Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 431 กล่าวถึงเรื่องครานั้นอีกครั้ง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 431 กล่าวถึงเรื่องครานั้นอีกครั้ง
เด็กคนนี้ไม่ได้!
แม้น้ำเสียงของจักรพรรดินีจะอ่อนโยน แต่กลับเผยความเด็ดเดี่ยวอย่างไม่เปิดโอกาสให้สงสัย
ทำให้เหล่าผู้ฝึกตนชั้นสูงอย่างฮว่าซิงจื่อ หลูเจิ้นหยางและซุนเจี้ยนหงต่างไม่เข้าใจ แม้หลินสวินจะมีข้อบกพร่องอย่างชัดเจน แต่กลับเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาหนุ่มสาวยุคใหม่อย่างแน่นอน
คนที่มีพรสวรรค์ระดับนี้ มีเพียงการเข้าไปฝึกที่สำนักโบราณในดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น จึงจะมีอนาคตที่งดงามยิ่งขึ้น
ถ้าได้รับการฝึกฝนอย่างเหมาะสม ถึงขั้นสามารถกลายเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดแห่งยุคและโด่งดังไปทั่วทั้งจักรวาลได้!
แต่เหตุใดจักรพรรดินีจึงห้าม?
“ฐานะของเด็กคนนี้ค่อนข้างพิเศษ”
จักรพรรดินีตอบอย่างคลุมเครือ
เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถทำให้พวกฮว่าซิงจื่อพอใจได้
“ไม่ว่าฐานะจะพิเศษเพียงใด ขอเพียงแค่เข้าสู่สำนักกระบี่นิลดำของข้า ข้าก็รับรองได้ว่าจะทำให้เขาประสบความสำเร็จในการฝึกปราณ ไม่คิดว่าจะส่งผลกระทบอันใด!”
ซุนเจี้ยนหงพูดอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาด จะเห็นได้ว่าเขาชื่นชมหลินสวินจากใจจริงและอยากให้เข้าไปอยู่ในสำนักของเขาแทบไม่ไหวแล้ว
แม้ฮว่าซิงจื่อและหลูเจิ้นหยางจะชื่นชมหลินสวินอย่างมาก แต่พอได้ยินจักรพรรดินีตอบเช่นนี้ก็พอจะรับรู้ได้อย่างมีไหวพริบว่า ฐานะของหลินสวินคงไม่ธรรมดาจริงๆ
“สหายซุน เรามีความสัมพันธ์กันยืนยาวหลายสิบปีแล้ว พูดตามตรงเลยนะ หากเด็กคนนี้เข้าสู่สำนักกระบี่นิลดำ มีแต่โทษไม่มีคุณ”
จักรพรรดินีหยุดไปครู่ค่อยพูดอย่างเรียบเฉย
อะไรนะ?
ทุกคนต่างตกตะลึง มีสาเหตุอันใดซ่อนอยู่ในตัวหลินสวิน ถึงขั้นสามารถส่งผลกระทบต่อสำนักกระบี่นิลดำได้?
คราวนี้แม้แต่สีหน้าของซุนเจี้ยนหงยังเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “นี่…พราะเหตุใด”
เขาไม่จำยอมอย่างเห็นได้ชัด
“โปรดชี้แจงให้ชัดเจน พวกข้าจะได้ตัดใจ”
ฮว่าซิงจื่อและหลูเจิ้นหยางก็ต่างพูดขึ้น
จักรพรรดินีเห็นเช่นนี้จึงหยุดไตร่ตรองครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ปกปิดอีก เอ่ยว่า “พ่อแม่และญาติๆ ของเขา ตายเพราะอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว”
อวิ๋นชิ่งไป๋!
ชื่อนี้ราวกับสายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัว ทำให้สีหน้าของพวกฮว่าซิงจื่อต่างเปลี่ยนไปอย่างพร้อมเพรียงกัน หัวใจสั่นสะท้านและเงียบไป
“มิน่า…”
ครู่ใหญ่ฮว่าซิงจื่อจึงถอนหายใจ “แม้ไม่รู้เหตุผล แต่ในเมื่อ…เมื่อเกี่ยวข้องกับอวิ๋นชิ่งไป๋ นี่มัน..ปัญหาใหญ่จริงๆ”
น้ำเสียงของเขาดูลังเล แต่สุดท้ายก็เหมือนจะคิดตกแล้ว เสียงจึงเปลี่ยนเป็นหนักแน่นขึ้น
“อวิ๋นชิ่งไป๋แห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า ฝึกยุทธ์มาถึงตอนนี้ ได้ชื่อว่าเป็นราชันไร้พ่ายในหมู่คนระดับเดียวกัน เป็นเหมือนตำนาน ยืนอยู่บนจุดสูงสุดอย่างภาคภูมิใจ ที่มาของเด็กคนนี้เกี่ยวข้องกับเขา ช่าง…ช่างโชคร้ายนัก!”
หลูเจิ้นหยางเองก็ถอนหายใจ
ไม่ว่าจะเป็นฮว่าซิงจื่อหรือหลูเจิ้นหยางต่างล้มเลิกความคิดที่จะพาหลินสวินเข้าสู่สำนัก และทั้งหมดนี้เป็นเพราะอวิ๋นชิ่งไป๋คนเดียว!
“สหายซุน…”
จักรพรรดินีเพิ่งจะอ้าปากพูด ซุนเจี้ยนหงที่เงียบมาโดยตลอดก็พูดขึ้นอย่างเศร้าใจ “ก็คงต้องปล่อยให้เป็นแบบนี้ เฮ้อ!”
“ทุกท่านอย่าเพิ่งหดหู่ไป ผู้ฝึกปราณที่มางานเลี้ยงฉลองครั้งนี้ ยังมีพวกที่ความสามารถไม่ธรรมดา ทุกท่านคัดกรองดูอย่างละเอียด หากมีใครที่เข้าตาก็พาไปได้เลย นี่ถือเป็นโอกาสที่หาได้ยากสำหรับพวกเขา”
จักรพรรดินีพูดอย่างอ่อนโยน
แม้พวกของฮวาชิงจื่อจะยังเสียดาย แต่ก็รู้ว่าคงทำได้เพียงเท่านี้แล้ว
พวกเขาพลันเก็บความรู้สึก เริ่มให้ความสนใจการประลองที่กำลังดุเดือดในลานแสดงยุทธ์ต่อ
ส่วนจักรพรรดินีก็ลุกจากไป
……
ทันใดนั้นหลินสวินที่กำลังทำความเข้าใจพลังปราณของตัวเองอยู่รู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาพลัน เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังหน้าประตูห้องโถงใหญ่ทันที
ผู้หญิงในชุดขาวเกล้าผมขึ้นสูงเดินเข้ามาแทบจะในขณะเดียวกัน
หญิงคนนั้นโคนผมเริ่มขาวแล้ว ดูสง่างาม รูปลักษณ์ไม่ถึงกับโดดเด่น แต่มีเสน่ห์แบบดั้งเดิมอย่างเป็นธรรมชาติ
ดวงตาของนางอ่อนโยน บริสุทธิ์และกระจ่างใส หว่างคิ้วดูเปี่ยมไปด้วยประกายแห่งสติปัญญา ให้ความรู้สึกสง่างามอย่างยากจะอธิบายเป็นคำพูด
นางเป็นเหมือนหยกที่ผ่านประสบการณ์มาแล้วมากมาย แต่ยังคงรักษาแสงประกายอันอ่อนโยนประณีตไว้ได้ ทำให้ผู้อื่นรู้สึกเคารพนับถืออย่างควบคุมไม่อยู่
แต่ทุกอิริยาบถตอนที่นางเดินมา กลับประหนึ่งปักษาเพลิงที่อาศัยอยู่บนสวรรค์ชั้นฟ้ามาเป็นเวลานาน ท่องภูผานที มองลงมาเบื้องล่าง ทำให้รู้สึกกดดันและหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
“หลินสวินแห่งภูเขาชำระจิตคารวะจักรพรรดินี!”
หลินสวินลุกขึ้นมาคำนับแทบจะในทันที สตรีที่บุคลิกสง่างามแฝงความอ่อนโยนและน่าเกรงขามคนนี้ คือจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย!
“นั่งเถอะ เจ้ากับข้าล้วนเป็นผู้ฝึกปราณเหมือนกัน ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับความเข้าใจทางโลก”
จักรพรรดินีเดินเข้ามานั่งบนที่นั่งประธานอย่างสบายๆ พร้อมพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
หลินสวินพยักหน้าแล้วนั่งตัวตรง สีหน้าเคร่งขรึม จักรพรรดินีไม่เคยเผยกลิ่นอายที่ชวนให้รู้สึกกลัว แต่เมื่อเผชิญหน้ากับนาง กลับทำให้หลินสวินรู้สึกกลัวและกดดัน ไม่กล้าไม่เคารพแม้แต่น้อย
อยู่ใกล้กษัตริย์ก็เหมือนอยู่ใกล้เสือ
วินาทีนี้ในที่สุดหลินสวินก็สัมผัสได้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดนี้อย่างลึกซึ้ง น่ากลัวเกินไปแล้ว น่ากลัวอย่างเหนือความคาดหมาย!
หลินสวินถึงขั้นไม่กล้าคาดเดาเลยว่า พลังปราณของจักรพรรดินีในตอนนี้จะน่ากลัวถึงระดับไหนแล้ว
แต่สิ่งที่ไม่ต้องสงสัยคือ บางทีแค่อีกฝ่ายมีความคิดจะฆ่าตน ก็สามารถควบคุมความเป็นความตายของตนได้แล้ว!
“เดิมทีข้ามิได้คาดหวังกับการซ่อมกระบี่เบิกฟ้าเลยแม้แต่น้อย คิดไม่ถึงว่าเด็กน้อยอย่างเจ้ากลับสร้างความประหลาดใจและน่ายินดีให้ข้า”
จักรพรรดินีพูดด้วยเสียงอบอุ่น นางไม่ได้เรียกแทนตัวเองว่า ‘เปิ่นจั้ว[1]’ แล้ว แต่เปลี่ยนเป็นเรียก ‘ข้า’ เหมือนกำลังคุยกับเพื่อน
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้กลับยิ่งทำให้หลินสวินระแวดระวังและเกร็งไปทั้งตัว
นี่เป็นปฏิกิริยาตามสัญชาตญาณอย่างแท้จริงของผู้ฝึกปราณทุกคนเมื่อเผชิญกับความหวาดกลัว เป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ เว้นแต่จะอยู่ในระดับเดียวกัน มิเช่นนั้นก็ไม่สามารถคลี่คลายได้เลย!
“พระนางทรงชมเกินไปแล้ว ”
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึก พูดอย่างเคารพ
“ไม่ได้ชมเกินไป แต่ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นคนเดียวที่ซ่อมกระบี่เบิกฟ้าได้”
จักรพรรดินีพูดอย่างสบายๆ
หลินสวินพลันอึ้งไป นี่เป็นการให้เกียรติเขาเกินไปแล้ว
ราวกับอ่านใจหลินสวินออก จักรพรรดินีเงียบไปครู่ จู่ๆ ก็ถอนหายใจเบาๆ คราหนึ่ง “ดูเหมือนว่าลู่ป๋อหยาจะไม่ได้บอกอะไรเจ้าเลยจริงๆ”
ได้ยินชื่ออันคุ้นเคยนี้ หลินสวินเพียงรู้สึกหัวใจกระตุกวูบ แทบจะควบคุมอารมณ์ไม่อยู่
ท่านลู่!
จักรพรรดินีถึงกับพูดถึงท่านลู่!
ทว่ากลับเห็นนัยน์ตาคู่สะอาดของจักรพรรดินีวาบประกายย้อนระลึกถึงความทรงจำ “ในคืนหิมะตกเมื่อประมาณหนึ่งร้อยเจ็ดสิบสามปีก่อน ห่างจากวันราชาภิเษกของข้ากับองค์จักรพรรดิอีกเพียงสามวัน จักรพรรดิบอกว่าจะมอบชุดศึกสลักวิญญาณที่มีเพียงชิ้นเดียวในโลกเป็นของขวัญให้กับข้า”
“และตอนนั้นแหละที่กระบี่เบิกฟ้ามาอยู่ในมือของข้า”
“หลังจากนั้นข้าจึงได้รู้ว่า องค์จักรพรรดิทรงจ่ายค่าตอบแทนไปมาก กว่าจะได้กระบี่เบิกฟ้าเล่มนี้จากมือลู่ป๋อหยา”
พูดถึงตรงนี้ มุมปากของจักรพรรดินีก็ได้เผยรอยยิ้มอันยากจะอธิบายออกมา “เพราะกระบี่เบิกฟ้านี้น่าอัศจรรย์มาก ช่วยข้าคลี่คลายวิบัติภัยมามากมาย มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตข้า ดังนั้นข้าจึงสงสัยมาตลอดว่าลู่ป๋อหยาผู้นี้คือใครกันแน่”
หลินสวินหัวใจสะท้าน เพิ่งจะรู้ว่าที่แท้ท่านลู่เป็นผู้หลอมกระบี่เบิกฟ้าขึ้นเองกับมือ…
เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว!
“เสียดายที่ลู่ป๋อหยาผู้นี้เป็นเทพมังกรที่เห็นหัวไม่เห็นหาง ที่มาเกินคาดเดา แม้แต่องค์จักรพรรดิก็ยังเก็บเป็นความลับ”
จักรพรรดินีพูดถึงตรงนี้ก็เงยหน้ามองหลินสวินแล้วถามกะทันหันว่า “ตอนนี้เขาสบายดีหรือไม่”
หลินสวินตัวแข็งทื่อ นึกถึงวันที่หนีออกจากคุกใต้เหมืองอย่างควบคุมไม่อยู่ นึกถึงฝ่ามือสีม่วงข้างใหญ่ที่ปิดคลุมท้องฟ้า นึกถึงสีหน้าอันซับซ้อนที่ทั้งกระวนกระวายใจ หงุดหงิด โมโห สิ้นหวังและขมขื่นนั้นของท่านลู่ตอนที่ส่งตนจากมา…
“ท่านลู่เขา…คงไม่อยู่แล้ว”
เสียงของหลินสวินต่ำลึก ในส่วนลึกของจิตใจ เขาไม่ยอมรับความจริงอันโหดร้ายนี้มาโดยตลอด แต่เขารู้ดีว่าโอกาสที่ท่านลู่จะรอดนั้นริบหรี่
จักรพรรดินีอึ้งงันไปอย่างเห็นได้ชัด มองเห็นความเสียใจบนใบหน้าของหลินสวินแล้วอดถอนหายใจไม่ได้ “น่าเสียดาย”
“พระนางเรียกข้าเข้าพบด้วยเรื่องใดหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนเอ่ยถาม ด้วยเขาไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก
เป็นฝ่ายถามแบบนี้ดูไม่เคารพอยู่บ้าง แต่เหมือนว่าจักรพรรดินีจะไม่ใส่ใจ
นางครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าพูด “เพียงแค่อยากถามเรื่องของลู่ป๋อหยาจากเจ้า”
นัยน์ตาหลินสวินหดรัดเล็กน้อย เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าจักรพรรดินีคล้ายมีเรื่องปิดบัง แต่ตัวเขากลับไม่สามารถตื๊อถามได้
เพราะแม้จะถาม จักรพรรดินีก็คงไม่บอกอะไรมาก
“เจ้าซ่อมกระบี่เบิกฟ้าให้ข้า ก็ควรจะได้รับรางวัล แต่สิ่งที่เจ้าทำบนลานแสดงยุทธ์วันนี้เกินเหตุไปหน่อย หากไม่ลงโทษเจ้า จะทำให้คนทั้งโลกดูแคลนความน่าเกรงขามของราชวงศ์”
จู่ๆ จักรพรรดินีก็พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในลานแสดงยุทธ์ก่อนหน้านี้
หลินสวินลอบถอนหายใจในใจ ไม่รู้ว่าไปเอาความกล้ามาจากไหนถึงได้พูดอย่างจริงจัง “ตอนนั้นข้าไม่ได้ทำอะไรผิด”
จักรพรรดินีอึ้ง ราวกับคิดไม่ถึงว่าเด็กอย่างหลินสวินจะกล้าท้าทายตน แล้วพลันพูดด้วยสีหน้าไร้ซึ่งความรู้สึก “ไม่สนใจภาพรวม ไม่รู้จักความเหมาะสม นี่ก็เป็นความผิดอย่างหนึ่ง หากเจ้าไม่ยอมรับ ก็จะเป็นเพียงการพิสูจน์ให้เห็นว่าเจ้ายังไร้เดียงสาเกินไปจึงไม่เข้าใจกฎของโลก”
น้ำเสียงแม้ยังคงอบอุ่นแต่กลับแฝงความน่าเกรงขามอย่างที่สุด ชวนให้หัวใจสั่นสะท้าน
หลินสวินเงียบไปทันที อ่านความรู้สึกภายในใจไม่ออก
แต่จักรพรรดินีกลับสัมผัสได้อย่างมีไหวพริบว่าหลินสวิมิได้รู้สึกว่าตัวเองทำอะไรผิด ทำให้นางอดนึกขำในใจไม่ได้ เด็กหัวแข็งแบบนี้นางเจอมานักต่อนักแล้ว แต่ไม่เคยเห็นคนที่ดื้อรั้นได้เท่าหลินสวิน ทั้งยังกล้าเถียงตน ใจกล้าเหิมเกริมเกินไปแล้ว
“ช่างเถอะ เจ้าออกไปเถอะ”
จักรพรรดินีโบกมือ
หลินสวินรู้สึกเหมือนได้รับอภัยโทษ รีบลุกขึ้นกล่าวลา
เขารู้สึกว่าขืนนั่งต่อไป ตนจะถูกความน่าเกรงขามในตัวจักรพรรดินีกดดันจนเสียการควบคุมอย่างสิ้นเชิงแน่
เพียงแต่ก่อนออกจากประตูห้องโถง เขาเหมือนฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้จึงอดพูดไม่ได้ “องค์จักรพรรดินี ไม่ทราบว่ารางวัลของข้าคือ…”
“เจ้าหมิ่นความน่าเกรงขามของราชวงศ์ หากยอมรับโทษก็จะให้รางวัลกับเจ้า เจ้าแน่ใจนะว่าจะเอา”
หลินสวินส่ายหน้าทันที ก่อนหมุนตัวเดินออกไปอย่างเศร้าหมอง
จักรพรรดินีมองหลินสวินจนลับตาไป มุมปากยกขึ้นในองศาที่ดูแปลกประหลาด นางเพิ่งจะเคยเจอเด็กที่ทำตามอำเภอใจและใจกล้าเหมือนหลินสวินเป็นครั้งแรก
ในนครต้องห้ามนี้ใครกล้าขอรางวัลต่อหน้าตนบ้าง
เด็กคนนี้ถือเป็นคนแรก
ต่อมาจักรพรรดินีราวกับฉุกคิดบางอย่างขึ้นได้ พลันขมวดคิ้วอย่างอดไม่อยู่ เด็กคนนี้ทำอะไรโจ่งแจ้งขนาดนี้ หรือจนตอนนี้เขายังไม่รู้ความจริงของเหตุการณ์นองเลือดเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว?
——
[1] เปิ่นจั้ว คำเรียกแทนตัวเองของผู้สูงศักดิ์