Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 419 ดินแดนรกร้างโบราณ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 419 ดินแดนรกร้างโบราณ
สตรีนางนั้นรูปร่างอรชรอ้อนแอ้น หน้าตาสะสวยเกลี้ยงเกลา ถูกห้อมล้อมราวดาวล้อมเดือน
รูปลักษณ์ของนางแม้ไม่ได้งดงามราวล่มนครได้ แต่ความสวยงามแบบนั้นกลับเหมือนกับบัวงามต้นหนึ่ง ไม่ไหวเอน ไม่สะดุดตา บริสุทธิ์อ่อนโยน พาให้ผู้คนสบายใจและไม่กล้าล่วงเกินในเวลาเดียวกัน
เรียกได้ว่าสง่างามหาใดเทียม
นาง ย่อมเป็นผู้ฝึกปราณสายศิลป์หลิ่วชิงเยียนผู้มีชื่อทั่วใต้หล้า ถูกผู้คนนับไม่ถ้วนติดตาม!
ในจักรวรรดิขณะนี้ หลิ่วชิงเยียนย่อมเป็นคนที่เหนือธรรมดาคนหนึ่ง ไม่เพียงได้รับความนิยมชมชอบจากผู้มีความสามารถโดดเด่นรุ่นเยาว์ ขนาดผู้มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่หลายคนยังชื่นชมนางยิ่งนัก
ในสายตาของหลายคน หลิ่วชิงเยียนนั้นโดดเด่นสะดุดตาปานนี้!
เพียงแต่หลินสวินคิดไม่ถึงว่า จะได้เห็นหลิ่วชิงเยียนในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันด้วย
เมื่อคิดโดยละเอียด จากแยกกันรอบที่แล้วจนถึงตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีแล้วที่ไม่ได้พบอีกฝ่าย ตอนนี้ได้เจอกันอีกครั้ง จึงนึกถึงยามที่อยู่ในเมืองหมอกอำพราง วันเวลาเหล่านั้นที่ได้ทำความรู้จักกับหลิ่วชิงเยียน ในใจหลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้
มุมมองความรู้สึกที่เขามีต่อหลิ่วชิงเยียนก็ไม่เลว รู้สึกว่าอีกฝ่ายนิสัยใจคอดีราวหยก บริสุทธิ์อ่อนโยน พาให้คนเกิดความรู้สึกดีได้ง่าย
อีกทั้งตอนแรกยามหลินสวินปิดด่านกักตนอยู่ใน ‘ดินแดนลี้ลับแห่งสมรภูมิร้อยศึก’ ด่านที่สามของทางเดินเมฆาหยก ถูกมารร้ายในใจกัดกร่อนจนเกือบธาตุไฟเข้าแทรก
สุดท้ายด้วยการปลอบประโลมของเสียงขลุ่ยเพลงหนึ่งของหลิ่วชิงเยียน จึงสลายเคราะห์นี้ได้ทันเวลา เปลี่ยนวิกฤตเป็นปลอดภัย และฝ่าดินแดนลี้ลับแห่งสมรภูมิร้อยศึกออกมาได้โดยราบรื่นในที่สุด
ดังนั้นสำหรับหลินสวิน หลิ่วชิงเยียนก็ถือว่าเป็นผู้มีบุญคุณที่ช่วยชีวิตเขาไว้
“คุณหนูชิงเยียนก็มาแล้ว”
“ฮ่า ๆ ครั้งนี้ถึงกับได้พบแม่นางหลิ่วชิงเยียนผู้เป็นที่เลื่องลือในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินี เป็นความยินดีเกินคาดเสียจริง”
“ได้ยินว่าคุณหนูชิงเยียนแต่งลำนำใหม่ขึ้นบทหนึ่งโดยเฉพาะ เพื่อถวายพระพรองค์จักรพรรดินี วันนี้พวกเราอาจจะได้ฟังเป็นบุญหูแล้ว”
การมาของหลิ่วชิงเยียนพลันดึงดูดความครึกโครมไม่น้อยตามมาด้วย พวกคุณชายรุ่นเยาว์ล้วนไม่ปิดบังความชื่นชอบของตนไว้
ขนาดบนหน้าของบุคคลสำคัญมากอำนาจบางคนยังปรากฏสีหน้ายินดี
จากจุดนี้ก็ดูออกว่าอิทธิพลของหลิ่วชิงเยียนใหญ่โตขนาดไหน อย่าได้มองว่านางเป็นเพียงนักฝึกปราณสายศิลป์ ได้รับการปฏิบัติชั้นนี้ได้ มองไปทั่วทั้งจักรวรรดิเรียกได้ว่าน้อยจนนับนิ้วมือได้
เดิมทีหลินสวินอยากจะไปทักทายเสียหน่อย แต่เมื่อได้เห็นว่าคนมากมายล้วนห้อมล้อมไปทักทายตามมารยาท ล้อมหน้าล้อมหลังหลิ่วชิงเยียนแน่นขนัดไปทั่ว สุดท้ายเขาจึงล้มเลิกความคิด
“หลินสวิน! เจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ”
แต่ใครจะคิด ในเวลานี้เองหลิ่วชิงเยียนที่อยู่ท่ามกลางฝูงชนกลับสังเกตเห็นหลินสวิน ใบหน้างดงามสะสวยหมดจดปรากฏสีหน้ายินดีปรีดา หัวเราะออกมาแล้วโบกมือทักทายหลินสวินก่อน
ทั้งที่นั้นตื่นตะลึงเบิกตากว้าง ราวกับล้วนทำใจเชื่อไม่ได้ว่าหลิ่วชิงเยียนที่ได้รับความนิยมชมชอบจากพวกเขา เวลานี้จะออกตัวทักทายหลินสวินเอง การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว!
หรือว่าสองคนนี้รู้จักกันอยู่ก่อนแล้ว
บรรยากาศในที่นั้นพลันดูประหลาดไปอยู่บ้าง
อาศัยโอกาสนี้ หลิ่วชิงเยียนก็ก้าวเดินตรงดิ่งจากฝูงชนมาอยู่ข้างกายหลินสวิน พูดขึ้นอย่างดีใจว่า “ในที่สุดก็ได้พบเจ้าอีกครั้งแล้ว”
ผมงดงามดำขลับของนางใช้ปิ่นไม้เสียบไว้ด้านหลังหัว หน้าผากเกลีเยงเกลาขาวสะอาด ดวงตาสุกใสมีชีวิตชีวา เมื่อยิ้มอ่อนๆ ฟันขาวราวหิมะก็เผยออกมาเล็กน้อย บนแก้มปรากฏลักยิ้มบางๆ งดงามทั้งยามโกรธยามดีใจ ดูน่ารักใสซื่อเป็นพิเศษ
“ข้าก็ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอเจ้าที่นี่ได้”
หลินสวินพูดพลางหัวเราะ แต่ในใจกลับทอดถอนใจ เด็กสาวตรงหน้านี้เหมือนเมื่อก่อนเลย ดวงตาสุกใสชอบสอดสายตาไปทั่ว พาให้คนรู้สึกเหมือนได้รับลมฤดูใบไม้ผลิ
หลิ่วชิงเยียนอมยิ้มแล้วพูดว่า “ตรงนี้คนเยอะเกินไป ไปเถอะ พวกเราไปตรงนั้นกัน ข้ายังมีเรื่องต้องถามเจ้าตั้งเยอะแหนะ”
นางพูดพลางลากแขนเสื้อหลินสวินไปอย่างไม่ขัดเขิน เดินไปยังที่ไกลออกไป
เมื่อได้เห็นภาพนี้ คนหนุ่มมากมายล้วนแสดงสีหน้าริษยา แต่ไหนแต่ไรพวกเขาไม่เคยเห็นหลิ่วชิงเยียนออกตัวเข้าหาใครอย่างสนิทสนมเช่นนี้!
หลินสวินผู้นั้นมีดีอะไร ถึงได้รับการปฏิบัติเช่นนี้ได้
สวรรค์ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย!
ขนาดบุคคลสำคัญมากอำนาจหลายคนเมื่อเห็นเช่นนี้ก็อดตะลึงไม่ได้ หลินสวินผู้นี้ ได้รับความชื่นชอบจากหลิ่วชิงเยียนตั้งแต่เมื่อไรกัน
จะไปว่าผู้คนในที่นั้นว่าตอบสนองแข็งกร้าวเช่นนี้ก็ไม่ได้ ด้วยอันที่จริงแล้วชื่อเสียงของหลิ่วชิงเยียนโด่งดังนัก ทุกความเคลื่อนไหวที่เกี่ยวข้องกับนางล้วนถูกสายตานับไม่ถ้วนจับจ้อง
ในสถานการณ์เช่นนี้ จู่ๆ นางกับหลินสวินกลับดูสนิทสนมกันอย่างนี้ ย่อมทำให้ผู้อื่นเกิดความคิดสารพัดอย่างออกมา
“น่าชิงชัง! หากหลินสวินผู้นั้นกล้าล่วงเกินคุณหนูชิงเยียนล่ะก็ ข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ปล่อยมันไว้!”
“ใช่ คุณหนูชิงเยียนเป็นคนชั้นไหน จะให้นายน้อยน่าอดสูตระกูลหลินผู้หนึ่งอย่างเขาเข้าใกล้ได้อย่างไร”
“ท่านย่าลมครวญล่ะ เหตุใดวันนี้ถึงไม่เห็นยายเฒ่านั่นปรากฏตัว หากมียายเฒ่านั่นอยู่ล่ะก็ ย่อมไม่มีทางให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นแน่!”
คนหนุ่มพวกนั้นขุ่นเคืองเดือดดาล น้ำเสียงเสียอกเสียใจ ปนเปไปด้วยความรู้สึกอิจฉาและริษยา
……
หลินสวินที่อยู่ห่างออกมาเมื่อได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็อดจนใจไม่ได้ “ข้าพอจะเข้าใจแล้วว่าหญิงงามชักนำเภทภัยมาให้คืออะไร หากท่านย่าลมครวญอยู่ ต้องฆ่าข้าทิ้งแน่”
หลิ่วชิงเยียนหลุดขำแล้วพูดว่า “มาเข้าเรื่องพวกเราดีกว่า ไม่ต้องสนใจก็ได้แล้ว”
หลินสวินลูบจมูกเบาก่อนยักไหล่กล่าว “ก็ทำได้แค่นี้ล่ะ”
ทั้งสองคนสนทนากัน ไม่มีความรู้สึกห่างเหินอย่างคนที่ไม่ได้เจอกันนานกลับมาพบกันใหม่เลยสักนิด กลับดูเหมือนเพื่อนเก่าคู่หนึ่งกำลังสนทนากันอย่างสนุกสนาน
หลิ่วชิงเยียนถามเรื่องราวที่หลินสวินได้ประสบหลังออกจากเมืองหมอกอำพราง หลินสวินเองก็ไม่ได้ปกปิด เล่าอย่างเรียบง่ายเสียหนึ่งรอบ
หลิ่วชิงเยียนกลับฟังอย่างสนอกสนใจยิ่ง ในที่สุดถึงพูดว่า “ไม่คิดเลยว่าในหนึ่งปีนี้เจ้ากลับได้ประสบเรื่องราวมากมายขนาดนี้ แต่ตอนนี้ถือว่าเจ้าอดทนจนลืมตาอ้าปากได้แล้ว ในนครต้องห้ามไม่ว่าไปที่ใดก็ได้ยินข่าวคราวเกี่ยวกับเจ้า”
หลินสวินเอ่ย “คนกลัวโด่งดัง หมูกลัวอ้วน คนที่ข้ามีเรื่องด้วยก็ไม่น้อยนะ”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เสียงร้องตกใจระลอกหนึ่งก็พลันดังขึ้นจากที่ไกลออกไป
“ซ่งอี้! ผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้ก็มาด้วย!”
“ไม่ใช่ว่าศิษย์ใหม่ที่เข้าเรียนในสำนักศึกษามฤคมรกตกลุ่มแรกนี้ ไป ‘แดนสังหารวิญญาณ’ เพื่อดำเนินการทดสอบฝึกฝนเป็นเวลาสามเดือนกันหมดหรือ”
“เห็นได้ชัดนักว่าซ่งอี้ไม่ได้ไป ข้ารู้สึกว่าที่เขาไม่ไปน่ากลัวจะเป็นเพราะต้องมาเข้าร่วมงานเลี้ยงครั้งนี้ อย่างไรเสียด้วยฐานะของเขา มีความเป็นไปได้สูงที่จะได้รับการยอมรับจากผู้ฝึกปราณใหญ่ที่มาจากดินแดนลึกลับเหล่านั้น
ท่ามกลางเสียงร้องตกใจ ก็เห็นเด็กหนุ่มแต่งกายชุดสีคราม สูงใหญ่สง่างามราวพฤกษาต้องลม มาถึงจัตุรัสภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาประหลาดใจ
แน่นอนว่าเขาก็คือซ่งอี้ที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้! ผู้กล้าหนุ่มน้อยที่มีชื่อเหนือฉือฉางเฟิงและไป๋หลิงซี!
หลินสวินเองก็อดเลิกคิ้วไม่ได้ ไม่ใช่เพราะซ่งอี้ แต่เพราะเขานึกขึ้นได้ว่าพวกสืออวี่ หนิงเหมิง ไปแดนสังหารวิญญาณเพื่อทดสอบฝึกฝนเป็นเวลาหนึ่งเดือนกว่าแล้ว ตอนนี้ไม่รู้ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ขณะที่หลินสวินเก็บความรู้สึกนึกคิดไว้ภายใน คิดจะคุยกับหลิ่วชิงเยียนต่อนั้นเอง ก็มีเสียงร้องประหลาดใจดังขึ้นอีกระลอก
“ฉือฉางเฟิง!”
“ปีศาจตระกูลฉือที่ถูกขนานนามว่าอัจฉริยะวิถีกระบี่ผู้นี้ก็มาแล้ว!”
นัยน์ตาหลินสวินหรี่ลง เห็นว่าไม่ไกลนักมีเด็กหนุ่มสวมเกี้ยวประดับสูงขนนกสีทอง ทั้งร่างมีไอสีม่วงอบอวล ใบหน้ามีแต่ความดุดันถือดีผู้หนึ่งปรากฏตัวที่จัตุรัส
ทั้งตัวเขาราวกับกระบี่คมที่ชักออกจากฝักเล่มหนึ่ง เผยให้เห็นความคมชัดเจน!
ทันใดนั้น หลินสวินก็นึกถึงยามที่ตนเพิ่งมาถึงนครต้องห้าม และเคยถูกเด็กหนุ่มผู้นี้ขวางทางดักสังหารเข้า
ฉือฉางเฟิงในเวลานั้นมีปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว กำราบหลินสวินที่มีเพียงปราณขั้นผสานฟ้าเสียเกือบเอาตัวไม่รอด หากผู้อาวุโสตำหนักแสงทมิฬคนนั้นไม่ปรากฏตัวออกมา อีกนิดเดียวหลินสวินก็จะใช้ ‘ไข่มุกสะเทือนสวรรค์’ ลงมืออย่างโหดเหี้ยมแล้ว
คิดถึงตรงนี้ใจหลินสวินก็อดบังเกิดจิตสังหารขึ้นมาไม่ได้ เขาไม่มีทางลืมความแค้นนี้ แต่พริบตาต่อมาเขาก็ยังระงับตนข่มใจเอาไว้
ที่นี่เป็นเขตหวงห้ามใจกลางพระราชวัง อย่าว่าแต่สังหารฉือฉางเฟิง แค่ลงมือก็ย่อมได้รับการขัดขวางอย่างล้นหลาม ไม่อาจทำตามใจตนได้
บรรยากาศในที่นั้นพลันแปรเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นมากตามการมาถึงของซ่งอี้และฉือฉางเฟิง แต่นี่ยังไม่ถือว่าครบถ้วน ไม่นานนักก็มีผู้เก่งกล้าสามารถที่มีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้วปรากฏตัวขึ้น ดึงดูดความสนใจและเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
ผู้กล้าหลายคนโดดเด่นสะดุดตายิ่งกว่าพวกซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง ไป๋หลิงซีเสียอีก แต่ชื่อเหล่านั้นหลินสวินเพิ่งเคยได้ยินเป็นครั้งแรก ฟังดูไม่คุ้นเคย
เช่น อวิ๋นฝูเฉิน ก็คือผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในการทดสอบระดับอาณาจักรเมื่อสามปีก่อน ขณะนี้เป็นผู้มีความสามารถโดดเด่นผู้หนึ่งในสาขายุทธ์วิถีแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต อยู่อันดับเก้าของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ
หรืออย่าง เว่ยฉือเจ๋อ เป็นผู้มีความสามารถรุ่นหลังที่โดดเด่นมากคนหนึ่งในกรมทหาร ต่อสู้ห้ำหั่นในสนามรบมาแต่เล็กแต่น้อย ขณะนี้แม้มีอายุเพียงสิบเจ็ดปี แต่ปราณนั้นเต็มระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์แล้ว ความสามารถในการต่อสู้ก็วิปริตผิดธรรมดาถึงที่สุด
หรืออย่างเช่น…
สรุปแล้วคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้ที่โดดเด่นจากคนทั่วไป ก่อนหน้านี้มีน้อยครั้งนักที่จะมารวมตัวอยู่ด้วยกัน แต่ตอนนี้กลับพากันมาที่นี่ สภาพการณ์จึงอึกทึกครึกโครมขึ้นมามาก
ขนาดหลินสวินยังอดตกตะลึงไม่ได้ เดิมทีเขาเคยได้ยินไป๋หลิงซีกล่าวว่า งานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษานี้จะมีผู้กล้าที่มีชื่อเสียงอยู่ก่อนแล้วไม่น้อยมาร่วมงาน
เพียงแต่ไม่คิดว่าจะมีคนมามากมายขนาดนี้!
“พวกเขาน่าจะมาเพื่อหาโอกาสเข้า ‘ดินแดนรกร้างโบราณ’ สักครั้ง อย่างไรโอกาสเช่นนี้ก็มีน้อยมาก บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอ พลาดไปครั้งเดียว อาจหาโอกาสไปดินแดนรกร้างโบราณไม่เจออีกเลยทั้งชีวิต”
หลิ่วชิงเยียนก็สังเกตได้อย่างชัดเจนถึงสถานการณ์นี้ เพียงแต่นางดูไม่ตกใจเลย พูดลอยๆ อธิบายให้หลินสวินฟัง
“ดินแดนรกร้างโบราณหรือ” หลินสวินสะท้านในใจ
“ใช่ ลือกันว่า ที่นั่นเต็มไปด้วยสำนักวิชา กระจายไปด้วยพื้นที่สมบูรณ์ต่อการฝึกปราณ มีทรัพยากรสำหรับฝึกปราณที่ยากจินตนาการได้ และมีเพียงที่นั่นเท่านั้น จึงจะสามารถเสาะหาเส้นทางแห่งยุทธ์อันสมบูรณ์อย่างแท้จริงได้”
หลิ่วชิงเยียนพูดเสียงเบา
หลินสวินสะดุดใจ หากเขาทายถูก ‘ดินแดนรกร้างโบราณ’ ที่หลิ่วชิงเยียนพูดถึงนี้ เป็นสถานที่เดียวกันกับดินแดนลี้ลับที่ไป๋หลิงซีพูดถึง
หรือพูดได้ว่า สำนักลี้ลับนาม ‘สำนักกระบี่เทียมฟ้า’ ที่อวิ๋นชิ่งไป๋อาศัยอยู่นั้น ก็มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะอยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ!
หากคิดต่อกันเช่นนี้ ผู้ร้ายที่ก่อเหตุนองเลือดของตระกูลหลินเมื่อสิบกว่าปีก่อนนั้น ย่อมมาจากดินแดนรกร้างโบราณเช่นกัน
หลังจากสั่นสะท้านอยู่ครู่สั้นๆ สายตาที่หลินสวินมองไปยังหลิ่วชิงเยียนก็อดแปลกไปไม่ได้ ชื่อที่ขนาดไป๋หลิงซียังไม่รู้ กลับหลุดออกมาจากปากหลิ่วชิงเยียนได้
จากจุดนี้ก็ดูออกว่า หลิ่วชิงเยียนไม่ได้เป็นเพียงผู้ฝึกปราณสายศิลป์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือทั่วหล้าธรรมดาเสียแล้ว!
“เจ้า…รู้เรื่องดินแดนรกร้างโบราณดีหรือ”
หลินสวินสูดลมหายใจลึกพลางถาม
หากได้ฟังข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับที่แห่งนี้มากขึ้น หรือถึงขั้นได้สืบเสาะพบว่าสำนักกระบี่เทียบฟ้านั้นเป็นสำนักชั้นใดกันแน่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าช่วยเพิ่มเบาะแสได้มากขึ้น เพื่อการแก้แค้นแทนคนในตระกูลในภายภาคหน้า!
——