Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 382 บรรจุวิญญาณ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ท่าทางสั่นสะท้านกราดเกรี้ยวถึงที่สุดของหลินเทียนหลงจึงสงบลงได้ สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำหาใดเปรียบ
“รังแกกันมากไปแล้ว! รังแกกันมากไปแล้ว!”
ในที่สุดหลินเทียนหลงก็ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้ คำรามเสียงดังราวอสูร พาให้ข้ารับใช้ทั้งสองตกใจจนคุกเข่าดังตุ้บลงบนพื้น
“คิดว่าใช้วิธีการสามานย์เช่นนี้ ก็จะทำให้ตระกูลหลินแห่งธารประจิมของข้าศิโรราบหรือ อย่าได้คิดเลย!”
ปึ้ง!
หลินเทียนหลงตบมือลงไป ตั่งที่อยู่เบื้องหน้าแตกละเอียดจนสลายกลายเป็นผง
เขาในเวลานี้ปราณพลุ่งพล่านไปทั้งตัว ราวกับอสูรร้ายที่ถูกกระตุ้นให้คลั่งโดยฉับพลัน ดวงตาแดงก่ำดั่งกระหายเลือด น่ากลัวถึงขีดสุด
แต่ครู่ใหญ่หลินเทียนหลงก็กลับไปนั่งเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยวไร้เรี่ยวแรง ดวงตาไร้วิญญาณ สีหน้าเต็มไปด้วยความผิดหวัง
เพียงอัครการค้าที่เดียวก็น่ากลัวพอแล้ว แต่ตอนนี้กลับมีตระกูลหนิงกองทัพเลือดเหล็ก ตระกูลกงตุ๊กตาล้มลุก รวมถึงตระกูลเย่ราชันแห่งทะเลตะวันออกมาเพิ่มอีก นี่ทำให้หลินเทียนเลิกล้มความคิดจะต่อต้านไปโดยสิ้นเชิง!
แข็งแกร่งไปแล้ว!
ต่อให้รู้ว่าคู่ต่อสู้คือพวกเขา แต่หลินเทียนหลงก็รู้เช่นกันว่าอาศัยกำลังของตระกูลหลินสายธารประจิม หรือแม้แต่ร่วมกับคานเมฆา ยอดวายุอีกสองสาย ก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขา!
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินเทียนหลงดีใจก็คือ นี่เป็นเพียงการขาดทุนทางการค้าเท่านั้น อีกฝ่ายยังไม่เผยท่าทีต้องการต่อกรซึ่งหน้ากับตระกูลหลินแห่งธารประจิมของพวกเขา
แต่ถ้าสถานการณ์เช่นนี้ยังดำเนินต่อไป สักวันหนึ่งก็คงทำให้พวกเขาตระกูลหลินแห่งธารประจิมยืนหยัดต่อไปไม่ได้อีก!
ตระกูลหนึ่งจำเป็นต้องมีแหล่งรายได้ค้ำจุนไว้ หากไม่มีรายได้ก็จะล่มสลายลงได้ง่าย
หลินสวิน! ล้วนเป็นหลินสวินผู้นี้!
ตั้งแต่ไอ้คนสมควรตายผู้นี้กลับมายังภูเขาชำระจิตก็ไม่มีวันไหนได้หยุดหย่อน ถ้าไม่ฆ่ามันทิ้งเสีย คงยากจะขจัดความเกลียดชังในจิตใจ!
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่หลินเทียนหลงเกลียดคนคนหนึ่งได้ถึงเพียงนี้ แต่ความเป็นจริงช่างโหดร้ายนัก หลินสวินเก็บตัวอยู่ในภูเขาชำระจิต และข้างกายก็มีผู้มีความสามารถปกป้อง ทำให้เขาไม่มีโอกาสได้ลงมือเลย
ทำอย่างไรดี
หลินเทียนหลงจิตใจว้าวุ่น ตกอยู่ในภวังค์ความคิดล้ำลึก
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดกับตระกูลหลินแห่งธารประจิมเท่านั้น แต่ในขุมอำนาจตระกูลหลินสายคานเมฆาและยอดวายุทั้งสองสายก็มีให้เห็นเช่นกัน
นี่คือการแก้แค้นจากหลินสวิน
โดยมีสืออวี่เป็นผู้เสนอ ร่วมกับหนิงเหมิง กงหมิง เย่เสี่ยวชี ใช้อำนาจตระกูลที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละคน มาแก้แค้นอำนาจตระกูลหลินสายรองสามสายคือ ธารประจิม คานเมฆา และยอดวายุ
ไม่ต้องสู้กันซึ่งหน้าก็สร้างความเสียหายใหญ่หลวงหาใดเปรียบได้
แผนนี้หลินสวินรับรู้ แต่ทุกอย่างได้สืออวี่ไปดำเนินการตามแผน ดังนั้นหลินสวินในเวลานี้จึงไม่รู้ว่าสายตระกูลทั้งสามอย่างธารประจิม คานเมฆาและยอดวายุล้วนตกอยู่ในความวุ่นวาย รับความขมขื่นที่ถูกกดขี่อย่างเต็มที่
…
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว จากตอนที่หลินสวินทบทวนศาสตร์การสลักรอยสลักวิญญาณก็ผ่านไปสองเดือนเต็มๆ แล้ว
บนภูเขาชำระจิต ด้วยการดำเนินการตามแผนทั้งหมดของพญาแร้ง ทุกเรื่องกำลังดำเนินไปอย่างมีระเบียบแบบแผน กิจการรุ่งเรือง มีเค้าว่าจะพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนล้วนงานล้นมือ ขนาดเจ้าจิ๊บจิ๊บยังถูกหยางหลิงขอตัวไปรับหน้าที่เป็น ‘ปรมาจารย์การหลอม’ ที่โรงหลอมอาวุธ
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับหลินสวินในตอนนี้
ตัวเขาในเวลานี้ผมยาวระไหล่ หนวดเคราเผ้าผมรุงรัง ดูมอมแมมปล่อยเนื้อปล่อยตัว มีเพียงดวงตาสีดำเท่านั้นที่เปล่งประกายลุ่มลึก
หลินสวินนั่งยองบนผืนโคลน สีหน้าสงบนิ่งแน่วแน่ นิ้วมือที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นลากเส้นบนพื้นตามใจนึก
เห็นเป็นพลังวิญญาณสีฟ้าอ่อนราวรอยพู่กันเรียบง่ายเส้นหนึ่ง ถูกพลังรับรู้จิตวิญญาณที่เอ่อล้นควบคุมอยู่ สลักออกมาเป็นวงโคจรเส้นแล้วเส้นเล่า
วงโคจรนั้นราวเมฆเหินน้ำไหล ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ ราวกับดำรงอยู่ตรงนั้นตามธรรมชาติ เป็นไปตามธรรมดา
ไม่นานนักหลินสวินก็ยกนิ้วออกแล้วลุกขึ้นยืน ขณะที่กำลังจะออกไป ในจิตใจเขาพลันเกิดลางสังหรณ์ เงาร่างหยุดนิ่ง ดวงตากลับไปเพ่งมองผืนโคลนนั้นใหม่อีกครั้ง
บนรอยสลักวิญญาณที่เขาเพิ่งสลักลงไป มีต้นอ่อนสีเขียวอ่อนผลิออกมาจากดินโคลนแล้วเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าตกใจ แตกกิ่งก้านใบหน่อ…
ในชั่วพริบตาลำต้นก็สูงหนึ่งฉื่อกว่า หญ้าหางไก่ที่มีก้านใบสีเขียวอ่อนก็เติบโตเต็มที่ เริงระบำพลิ้วไหวไปกับสายลม
เมื่อดูที่พื้น ภาพสลักวิญญาณนั้นหายไปแล้ว
รอยยิ้มหนึ่งระบายขึ้นบนริมฝีปากของหลินสวิน
รอยยิ้มของเขาดูสดใสผิดหูผิดตา เพราะภาพนี้แสดงให้เห็นว่าในเส้นทางการสลักรอยสลักวิญญาณเขามาถึงขั้น ‘บรรจุวิญญาณ’ แล้ว!
บรรจุวิญญาณที่ว่า ก็คือการใช้พลังมหัศจรรย์ของรอยสลักวิญญาณให้กำเนิดจิตวิญญาณ!
เช่นหญ้าหางไก่ต้นเมื่อครู่นี้ก็ถูกปลุกให้มีชีวิตขึ้นด้วย ‘รอยสลักวิญญาณไม้เขียว’ เกิดเป็นจิตวิญญาณที่มีเอกลักษณ์ราวมีชีวิต เติบโตอย่างรวดเร็วในพริบตา!
นี่ก็เหมือนกับเสกหินให้เป็นทอง ดูเล็กน้อยไม่สะดุดตา แต่มีพลังที่เปลี่ยนซากปรักหักพังให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ได้
พลังเช่นนี้ในศาสตร์สลักรอยสลักวิญญาณเรียกว่า ‘บรรจุวิญญาณ’!
บนโลก ณ ตอนนี้ มีเพียงปรมาจารย์สลักวิญญาณที่แท้จริงเท่านั้น ถึงมีคุณสมบัติหยั่งรู้และครอบครองพลังอันมหัศจรรย์แห่งการบรรจุวิญญาณ
และปรมาจารย์สลักวิญญาณที่เชี่ยวชาญการบรรจุวิญญาณก็มีน้อยคนยิ่ง ถือเป็นผู้ที่หาได้ยากราวขนปักษาเพลิงเขากิเลน
เพราะย่างก้าวนี้ยากยิ่งนัก ประหนึ่งเทพผู้สร้างสรรพสิ่ง ใช้วิธีสลักรอยสลักวิญญาณมอบจิตวิญญาณให้กับสิ่งของบางสิ่ง ทำให้ของสิ่งนั้นประหนึ่งมีวิญญาณและชีวิต นั่นช่างซับซ้อนและมหัศจรรย์ยิ่ง
ปรมาจารย์สลักวิญญาณบางส่วนพยายามฝึกทั้งชีวิต แต่หากพรสวรรค์ไม่มากพอ อย่างไรก็ไม่สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ธรณีประตูการบรรจุวิญญาณได้อยู่ดี!
เท่าที่หลินสวินรู้มา ด้วยระดับความสามารถสลักรอยวิญญาณของเหล่าโม่ อีกนิดเดียวก็ครอบครองการบรรจุวิญญาณได้
แต่อย่ามองว่าแค่นิดเดียว ให้เทียบเสียว่าประตูที่ขวางกั้นอยู่ตรงหน้านั้น ด้านในประตูคือโลกด้านหนึ่ง ส่วนด้านนอกประตูคือฟ้าดินแห่งใหม่!
เป็นโลกสองใบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ในจักรวรรดินี้มีเพียงปรมาจารย์สลักวิญญาณที่ครอบครองการบรรจุวิญญาณเท่านั้น ถึงเป็นที่ยอมรับโดยกว้างขวางว่ามีศักยภาพมากพอที่จะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณได้
และมีเพียงทำได้ถึงขั้นนี้เท่านั้น ถึงจะมีทรัพยากรในการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้!
เมื่อเทียบกันเช่นนี้ก็จินตนาการได้ว่า นี่เป็นเรื่องน่าตื่นตะลึงเกินธรรมดาเพียงใดเมื่อหลินสวินที่อ่อนวัยเช่นนี้กลับครอบครองวิธีบรรจุวิญญาณแล้ว
ถึงขนาดที่ว่าถ้าเรื่องนี้กระจายออกไป น่ากลัวจะไม่มีผู้ใดเชื่อว่าเด็กหนุ่มเช่นนี้จะเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถบรรจุวิญญาณได้!
ทว่าทั้งหมดนี้สำหรับหลินสวินแล้ว เป็นเพียงเรื่องยากเรื่องหนึ่ง แต่ไม่ถึงกับเป็นเรื่องสุดยอดแต่อย่างใด
เพราะเมื่อเขายังเด็ก ท่านลู่ก็เคยแสดงวิธีบรรจุวิญญาณให้เขาดูไว้มากแล้ว
ท่านลู่เคยพูดประโยคเช่นนี้ออกมาด้วยวาจาไม่ใส่ใจเท่าไร ‘บรรจุวิญญาณรึ หึ ไม่เห็นจะมีอะไร เป็นเพียงเครื่องพิสูจน์ว่าเจ้าได้เป็นนักสลักวิญญาณที่ผ่านเกณฑ์แล้วก็เท่านั้น หนทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลนัก’
ประโยคนี้หลินสวินยังจำได้ดี
เมื่อครั้งเยาว์วัย เขายังนึกว่าต้องสามารถบรรจุวิญญาณได้ ถึงจะทำให้ตนเติบโตจากนักสลักวิญญาณฝึกหัด ไปเป็นนักสลักวิญญาณที่ได้รับความเคารพผู้หนึ่งได้
แต่ตอนนี้เมื่อเขาเติบใหญ่ขึ้นแล้ว ย่อมรู้ชัดว่าสำหรับท่านลู่นั้น บางทีการบรรจุวิญญาณอาจไม่นับเป็นอะไร แต่สำหรับนักสลักวิญญาณส่วนใหญ่ในโลกนี้ นี่ถือเป็นคูน้ำธรรมชาติที่ไม่สามารถสร้างขึ้นได้โดยง่าย!
“เริ่มเตรียมการได้แล้ว…”
หลินสวินสูดลมหายใจแล้วพึมพำขึ้น
ดวงตาเขาเปลี่ยนเป็นสุกสว่างและแน่วแน่ ฉายแววเปล่งประกายยากบรรยาย ไม่บ้าคลั่งมึนงงเหมือนหลายวันก่อนแล้ว
ส่วนในใจนั้น ความรู้สึกท่วมท้นเกี่ยวกับศาสตร์สลักรอยสลักวิญญาณซึ่งได้รับรู้และฝึกฝนในช่วงเวลาหลายวันมานี้ล้วนสงบนิ่งลง แปรเปลี่ยนเป็นพลังสลักรอยสลักวิญญาณของหลินสวินเอง
ที่ทำให้หลินสวินประหลาดใจที่สุดก็คือ ผ่านการเคี่ยวกรำในหลายวันนี้ พลังปราณในร่างของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเข้มข้นจนเต็มขั้นแล้ว มีเค้าลางจะก้าวข้ามไประดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางเมื่อใดก็ได้!
ที่สำคัญกว่านั้น พลังวิญญาณที่พลุ่งพล่านทั่วกายเขาโคจรไปมา จะเก็บจะปล่อยได้ดังใจ ราวควบคุมสั่งการได้โดยสมบูรณ์ ทั้งไม่มีร่องรอยที่เกิดขึ้นเพราะควบคุมพลังปราณซึ่งปะทุล้นไว้ไม่อยู่เหมือนอย่างตอนแรก
นี่ก็คือผลพลอยได้ที่ได้จากการฝึกสลักรอยสลักวิญญาณ!
ทุกครั้งที่สลักรอยสลักวิญญาณ ต้องควบคุมบังคับพลังวิญญาณในกายตนอย่างแม่นยำ นี่ก็เหมือนกับการฝึกดาบ เมื่อต้องผ่านการฝึกกรำนับร้อยนับพันครั้งย่อมเปลี่ยนเป็นแคล่วคล่องคุ้นมือ ยามใช้ดาบสามารถเก็บหรือปล่อยออกได้ดังใจ
……
เจ็ดวันให้หลัง โรงหลอมอาวุธ
หยางหลิงมองไปยังโครงอาวุธวิญญาณที่หลอมเสร็จแล้วสิบสองชิ้นซึ่งวางอยู่ตรงหน้า ใบหน้าอดแสดงรอยยิ้มพึงพอใจมิได้
โครงอาวุธวิญญาณทั้งสิบสองชิ้นนี้มีทั้งดาบ ทวน กระบี่ หอก ยังมีขวานสั้น ขวานศึก ตะขอ ง่าม ทั้งลักษณะและประเภทต่างกันโดยสิ้นเชิง
นี่คือสิ่งที่หลินสวินสั่งให้เขาช่วยหลอมออกมา วัสดุของทุกชิ้นล้วนสามารถถูกนักสลักวิญญาณนำมาหลอมขึ้นเป็นอาวุธวิญญาณระดับปฐพีอย่างแท้จริงได้!
เพียงแต่ที่ทำให้หยางหลิงสงสัยก็คือ หลินสวินจะนำโครงอาวุธวิญญาณเหล่านี้ไปทำอะไรกัน
ไม่นานนักเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏตัวขึ้นในโรงหลอมอาวุธ เมื่อเห็นโครงอาวุธวิญญาณที่หยางหลินได้เตรียมไว้ เขาก็พอใจยิ่ง
ในศาสตร์การหลอมอาวุธนั้น หยางหลิงถือว่าเป็นผู้มีความสามารถที่หาได้ยากยิ่ง อย่างน้อยโครงอาวุธวิญญาณที่หลอมออกมาพวกนี้ก็ถือว่าเป็นของชั้นเลิศแล้ว
หลินสวินในตอนนี้รวบผมยาวขึ้นแล้ว หนวดเคราโกนอย่างเกลี้ยงเกลา ร่างสูงสง่า บุคลิกราวละกิเลสเกินธรรมดา
เขาเก็บโครงอาวุธวิญญาณทั้งสิบสองชิ้นพลางสั่งว่า “ช่วงเวลาหลังจากนี้ท่านก็ช่วยข้าหลอมโครงอาวุธวิญญาณต่อไป ให้ใช้มาตรฐานของอาวุธวิญญาณระดับปฐพีหลอมขึ้นทั้งหมด ข้าจะส่งคนมารับโดยเฉพาะ”
พูดจบหลินสวินก็รีบร้อนจากไป
หยางหลิงอึ้งไป งุนงงไปหมด หรือนายน้อยผู้นี้ยังคิดจะไปหลอมอาวุธวิญญาณด้วยตัวเอง?
เมื่อก่อนเขาเคยได้ยินว่าตัวหลินสวินเองก็เป็นนักสลักวิญญาณ เรือรบวีรชนม่วงรุ่นล่าสุดของจักรวรรดิก็ได้เขาเป็นผู้ออกแบบ
เพียงแต่หยางหลิงยังไม่เข้าใจว่า หลินสวินที่มีฐานะเป็นเจ้าของภูเขาชำระจิต ทั้งยังเป็นผู้มีความสามารถด้านการฝึกปราณ เหตุไฉนถึงได้ไม่ปฏิบัติหน้าที่หลัก กลับเทียวไปเทียวมาเล่นเช่นนี้
นี่ไม่เพียงไม่ปฏิบัติหน้าที่หลัก ยังถือได้ว่ามีเค้าลางจะติดเล่นจนหลงลืมอุดมการณ์ไปเสียแล้ว
ในที่สุดหยางหลิงก็อดกลั้นไม่อยู่ นำความคิดของเขาบอกแก่ผู้เฒ่าเตียว ผู้เฒ่าเตียวเองก็ประหลาดใจ ไม่รู้ว่าหลินสวินต้องการทำอะไร
ดังนั้นผู้เฒ่าเตียวจึงบอกชื่อเซวี่ยอีก…
ไม่นานนักผู้คนทั้งภูเขาชำระจิตก็รู้กันทั่วว่า หลินสวินนายน้อยตระกูลหลินผู้ครอบครองภูเขาชำระจิตผู้นี้ไม่ทำงานหลักกลับหนีไปหลอมอาวุธเสียแล้ว!
นี่ทำให้หลายคนแสดงความเป็นห่วง ภูเขาชำระจิตในปัจจุบันนี้ดีขึ้นทุกวัน ถ้าผู้นำอย่างหลินสวินไม่ทำการทำงาน แต่ไปมัวเมาอยู่กับเรื่องอื่น เช่นนั้นจะทำอย่างไร
มีเพียงเสี่ยวเคอผู้เดียวที่รู้ชัด หลินสวินละเลยการงานเสียที่ไหน เจ้าเด็กนี่เดิมทีก็เป็นนักสลักวิญญาณที่มีพรสวรรค์เกินธรรมดาน่าตกตะลึงอยู่แล้วไหม!
แน่นอนว่าในใจเสี่ยวเคอเองก็สงสัยนักว่า หลินสวินที่เตรียมตัวมาหลายเดือนนี้ ตอนนี้เขาจะหลอมสมบัติอะไรอีก
ด้านพญาแร้งรู้เหตุผลบางประการแต่ไม่สามารถพูดออกมาได้ อย่างไรเสียการหลอมชุดศึกสลักวิญญาณนี้ก็น่าจะทำให้ทั่วหล้าตื่นตะลึงกันมากไป ถ้าพูดออกไปย่อมก่อให้เกิดเหตุวุ่นวายใหญ่โต
แน่นอนว่าพญาแร้งยังมั่นใจอีกว่า สิ่งที่หลินสวินจะหลอมขึ้นในตอนนี้ ย่อมไม่ใช่ชุดศึกสลักวิญญาณ เพราะชุดศึกสลักวิญญาณไม่ต้องอาศัยโครงอาวุธวิญญาณก็หลอมออกมาได้
เช่นนั้นแล้วหลินสวินจะทำอะไรกันแน่
ขนาดพญาแร้งยังอดสงสัยมิได้