Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 421 สั่นสะท้านด้วยเสียงเพลง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 421 สั่นสะท้านด้วยเสียงเพลง
บรรยากาศเปลี่ยนไปคลุมเครือ สีหน้าของแขกเหรื่อในนั้นล้วนเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก แสดงความครุ่นคิดออกมาไม่มากก็น้อย
ลูกหลานขุนนางรุ่นเยาว์บางคนต่างกลั้นเสียงหัวเราะหยันไว้ไม่อยู่ เห็นได้ชัดว่าคิดว่าของขวัญที่หลินสวินถวายน่าขายหน้านัก
ปิ่นหยกอันเดียวหรือ
นี่มันเล่นบ้าอะไรกัน!
ยามหัวหน้าเผิงอ่านรายการของขวัญ ไม่ได้แนะนำปิ่นหยกอันนี้เลยแม้สักนิด ชื่อเสียงเรียงนามที่มาที่ไปใดๆ ก็ไม่มี ชัดเจนว่าไม่ใช่สมบัติหายากที่ตกทอดกันมายาวนานอะไร
ของเล่นพรรค์นี้มอบให้ดรุณีน้อยยังพอทน แต่เมื่อเป็นของขวัญที่ถวายจักรพรรดินี นี่ก็กระจอกเกินไปแล้ว!
ยังดีที่สถานที่นี้เป็นตำหนักกลาง ผู้ที่อยู่ในนั้นไม่ได้มีเพียงคนใหญ่คนโตมากมาย จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันก็ยังประทับอยู่บนบัลลังก์ พาให้คนหนุ่มเหล่านั้นไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม
หาไม่แล้วด้วยอุปนิสัยใจคอของพวกเขา เกรงว่าคงเยาะเย้ยและหัวเราะเสียงขรมไปนานแล้ว
หลินสวินก็ไม่ได้เขลา ย่อมสังเกตความเปลี่ยนแปลงของบรรยากาศได้ เพียงแต่เขาไม่สนใจสิ่งนี้
ปิ่นหยกที่เขาถวายนั้นย่อมไม่มีที่มาที่ไปอะไร ด้วยเป็นสิ่งที่เขาหลอมขึ้นเอง แต่ปิ่นหยกชิ้นนี้ไม่ใช่แค่เครื่องประดับธรรมดาๆ เช่นนั้น เชื่อว่าหากจักรพรรดินีแยกแยะของเป็น ต้องไม่ผิดหวังแน่นอน
หลังจากประกาศของขวัญของหลินสวินจบแล้ว หัวหน้าเผิงก็เก็บรายชื่อของขวัญ สีหน้าเองก็ประหลาดไปอย่างยากสังเกตเห็น
เห็นชัดว่าเขาไม่รู้รายละเอียดของปิ่นหยกที่หลินสวินถวายเช่นกัน รู้เพียงว่านี่เป็นปิ่นหยกชิ้นหนึ่งเท่านั้น
เขาเป็นผู้อาวุโสในพระราชวัง ย่อมนึกถึงหลินเต้าเฉินผู้เป็นบรรพบุรุษของหลินสวิน จึงอดลอบถอนใจไม่ได้ คิดว่าเดิมทีท่านเต้าเฉินเป็นบุคคลชั้นไหน ขนาดขนานนามได้ว่ามีอำนาจสะเทือนใต้หล้า หยิ่งทระนงเกินใคร แม้ตัวจะตายไปแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่เคารพและจดจำในจักรวรรดิ
แต่ตอนนี้ตระกูลหลินกลับตกต่ำยากจนข้นแค้นถึงเพียงนี้ ขนาดทายาทสายตรงมาเข้าร่วมงานเลี้ยงเฉลิมพระชนมพรรษา ยังเตรียมของขวัญที่เข้าท่าไม่ได้ นี่ช่างน่าทอดถอนใจเสียจริง
หัวหน้าเผิงเก็บงำความคิด ไม่คิดมากอะไรต่ออีก รายชื่อของขวัญประกาศเสร็จสิ้น ต่อไปงานเลี้ยงก็ควรจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปาก บนบัลลังก์ที่โอบล้อมด้วยเมฆมงคลนั้นพลันมีเสียงอ่อนโยนและสงบนิ่งของจักรพรรดินีดังขึ้น
“ตกรางวัล”
เพียงประโยคเดียว กลับเหมือนสายฟ้าฟาดลงฉาดหนึ่ง สั่นสะเทือนจนทั้งโถงพากันตกตะลึง
ตกรางวัลหรือ
ตกรางวัลให้ใคร
ของขวัญของใครกันที่ทำให้จักรพรรดินีทรงปิติได้ ถึงกับให้รางวัลในตอนนี้อย่างผิดธรรมเนียม
หลายคนอดใจเต้นไม่ได้ เกิดความคิดสรตะ เริ่มนึกย้อนไปว่า ในรายชื่อของขวัญเมื่อครู่นี้ ใครกันที่จะได้รับเกียรติพิเศษชั้นนี้ไป
คนใหญ่คนโตบางคนก็มั่นใจว่าของขวัญที่ตนถวายจะอยู่แถวหน้า ถึงกับเริ่มเฝ้าคอย เฝ้าคอยว่ารางวัลพระราชทานนี้จะตกเป็นของตน
ขนาดหัวหน้าเผิงยังประหลาดใจอยู่บ้าง ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น ถึงกับไม่ได้ไปเตรียมรางวัลพระราชทานไว้ล่วงหน้า
หัวหน้าเผิงกำลังรอทูลถาม ก็เห็นว่าแสงสีฟ้าอ่อนแสงหนึ่งบินออกมาจากบัลลังก์
ชั่วพริบตาก็ลงไปยังตั่งที่หลินสวินอยู่ท่ามกลางสายตาจ้องมองของฝูงชน
นี่…
ทุกคนต่างจับจ้องด้วยความสับสน สีหน้าอึ้งงันเล็กน้อย เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
ในหมู่ของขวัญฉลองพระชนมพรรษา ปิ่นหยกที่หลินสวินถวายนั้นกระจอกที่สุด เหตุใดองค์จักรพรรดินีกลับให้รางวัลเป็นพิเศษได้
ความรู้สึกในใจทุกคนพลันเปลี่ยนเป็นสับสน
ก่อนหน้านี้พวกเขาคิดว่าของขวัญที่หลินสวินถวายนั้นทำให้เขาอับอายท่ามกลางสายตาคน แต่พริบตาเดียว รางวัลพระราชทานของจักรพรรดินีกลับตกอยู่ในมือหลินสวิน ใครจะกล้าคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ได้
หรือว่าปิ่นหยกนี้จะไม่ได้ธรรมดาอย่างที่คาดคิดไว้
จากนั้นก็เห็นว่าบนบัลลังก์นั้น เสียงของจักรพรรดินีดังขึ้น “ปิ่นหยกนี้ตรงใจตัวข้านัก ดีมาก ไม่เสียแรงที่เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณซึ่งชักนำให้เกิดปรากฏการณ์เสียงร้องเก้ามังกรได้ ในขวดนั้นมียาลูกกลอนวิญญาณหนึ่งเม็ด ถือเสียว่าแทนคำขอบคุณของเปิ่นจั้ว[1]ข้าก็แล้วกัน”
เฮือก!
หลายคนสูดลมหายใจเย็นเยียบ
จักรพรรดินีไม่เพียงตกรางวัล เวลานี้ยังเอ่ยชื่นชมหลินสวินด้วยตัวเอง เพื่อแสดงความขอบใจ เช่นนี้เห็นได้ยากนัก!
ผู้ที่มีปัญญาหลักแหลมบางคนคาดเดาจากคำพูดของจักรพรรดินีได้ว่า ปิ่นหยกนั้นต้องเป็นสิ่งที่หลินสวินหลอมขึ้นเองกับมือ ถึงได้รับสั่งชื่นชมว่าไม่เสียชื่อปรมาจารย์สลักวิญญาณ
ส่วนก่อนหน้านี้ ที่หัวหน้าเผิงไม่แนะนำชื่อเสียงเรียงนามหรือที่มาที่ไปของปิ่นหยกตอนที่อ่านรายชื่อของขวัญนั้น ก็เข้าใจได้อย่างดีแล้ว
ด้วยเพราะของสิ่งนี้เป็นสมบัติที่หลินสวินหลอมขึ้นใหม่ ในเมื่อเป็นของขวัญฉลองพระชนมพรรษาที่ถวายจักรพรรดินี เขาก็ไม่อาจทำเกินหน้าที่ มอบชื่อให้กับสมบัตินี้ได้!
เมื่อคิดได้ถึงสิ่งเหล่านี้แล้ว สายตาที่หลายคนมองมายังหลินสวินนั้นเปลี่ยนเป็นซับซ้อน นี่เป็นวิธีของปรมาจารย์สลักวิญญาณ จะไม่พอใจก็คงไม่ได้
เพียงแต่พวกเขายังสงสัยว่าเป็นปิ่นหยกแบบไหนกันแน่ ถึงได้ทำให้จักรพรรดินีโปรดและปิติเช่นนี้ได้
หรือว่าปิ่นหยกอันนี้สูงค่ากว่าของขวัญชิ้นอื่นอีกหรือ
ที่น่าเสียดายคือ ไม่ว่าจักรพรรดินีหรือหลินสวิน ล้วนไม่อธิบายเกี่ยวกับปิ่นหยกนี้เลย
เพราะง่ายมาก หากใช้ปิ่นหยกนี้ร่วมกับ ‘กระบี่เบิกฟ้า’ จะก่อให้เกิดประโยชน์มหัศจรรย์อย่างหนึ่ง!
พูดง่ายๆ ก็คือ ปิ่นหยกกับกระบี่เบิกฟ้าสามารถส่งเสริมกันและกันได้อย่างสมบูรณ์ ก่อให้เกิดพลานุภาพที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
กระบี่เบิกฟ้าเป็นถึงสมบัติสูงสุดในมือของจักรพรรดินี หลินสวินถวายปิ่นหยกนี้ให้ สำหรับจักรพรรดินีแล้วย่อมเป็นความประหลาดใจที่คาดคิดไม่ถึงอย่างหนึ่ง
เมื่อรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของสายตาโดยรอบที่จ้องมองมา ใจหลินสวินก็ซาบซึ้งนัก จักรพรรดินีทำเช่นนี้ เท่ากับออกหน้าแทนเขาอย่างอ้อมๆ เอาคืนพวกคนที่ดูถูกเขาเหล่านั้นอย่างหนัก!
“ขอบพระทัยจักรพรรดินีที่พระราชทานรางวัลพ่ะย่ะค่ะ!”
หลินสวินลุกขึ้นถวายบังคมแสดงความขอบคุณ
“นั่งลงเถอะ”
หลินสวินนั่งลงอีกครั้ง สายตาทอดลงไปบนตั่ง รางวัลของจักรพรรดินีวางอยู่ตรงนั้น เป็นขวดหยกขาวมันแพะใบเล็กประณีตหนาเท่านิ้วโป้ง บริเวณปากขวดหยกมีลวดลายซับซ้อนคลุมเครือแปลกประหลาดลายหนึ่งผนึกอยู่
เพียงดูไอพลังที่ลวดลายซับซ้อนนั้นปล่อยออกมา หลินสวินก็รู้ว่ายาลูกกลอนที่บรรจุภายในย่อมไม่อาจด้อยกว่าได้!
ไม่เพียงหลินสวิน ขนาดคนใหญ่คนโตผู้อื่นในที่นั้นต่างรู้ว่า ยาลูกกลอนที่จักรพรรดินีพระราชทานให้มีหรือจะเป็นของดาษดื่น
นี่ทำให้คนไม่น้อยล้วนลอบอิจฉาไม่หยุดหย่อน หลินสวินผู้นี้คราวนี้โชคดีลงทุนน้อยแต่ได้ผลมากนัก! นำปิ่นหยกอันเดียวมาแลกกับยาลูกกลอนเม็ดหนึ่งในมือจักรพรรดนี ช่างคุ้มค่าเกินไปแล้ว!
และมีคนชะเง้อคอออกมา ต้องการดูเสียหน่อยว่าที่บรรจุในขวดนั้นเป็นยาลูกกลอนชั้นไหนกันแน่ แต่ที่ทำให้พวกเขาผิดหวังก็คือ หลินสวินไม่ได้ดูก็เก็บขวดยาลูกกลอนนั้นไปเสียแล้ว
ละครคั่นฉากนี้จบลงอย่างรวดเร็ว หัวหน้าเผิงเอ่ยขึ้นอีกครั้ง ประกาศว่างานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาเริ่มขึ้นแล้ว
ทันใดนั้นก็เห็นว่านอกประตูใหญ่ของตำหนักมีนักดนตรีชายหญิงแต่งกายหรูหรา โอบอุ้มเครื่องดนตรีนานาชนิดอย่างผีผา ขลุ่ยแคน ระฆังเคาะเป็นต้นกลุ่มหนึ่งหลั่งไหลเข้ามา
ผู้ที่เดินนำหน้านั้นย่อมเป็นหลิ่วชิงเยียน
เพียงแต่ที่ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ก็คือ เวลานี้นางเปลี่ยนการแต่งหน้าแต่งกาย ผมสีดำขลับเกล้าขึ้นเป็นมวย แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบทหารของจักรวรรดิ ทั้งร่างมีกลิ่นอายคล่องแคล่วปราดเปรียว
“หม่อมฉันหลิ่วชิงเยียน นำนักดนตรีทุกท่านถวายบังคมองค์จักรพรรดินี หม่อมฉันด้อยความสามารถ หมายจะถวายลำนำหนึ่งบท เพื่อถวายพระพรองค์จักรพรรดินีให้ทรงอ่อนเยาว์ชั่วนิจนิรันดร์ มีพระชนมายุยืนนานดั่งสวรรค์เพคะ!”
หลิ่วชิงเยียนกับกลุ่มนักดนตรีโค้งกายถวายบังคม
“ลุกขึ้นเถอะ ได้ยินมานานแล้วว่าในบรรดาผู้ฝึกปราณสายศิลป์ในจักรวรรดิ มีเจ้าหลิ่วชิงเยียนเป็นแถวหน้า ไม่รู้ว่าลำนำที่มอบให้ครั้งนี้มีนามว่าอะไรหรือ”
จักรพรรดินีถามอย่างอ่อนโยน
“องค์จักรพรรดินีทรงฟังก็จะรู้เพคะ”
หลิ่วชิงเยียนแย้มยิ้ม
“ได้ เช่นนั้นก็เริ่มเถิด”
ทันใดนั้นกลางโถงตำหนัก หลิ่วชิงเยียนก็โผนขึ้นไปในอากาศ ยืนตรงอยู่ตรงกลางและหันหน้าเข้าหาบัลลังก์ที่อยู่สุดโถง เบื้องหลังนางเป็นกลุ่มนักดนตรี
ชั่วขณะนี้หลิ่วชิงเยียนสีหน้าสงบนิ่ง ใบหน้าพริ้งเพราของนางเต็มไปด้วยความเคร่งขรึม ประกอบกับเครื่องแบบทหารเรียบร้อยทุกกระเบียด ยิ่งเพิ่มกลิ่นอายผู้กล้าน่าเกรงขามเข้าไปโดยปริยาย
ทุกคนอดตั้งตารอไม่ได้ ลูกหลานตระกูลใหญ่ไม่น้อยถึงกับแสดงสีหน้าเคลิบเคลิ้ม เห็นได้ชัดว่าการมีบุญได้ฟังหลิ่วชิงเยียนขับร้อง พาให้ในใจพวกเขาตื่นเต้นไม่หยุดหย่อน
ขนาดหลินสวินก็ยังเป็นครั้งแรกที่ได้มีโอกาสมาดูการแสดงด้วยตัวเอง รับฟังหลิ่วชิงเยียนขับร้องเช่นนี้ ในใจจึงอดบังเกิดความสงสัยไม่ได้
ผู้ฝึกปราณสายศิลป์ในตำนานที่มีชื่อเสียงไปทั่วจักรวรรดิผู้นี้ เด็กสาวที่ได้รับการติดตามคลั่งไคล้จากคนหนุ่มนับไม่ถ้วนมากมายผู้หนึ่ง ประสบความสำเร็จอย่างวันนี้ได้อย่างไรกันแน่
เวลานี้ก็จะได้รู้แล้ว!
ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!
เสียงผีผาบรรเลงเดี่ยวเร้าอารมณ์ดังขึ้น เสียงนั้นราวหอกส่องประกายอาชาสวมเกราะ สั่นสะเทือนไปทั่วโถง เปี่ยมด้วยพลังเกรียงไกรดังกังวาล ราวมหาสมุทรจองหองส่งเสียงคำราม
ในชั่วพริบตาเท่านั้น ระหว่างที่ฝูงชนเหม่อลอยอยู่ ราวกับตัวอยู่ในสนามรบชายแดน มองเห็นบุรุษจักรวรรดินับไม่ถ้วนต่อสู้ในสงครามอย่างฮึกเหิมเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง
ทุกที่มีแต่การต่อสู้ ทุกที่ล้วนเป็นควันไฟสัญญาณ ทุกแห่งหนคือภูเขาศพและทะเลเลือด!
ทันใดนั้นเสียงพิณ เสียงขลุ่ย เสียงกลองใหญ่…ก็เริ่มเสริมเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทั้งท่วงทำนองแปรเปลี่ยนเป็นสมบูรณ์ ยิ่งเร้าใจ ยิ่งมีจังหวะจะโคน ยิ่งมีความหลากหลายรุ่มรวยขึ้น
เหมือนกับว่าในสนามรบนองเลือดนั้นมีบุรุษกล้าแห่งจักรวรรดิปรากฏกายขึ้นไม่ขาดสาย เข้าฟาดฟันศัตรูอย่างไม่กลัวตาย ไม่ว่าศัตรูจะโหดเหี้ยมปานใดก็ไม่หวั่นเกรง
ทำนองนั้นไม่เศร้าโศก กลับพาให้ใจคนบังเกิดความฮึกเหิม ความรู้สึกราวถูกมือใหญ่ไร้รูปควบคุม เหมือนภูเขาไฟที่คุกรุ่นไม่หยุดหย่อนกำลังจะปะทุ
คนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนนึกย้อนถึงเดือนปีอันรุ่งโรจน์ในวันวาน คิดถึงความฮึกเหิมและความกล้าหาญที่ต่อสู้ในสมรภูมิชายแดน คิดถึงภาพความกล้าหาญของเพื่อนร่วมดินแดนที่ร่วมเป็นร่วมตายด้วยกัน…
ส่วนคนวัยหนุ่มเหล่านั้น แต่ละคนยิ่งเกิดความฮึกเหิมในใจขึ้นมหาศาล มาดหมายจะสาดเลือดอันเร่าร้อนในอุราให้โปรยปรายไปทั่วนภาลัย ปรารถนาจะกรำศึกในสนามรบ ห้ำหั่นกับศัตรู!
ขนาดหลินสวินทั้งกายยังขนลุกไปทั้งร่าง ท่วงทำนองนี้เร้าใจ ฮึกเหิม เกรียงไกรยิ่งนัก พาให้ทุกคนไม่มีทางไม่เคลิบเคลิ้ม
เมื่อท่วงทำนองเข้าสู่ช่วงสำคัญ ทำให้ความรู้สึกในใจทุกคนใกล้จะคุกรุ่นถึงที่สุด หลิ่วชิงเยียนซึ่งยืนอยู่ตรงกลางก็แย้มริมฝีปากบางราวกลีบดอกอิง ขับขานเสียงเพลงออกมา
“ตะวันแดงแรกทะยาน ลำแสงหาญสาดเรืองรอง”
เสียงร้องนั้นใสกระจ่าง สดใส มีพลังที่สามารถทะลุไปถึงก้นบึ้งของจิตวิญญาณ เมื่อดังขึ้นมาก็ทำให้ท่วงทำนองที่เร้าใจถึงจุดสูงสุดแต่เดิมนั้น กลับยิ่งเร้าใจยิ่งขึ้นไปอีก!
เพียงท่อนเดียวเท่านั้น กลับทำให้ท่วงทำนองทั้งเพลงเปล่งพลังใหม่หมดจดขึ้นมา
ฝูงชนเพียงรู้สึกกระสับกระส่าย ความรู้สึกในใจที่คุกรุ่นพลุ่งพล่านอยู่ก่อนแล้ว ราวกับถูกจุดประกายระเบิดออกกลางอก ทั้งกายใจจ่อมจม ไม่มีทางพาตัวเองออกไปได้
นี่ก็คือพลังแห่งเสียง!
สำหรับผู้ฝึกปราณสายศิลป์ สิ่งที่ฝึกฝนนั้นคือมหามรรคแห่งดุริยางค์ หลิ่วชิงเยียนมีฐานะเป็นผู้ฝึกปราณสายศิลป์แถวหน้า ความเข้าใจและเชี่ยวชาญด้านดนตรีก้าวไปถึงขั้นบรรลุเซียนเกินธรรมดานานแล้ว
ราวกับเวลานี้ เนื้อร้อง ความรู้สึก เสียงเพลง…หลอมรวมกันอย่างสมบูรณ์ ก็เหมือนเสียงเพลงที่บรรเลงถึงจุดสูงสุด ก้องสะท้อน ห้อตะบึง สั่นสะท้านจิตใจทุกคนในโถง!
ถึงขนาดที่แม้แต่คนใหญ่คนโตบางคนที่พลังปราณลุ่มลึก จิตใจและสติสัมปชัญญะขัดเกลาจนมั่นคงราวศิลาแกร่ง เวลานี้ยังอดเคลิบเคลิ้มไม่ได้ ในดวงตาปรากฏแววประหลาด
——
[1] เปิ่นจั้ว เป็นคำเรียกแทนตัวของผู้สูงศักดิ์