Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 423 ยั่วยุไม่หยุดหย่อน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 423 ยั่วยุไม่หยุดหย่อน
ก่อนจะมาร่วมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษา ก็มีข่าวแพร่งพรายออกมา
ว่าในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาครั้งนี้จะมีคนใหญ่โตจากดินแดนรกร้างโบราณมาร่วมด้วย หากได้รับการยอมรับจากพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะถูกพาไปฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณ!
ดินแดนรกร้างโบราณ!
สำหรับผู้ฝึกปราณมากมายในโลกแล้ว อาจจะเป็นชื่อที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
แต่สำหรับลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลชนชั้นสูงแล้ว กลับรู้ดีว่าที่นั่นเป็นโลกกว้างใหญ่ไพศาลที่เต็มไปด้วยสำนักวิชา สวยงามไร้ขอบเขต มีทรัพยากรณ์ฝึกปราณที่เกินจินตนาการได้
หากได้เข้าไปฝึกปราณในนั้น ย่อมเท่ากับย่างเท้าเทียมนภา ประสบความสำเร็จรุดหน้าดั่งมัจฉาโผเข้าประตูมังกร!
ดังนั้นผู้กล้าที่มีชื่อเสียงมากมายจึงมาที่นี่ ทั้งหลิงเทียนโหว เว่ยฉือเจ๋อ ซ่งอี้ ฉือฉางเฟิง ไป๋หลิงซี อวิ๋นฝูเฉิน…
ที่ดึงดูดพวกเขานั้น ก็คือโอกาสที่เกี่ยวข้องกับดินแดนรกร้างโบราณนี้นั่นเอง!
จักรพรรดินีองค์ปัจจุบันออกจากบัลลังก์ก่อนหน้านี้แล้ว กล่าวว่าจะไปต้อนรับสหายบางคน
นี่พาให้ทุกคนเดาได้ว่า สหายที่ทำให้จักรพรรดินีไปต้อนรับด้วยพระองค์เองนั้น ย่อมต้องเป็นคนชั้นสูงจากดินแดนรกร้างโบราณ!
ดังนั้นเมื่อหัวหน้าเผิงประกาศว่าจักรพรรดินีทรงนำรางวัลออกมา หมายจะพระราชทานรางวัลแก่ผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่อยู่ในที่นั้น ถึงได้ดึงดูดความสนใจอย่างแข็งขันเช่นนี้
เพราะเรื่องนี้คาดเดาได้ง่ายเกินไป รางวัลที่ว่านั้นเห็นได้ชัดว่ามีขึ้นเพื่อให้กลุ่มผู้กล้ารุ่นเยาว์ในที่นี้ได้แสดงความสามารถ!
เพียงแสดงความสามารถได้ล้ำเลิศมากพอ ไม่เพียงได้รับรางวัลอย่างงามจากจักพรรดินี ยังสามารถได้รับความชื่นชมจากดินแดนรกร้างโบราณอีกด้วย!
นี่ต่างหากที่เป็นจุดที่ดึงดูดที่สุด
ทันใดนั้นกลุ่มผู้กล้ารุ่นเยาว์ที่อยู่ในที่นั้น ในใจพลันเอ่อล้นด้วยไฟแห่งการต่อสู้ ใบหน้ามีเพียงสีหน้ากระตือรือร้นอยากลอง
“ทุกท่านคงเดาความหมายของการจัดประลองครั้งนี้ได้ แต่ข้ายังต้องเตือนทุกท่านสักคำ”
เสียงหัวหน้าเผิงก้องกังวาน สะท้อนไปทั่วโถงตำหนัก “ยามพวกท่านดำเนินการประลอง การแสดงออกทุกอย่างล้วนอยู่ในสายพระเนตรขององค์จักรพรรดินีและคนอื่นๆ”
พูดถึงตรงนี้ หัวหน้าเผิงสีหน้าเคร่งขรึมกล่าวว่า “โอกาสหาได้ยากยิ่ง อย่าพลาดโอกาสดีไป! ทุกท่านตามข้ามา!”
เขาพูดพลางเดินก้าวใหญ่ออกจากตำหนักกลาง
ทันใดนั้นกลุ่มแขกเหรื่อในนั้นก็พากันลุกขึ้น หลั่งไหลตามออกไปอย่างแน่นขนัด
……
บนจัตุรัสนอกตำหนักกลางไม่รู้ว่าถูกติดตั้งลานแสดงยุทธ์มหึมาลานหนึ่งตั้งแต่เมื่อไร พื้นปูด้วยกระบวนรอยสลักวิญญาณน่ากลัว ไม่ต้องห่วงว่าจะถูกโจมตีจนสลายไป
เห็นเช่นนี้เหล่าคนใหญ่คนโตต่างลอบตื่นตระหนก เห็นชัดเจนว่าการประลองที่จัดขึ้นในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษานี้ ย่อมมีความหมายไม่ธรรมดา
หาไม่แล้วจะมีลานแสดงยุทธ์โผล่ขึ้นมาหน้าตำหนักกลางเช่นนี้ได้อย่างไร
“ดูท่าข่าวลือจะเป็นเรื่องจริง ครั้งนี้บุคคลชั้นสูงจากดินแดนรกร้างโบราณมาร่วมงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาด้วย ชัดเจนว่าหมายมาคัดเลือกลูกศิษย์ ถ้าเข้าตาพวกเขา ก็เท่ากับได้รับโอกาสใหญ่ครั้งหนึ่ง!”
คนใหญ่คนโตหลายคนคาดเดาอะไรออก แววตาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
พวกเขาเริ่มจับจ้องลูกหลานตระกูลตนเอง ต้องการให้พวกเขาคว้าโอกาสนี้ไว้มั่น!
เพราะเพียงเข้าตา ก็จะได้ไปฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณนั้น และนำพาผลประโยชน์ยากเกินจินตนามาให้ขุมอำนาจตระกูลทรงอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาเหล่านี้!
คนใหญ่คนโตมากอำนาจเหล่านี้ต้องการรู้ตื้นลึกหนาบางของดินแดนรกร้างโบราณยิ่งขึ้น ที่นั่นย่อมไม่ใช่เพียงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งการฝึกปราณธรรมดาๆ เท่านั้นแน่
ขุมอำนาจสำนักวิชาที่น่าหวั่นกลัวบางสำนักในนั้น ยิ่งสามารถแผ่อิทธิพลใหญ่หลวงต่อจักรวรรดิจื่อเย่า!
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากลูกหลานตระกูลทรงอิทธิพลตระกูลใดเข้าตาอีกฝ่าย และสามารถไปฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณได้ ขุมอำนาจตระกูลนั้นก็ย่อมได้รับความสำคัญและการดูแลจากจักรวรรดิ!
นี่ถึงเป็นจุดที่ทำให้คนใหญ่คนโตมากอำนาจเหล่านั้นหวั่นไหว
พูดได้ว่า ความหมายของการประลองครั้งนี้ได้แปรเปลี่ยนไปไม่เหมือนเดิมแล้ว ที่ผู้กล้ารุ่นเยาว์เหล่านั้นคิดก็คือไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ
แต่ที่คนใหญ่คนโตเหล่านั้นคิดก็คือ หากลูกหลานตระกูลตนเข้าตาแล้ว ย่อมนำผลดีไม่น้อยมาสู่วงศ์ตระกูลของตน
สำหรับหลินสวินแล้วความคิดของเขาเรียบง่ายมาก เขาไม่มีแม้แต่ความคิดจะเข้าร่วม ช่วยไม่ได้ ต่อให้เข้าตา เขาก็ไม่สามารถจากไปตอนนี้ได้
ด้วยเขายังต้องควบคุมดูแลภูเขาชำระจิต ทั้งยังต้องรับหน้าที่สร้างความรุ่งเรืองให้กับตระกูลหลิน จะทิ้งทุกอย่างไว้เช่นนี้โดยไม่ไยดีแล้วจากไปได้อย่างไร
ที่หลินสวินคำนึงถึงเพียงอย่างเดียวก็คือ หากได้รู้ร่องรอยบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับสำนักกระบี่เทียมฟ้าจากปากของบุคคลชั้นสูงที่มาจากดินแดนรกร้างโบราณเหล่านั้น ก็ทำให้ตนพึงพอใจมากแล้ว
“อีกเดี๋ยวเจ้าจะเข้าร่วมหรือไม่”
หลิ่วชิงเยียนเดินมาถามเสียงเบา
“ดูสถานการณ์ก่อนแล้วกัน”
หลินสวินพึมพำ ครั้งนี้ในลานมีผู้กล้าที่มีชื่อสะท้านใต้หล้าอยู่ก่อนแล้วมากมายรวมตัวหนาแน่น เขาก็อยากดูเหมือนกันว่า ผู้กล้าที่ว่าเหล่านั้นจะมีพลังปราณแข็งแกร่งขั้นไหน จากนั้นค่อยพิจารณาว่าจะเข้าร่วมหรือไม่
“ไม่ว่าอย่างไร ข้ายังเชื่อว่าเจ้าสามารถคว้าโอกาสนี้ไว้ได้”
หลิ่วชิงเยียนแย้มยิ้ม
ถูกคนงามให้ความสำคัญเช่นนี้ย่อมเป็นเรื่องน่าดีใจเรื่องหนึ่ง โดยเฉพาะหลิ่วชิงเยียนที่เป็นถึงหญิงงามที่มีคุณลักษณะโดดเด่น ก็ยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่
หลินสวินเองก็ไม่เว้น เขาถึงกับละอายอยู่บ้าง รู้สึกว่าตนมีอะไรดีกันนะ
“หลินสวิน!”
ฉับพลัน เสียงที่เต็มไปด้วยความจองหองเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ก็เห็นว่าไม่ไกลนัก ฉือฉางเฟิงที่สวมเกี้ยวประดับสูงขนนกสีทอง สีหน้าเปี่ยมไปด้วยความดุดัน กำลังมองมาทางหลินสวินอย่างเย็นชา
“อีกเดี๋ยวเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดี ข้าจะเป็นคนแรกที่ฆ่าเจ้าได้ก่อน!”
น้ำเสียงของฉือฉางเฟิงเย็นเยียบ ทั้งตัวเขาราวกับกระบี่ที่เผยคมมีดชัดเจนเล่มหนึ่ง ดูโหดเหี้ยมไร้จิตใจถึงที่สุด
พูดจบเขาก็หันหน้าเดินจากไป
หลินสวินพลันขมวดคิ้ว ตนไม่ได้ไปล้างแค้นเจ้าหมอนี่ เจ้าหมอนี่กลับแจ้นมาหาเสียเอง บ้าระห่ำดีแท้
“เจ้ากับเขามีความแค้นกันหรือ”
หลิ่วชิงเยียนชะงักงัน ดวงตาสุกใสปรากฏความกังวลใจ
ฉือฉางเฟิง เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นปีศาจตนหนึ่ง บนกายมีเส้นปราณ ‘ดอกบัวม่วงกลางทะเลทอง’ อายุเพิ่งสิบสี่สิบห้าปีเท่านั้นก็มีชื่อทั่วนครต้องห้าม พลังปราณและความสามารถในการต่อสู้นั้นเรียกได้ว่าวิปริต
อันดับสองในการทดสอบระดับอาณาจักรปีนี้ก็พิสูจน์ความสามารถที่แท้จริงของเขาได้ดีที่สุด
“มีความแค้น ยามข้าเพิ่งเข้ามาในนครต้องห้ามเขาก็อยากฆ่าข้าแล้ว เพียงแต่ทำไม่ได้ตามที่หวัง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะยังกล้ามาหาเรื่องถึงที่”
หลินสวินอธิบายคำหนึ่งแล้วถามขึ้น “การประลองครั้งนี้ฆ่าคนได้หรือไม่”
หลิ่วชิงเยียนอึ้งไป ส่ายหัวพลางพูดว่า “แน่นอนว่าไม่ได้ นี่เป็นถึงงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาของจักรพรรดินี จะให้มีคนตายได้อย่างไร”
หลินสวินพลันหัวเราะ “พูดเช่นนี้ ที่เจ้าหนูนั่นเพิ่งพูดว่าจะฆ่าข้าก็กำลังพูดหมาๆ งั้นสิ”
คำพูดว่าพูดหมาๆ นี้ดูหยาบคายนัก พาให้หญิงงามที่บริสุทธิ์ถึงที่สุดอย่างหลิ่วชิงเยียนอดหน้าแดงไม่ได้ ดวงตาสุกใสมองค้อนหลินสวินคล้ายตำหนิรอบหนึ่ง แล้วพูดว่า “เจ้าอย่าได้ไม่ใส่ใจ หากเขาคิดท้าประลองกับเจ้าจริง ต่อให้ฆ่าเจ้าไม่ได้ แต่บาดเจ็บสาหัสคงยากหลีกเลี่ยง”
หลินสวินยิ้มแล้วพยักหน้าน้อยๆ
แท้จริงแล้วหลิ่วชิงเยียนย่อมไม่รู้ว่า เมื่อได้ยินคำว่าฆ่าคนไม่ได้นั้น ใจเขากลับผิดหวังนัก หากทำได้ล่ะก็ เขาจะไม่เกรงใจแล้วฆ่าฉือฉางเฟิงเสียในพระราชวังแห่งนี้!
“หลินสวิน”
ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอีก อ่อนหวานหาได้เปรียบ แต่กลับเป็นหลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นในชุดสีเลือดทั้งตัว ผู้มีรูปลักษณ์งดงามหล่อเหลาราวปีศาจ!
“ประเดี๋ยวกล้ามาประลองกับข้าสักตาหรือไม่”
หลิงเทียนโหวส่งสายตากดดัน “หากข้าชนะล่ะก็ นอกจากเจ้าต้องรับใช้ถวายชีวิตให้ข้าสิบปี ยังต้องให้หลิ่วชิงเยียนศิโรราบให้ข้าด้วย ว่าอย่างไร”
“เจ้า…” หลิ่วชิงเยียนคิดไม่ถึงเลยว่า หลิงเทียนโหวผู้นี้พอมาถึงก็นำนางมาเป็นของเดิมพันเลย ใบหน้าพริ้งพรายพลันเย็นชาราวน้ำแข็ง ดวงตาสุกใสเปลี่ยนเป็นขุ่นเคือง
นี่มันเกินไปแล้ว!
ไม่เพียงหลิ่วชิงเยียน ผู้ฝึกปราณหลายคนที่อยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ยินเข้าต่างอดสูดหายใจลึกไม่ได้ คิดว่าหลิงเทียนโหวใจกล้าคับฟ้าไปแล้ว ความหยิ่งผยองนั้นไม่เพียงจองหอง แต่ไม่สนใจกฎเกณฑ์ยิ่ง
แต่ผู้ที่รู้จักหลิงเทียนโหวต่างรู้กันว่า คนผู้นี้ก็มีนิสัยใจคอเช่นนี้ โหดเหี้ยมเกินมนุษย์มนา ใช้อำนาจบาตรใหญ่ไม่หวั่นกลัว เดิมทีที่เขาถูกขับออกจากนครต้องห้ามก็ไม่ใช่เพราะแย่งชิงผู้ฝึกปราณสายศิลป์ผู้หนึ่งจนสังหารคนไปสิบกว่าคน พาให้ฝูงชนโกรธแค้นหรอกหรือ
“แม่นางชิงเยียนอย่าไปทำความรู้จักกับไอ้โง่นี่เลย”
ทว่าหลินสวินกลับเอ่ยปาก แสดงความแข็งกร้าวยิ่งกว่าหลิงเทียนโหว พูดเสียงเนิบว่า “คิดจะสู้กับข้าหรือ ก็ได้ แต่ว่าต้องเปลี่ยนของเดิมพันเสียหน่อย”
หลิงเทียนโหวถูกด่าว่าเป็นไอ้โง่กลับไม่โมโห แต่เผยรอยยิ้มน่ากลัวอ่อนหวานราวปีศาจออกมา “อ้อ ว่ามาสิ”
“ง่ายมาก ถ้าข้าชนะ เจ้าต้องคุกเข่าขอขมาแม่นางชิงเยียน และสาบานว่าจะไม่มีการแก้แค้นใดๆ”
หลินสวินพูดอย่างไม่ลังเล
ประโยคเดียวพาให้ผู้ฝึกปราณบางคนไหวสะท้าน ไม่เพียงด่าหลิงเทียนโหวว่าไอ้โง่ ยังเดิมพันให้หลิงเทียนโหวคุกเข่าขอขมา หลินสวินผู้นี้ช่างใจกล้าเสียจริง!
ทว่าการกระทำเช่นนี้ของเขากลับชนะใจของสตรีหลายคนในที่นั้น ดูสิ เพื่อออกหน้าแทนหลิ่วชิงเยียน กล้าต่อปากต่อคำกับหลิงเทียนโหว นี่สิลูกผู้ชายตัวจริง!
หลิ่วชิงเยียนก็ซาบซึ้งใจ ดวงตาสุกใสจับจ้องหลินสวิน ราวกับเพิ่งได้รู้จักเด็กหนุ่มหน้าตาเกลี้ยงเกลาผู้นี้เป็นครั้งแรก
แต่ทันใดนั้นนางก็อดกังวลใจไม่ได้ เหตุใดเขาถึงโง่เขลาเช่นนี้ เพื่อออกหน้าแทนตนถึงกับไปต่อกรกับคนอย่างหลิงเทียนโหว ช่างไม่คุ้มเอาเสียเลย!
“ได้!”
ในดวงตาของหลิงเทียนโหวมีรัศมีสายฟ้าสีโลหิตยิงไหลเคลื่อนปราดหนึ่ง แต่เขากลับรับปากโดยไม่ลังเล ราวกับไม่กังวลอยู่แล้วว่าตนจะพ่ายแพ้
เขาพลันถามขึ้น “หากเจ้าแพ้เล่า”
หลินสวินเอ่ย “ก็ง่ายดายเช่นกัน เจ้าไม่ได้อยากให้ข้าไปรับใช้ถวายชีวิตให้เจ้าสิบปีหรือ เพียงเจ้าชนะ ข้าก็ตกลง!”
ฝูงชนในบริเวณนั้นตื่นตระหนก เดิมพันนี้จะมากเกินไปแล้ว!
ขณะนี้ใครไม่รู้บ้างว่าหลินสวินเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยที่ชักนำปรากฏการณ์ ‘เสียงร้องเก้ามังกร’ ได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้ไม่นาน เขาเพิ่งช่วยจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันซ่อมแซมกระบี่เบิกฟ้า
ความสามารถด้านการสลักวิญญาณที่น่าหวาดหวั่นปานนี้ ทำให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณมากประสบการณ์ส่วนใหญ่ในนครต้องห้ามล้วนเงียบไป ไม่มีทางเทียบได้ เพียงคิดก็รู้ว่าหากหลินสวินพ่ายแพ้ ต้องถูกหลิงเทียนโหวเอาเปรียบอย่างยิ่งแน่!
“หลินสวิน…”
หลิ่วชิงเยียนกังวลใจนัก อดเอ่ยปากไม่ได้
“เชื่อข้าเถอะ ไม่เป็นไร”
หลินสวินยิ้มกว้าง
“เหอะๆ ก็ดี” เวลานี้หลิงเทียนโหวหัวเราะอย่างพึงพอใจแล้วพูดว่า “แต่น่าเสียดายนะ เจ้ายังถือว่าขี้ขลาดไป เดิมพันที่ยกขึ้นมาไม่สะใจเลย หากข้าเป็นเจ้า จะเอาชีวิตเป็นเดิมพัน นี่สิถึงจะเรียกว่าเดิมพันสมน้ำสมเนื้ออย่างแท้จริง”
“ข้าเห็นว่าชีวิตของเจ้ามันต่ำค่าเกินไป ไม่คุ้มราคายิ่ง จึงคร้านจะพนัน ก็เหมือนเอาไหกระเบื้องห่วยๆ ใบหนึ่งมากระแทกกับเครื่องเคลือบวิจิตร ใต้หล้านี้จะมีเรื่องดีพรรค์นี้ได้อย่างไร”
หลินสวินยิ้มให้พลางเอ่ยปาก
——