืออายุขัยไม่ถึงสองปี!
แต่นี่ก็คือความจริง!
หนทางที่ผู้ฝึกปราณแสวงหานั้น ถ้าไม่นับชื่อเสียงและพลัง เป้าหมายพื้นฐานที่สุดก็เพื่อยืดอายุขัย เพื่อชีวิตอันเป็นอมตะ!
แต่หนทางนั้นแสนจะโหดร้าย นับตั้งแต่โบราณกาล ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือมากมายเท่าไรที่สุดท้ายพ่ายแพ้ให้กับกาลเวลา เพราะไม่สามารถทะลวงระดับปราณได้ ทำให้อายุขัยดับสูญ พลังปราณดับสลายไปพร้อมความคั่งแค้น
ตัวอย่างแบบนี้มีให้เห็นมากมาย
โดยเฉพาะยิ่งระดับพลังปราณสูงเท่าไหร่ การจะบรรลุขั้นต่อไปก็ยิ่งยาก ถ้าไม่สามารถทะลวงขั้นได้ ต่อให้เป็นบุคคลที่มีอำนาจมากเพียงใด สุดท้ายก็ต้องหยุดก้าวเดินและสูญสลายไปในที่สุด
สิ่งที่จูเหล่าซานเผชิญในตอนนี้ ก็คือปัญหาใหญ่ของอายุขัยที่กำลังจะดับสูญ!
แม้จะเห็นว่าพลังปราณของเขาโดดเด่นเพียงใด แข็งแกร่งขนาดไหน เมื่อเผชิญหน้ากับกาลเวลากลับดูเล็กจ้อยเกินกว่าจะต้านทาน
นี่ก็คือหนทางที่ต้องก้าวเดิน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยขวากหนาม ทุกย่างก้าวล้วนลำบากยากเข็ญ ต้องต่อสู้กับวันเวลา หากพ่ายแพ้ก็จำต้องหยุดเดิน!
หลินสวินยังเด็ก พลังแฝงไร้ขีดจำกัด อีกทั้งพลังปราณยังไต่ระดับอย่างรวดเร็ว จึงยังไม่ตระหนักถึงเรื่องนี้
ทว่ายามรู้ว่าอายุขัยชองจูเหล่าซานกำลังจะหมดลงแล้ว ก็ยังกระทบกระเทือนจิตใจเขาอย่างหนัก ทำให้จิตใจสับสน ไม่เป็นตัวเอง
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ พญาแร้งกลับพูดขึ้นมาโดยพลันว่า “หากเจ้าสามารถบรรลุขั้นปราณได้ ปัญหานี้ก็จะแก้ไขได้โดยง่าย”
หลินสวินหัวใจกระตุกวูบ แต่พริบตาต่อมากลับลอบส่ายหน้า ถ้าสามารถบรรลุขั้นได้ จูเหล่าซานคงไม่รอถึงตอนนี้
ดังคาด จูเหล่าซานกล่าวออกมาอย่างเรียบเฉย “เป็นไปไม่ได้ พลังแฝงของข้ามาสุดทางแล้ว อีกทั้งหลายปีมานี้ยังทดลองทะลวงขั้นมาแล้วสามสิบเจ็ดครั้ง ทุกครั้งล้วนล้มเหลว ที่สามารถมีชีวิตมาถึงทุกวันนี้ ข้าถือว่าเป็นบุญแล้ว”
“ใครบอกว่าเป็นไปไม่ได้”
พญาแร้งเผยรอยยิ้มคลุมเครือตรงมุมปาก “ข้าเคยได้ยินมาว่า ในส่วนลึกของพระราชวังมีสถานที่ลึกลับแห่งหนึ่งชื่อว่า ‘หอคอยกระบวนแปรจุติ’ ถ้าสามารถเข้าไปในนั้นได้ อย่างน้อยก็มีโอกาสครึ่งหนึ่งที่จะช่วยให้เจ้าบรรลุขั้นได้”
หอคอยกระบวนแปรจุติ ในส่วนลึกของพระราชวัง!
หลินสวินหรี่ตาลงเล็กน้อย พอจะตระหนักได้ว่าพญาแร้งกำลังช่วยเขารั้งจูเหล่าซานอยู่ รวมถึงชี้ลู่ทางให้เขาด้วย
“ที่นั่นมันพระราชวัง เป็นเหมือนพื้นที่ต้องห้าม หอคอยกระบวนแปรจุตินั่นยิ่งเป็นที่ต้องห้ามในสถานที่ต้องห้าม แม้แต่เชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่ยังไม่มีสิทธิ์เข้าไป วิธีนี้ที่เจ้าพูดอย่างไรก็เป็นเพียงความเพ้อฝัน”
จูเหล่าซานเงียบไปครู่ ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
เขาเหมือนปล่อยวางไปแล้ว ไม่คาดหวังใดๆ ต่อการทะลวงขั้นปราณอีก
“เจ้าทำส่วนนี้ไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าหลินสวินทำไม่ได้”
พญาแร้งสีหน้าเรียบเฉย พูดขึ้นช้าๆ “คอยดูเถอะ ก่อนที่จะหมดอายุขัยของเจ้าบางทีอาจมีจุดเปลี่ยน ถึงตอนนั้นขอให้เจ้าอย่าได้ปฏิเสธ”
จู่เหล่าซานเงียบไปนาน สุดท้ายก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่เอื้อนเอ่ยคำใด
ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอย่างไรกันแน่ แต่ขอเพียงเขาไม่ได้ปฏิเสธ นี่ก็ถือเป็นท่าทีที่ดีแบบหนึ่ง
“เป็นอย่างไร รู้สึกว่าการจะทำได้ถึงจุดนั้นยากยิ่งกว่าขึ้นสวรรค์อีกใช่หรือไม่” พญาแร้งหันสายตามามองหลินสวิน
“ยากเย็นอย่างแท้จริง แต่ว่าข้าจะลองพยายามดูสักตั้ง”
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึก พลันนึกถึงบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ในพระราชวังผู้นั้น บางที…อาจไปขอความช่วยเหลือจากเขาได้?
“ไม่ต้องรีบ ยังเหลือเวลาอีกปีกว่า รอเตรียมการทุกอย่างให้พร้อมแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะทำเรื่องนี้หรือไม่ก็ยังไม่สาย”
พญาแร้งพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
หลินสวินพยักหน้า จู่ๆ ก็ฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ สายตาจ้องเขม็งไปที่พญาแร้ง “ผู้อาวุโส ข้าได้ยินมาว่าท่านถูกพิษ ‘มารพบเคราะห์’ พิษนี้ไม่มียารักษาหรือ”
คำพูดนี้ทำให้พญาแร้งเดาออกทันทีว่าหลินสวินคิดจะทำอะไร จึงโบกมืออย่างหมดคำพูด “เจ้าไม่จำเป็นต้องเสียเวลา พิษชนิดนี้ต่อให้เป็นในจักรวรรดิมืดก็ยังมีน้อยคนนักที่สามารถแก้ได้ ชาตินี้ข้าไม่หวังให้พลังปราณคืนกลับมาอีกแล้ว”
“แต่ข้าคิดว่าลองดูก็ไม่เสียหาย” หลินสวินยิ้มน้อยๆ “คืนนี้หากไม่ได้ท่านเตือน ข้าก็เกือบจะลืมไปแล้วว่า ขอเพียงแก้ปัญหาบนตัวท่านได้ ภูเขาชำระจิตแห่งนี้ก็จะมียอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะเพิ่มมาอีกคนไม่ใช่หรือ”
พญาแร้งกล่าวอย่างแปลกใจ “ดูเหมือนเจ้าจะมั่นใจมาก?”
หลินสวินเอ่ย “ข้าเพียงแต่เพิ่งนึกวิธียิงธนูนัดเดียวให้ได้นกสองตัวออกก็เท่านั้น”
“วิธีใด” พญาแร้งถาม
หลินสวินพูดออกมาอย่างแผ่วเบา “เสนอรางวัล! รวบรวมผู้มีสติปัญญาทั่วหล้า มาคิดหาวิธีแก้ ‘มารพบเคราะห์’ ให้ท่าน!
พญาแร้งยิ้มเยาะ “เจ้าจะเสนอรางวัลใด รางวัลที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนทั่วหล้าได้มีน้อยยิ่งกว่าน้อย เจ้าไปเอาความมั่นใจจากไหนมาพูดแบบนี้”
เขาดูไม่เชื่อถืออย่างเห็นได้ชัด
หลินสวินยิ้มน้อยๆ “ยามข้าฝึกปราณอยู่ที่เมืองหมอกอำพราง เคยได้รับการดูแลจากสหายระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่ง เขาไม่เพียงช่วยชีวิตข้าไว้หนึ่งครั้ง ยังช่วยเหลือข้าหลายเรื่อง ตอนที่ข้าอยากตอบแทน อีกฝ่ายกลับบอกว่า ต่อไปหากข้ามีความสามารถมากพอ ให้ช่วยสร้างชุดศึกสลักวิญญาณให้เขาสักชุดก็พอ”
“ตอนนั้นข้าจึงตระหนักได้ว่า ชุดศึกสลักวิญญาณเป็นของเลอค่าที่สามารถทำให้ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะขึ้นไปตื่นตะลึงได้!”
เขาเว้นจังหวะไปครู่ค่อยกล่าวต่อ “ท่านว่า ถ้าข้าประกาศทั่วใต้หล้าว่า หากใครสามารถขจัดมารพบเคราะห์ได้ข้าจะสร้างชุดศึกสลักวิญญาณให้คนผู้นั้น เช่นนั้นจะมีใคร…ปฏิเสธงั้นหรือ”
สร้างชุดศึกสลักวิญญาณ!
ต่อให้เป็นพญาแร้งที่สุขุมจิตใจมั่นคง ยามนี้ก็อดสูดหายใจเฮือกหนึ่งไม่ได้ แววตาฉายประกายแปลกประหลาด ทั้งตกตะลึง ทั้งไม่อยากจะเชื่อ
เขาไม่คิดเลยว่าเด็กหนุ่มอย่างหลินสวินจะกล้าโอ้อวดว่าสามารถสร้างชุดศึกสลักวิญญาณได้! นี่มันเพ้อฝันเกินไปแล้ว!
ชุดศึกสลักวิญญาณคืออะไรน่ะหรือ
นั่นเป็นของล้ำค่าแม้แต่กับตระกูลทรงอิทธิพล ถึงขั้นที่ตระกูลทรงอิทธิพลบางส่วนยังไม่สามารถครอบครองชุดศึกสลักวิญญาณสักชุดได้!
เหตุผลเพราะของล้ำค่านี้สร้างได้ยากเกินไป ต่อให้เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณ โอกาสที่จะสำเร็จยังต่ำมาก
ปัจจุบันสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิได้รวบรวมปรมาจารย์สลักวิญญาณฝีมือโดดเด่นที่สุดเอาไว้ ทั้งยังมีบุคคลระดับปฐมาจารย์สลักวิญญาณเป็นหัวหอก
ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาถึงสามเดือนจึงจะสร้างชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งได้สำเร็จ!
ที่สำคัญที่สุดคือ ทันทีที่เปิดตัวชุดศึกวิญญาณที่สำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิสร้างขึ้น ก็จะถูกราชวงศ์ กรมทหาร และตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ดแย่งไปจนหมด ไม่หลงเหลือสู่โลกภายนอก!
ของที่หายากย่อมมีราคาแพง
แล้วนับประสาอะไรกับสมบัติล้ำค่าสะเทือนฟ้าอย่างชุดศึกสลักวิญญาณเล่า
ปัจจุบันในจักรวรรดินี้ หากมีใครกล้าบอกว่าสามารถสร้างชุดศึกสลักวิญญาณได้ อย่าว่าแต่ผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะเลย ต่อให้เป็นระดับกระบวนแปรจุติก็เกรงว่าจะไปรุมแย่งตัวจนหัวแตกกันไปข้าง!
นี่ก็คือคุณค่าของชุดศึกสลักวิญญาณ
ทว่าหลินสวินกลับพูดออกมาเช่นนี้ จะไม่ให้พญาแร้งหวั่นไหวได้อย่างไร