Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 441 จากไปพร้อมความชิงชัง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 441 จากไปพร้อมความชิงชัง
มีเพียงการต่อสู้เท่านั้น จึงจะสามารถปลดปล่อยพลังที่ราวกับภูเขาไฟปะทุในร่างออกมาได้
นั่นไม่ใช่เพียงแค่พลังที่มาจากลูกกลอนวิญญาณที่จักรพรรดินีให้มาเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานอันยิ่งใหญ่ที่หลินสวินสั่งสมจากการฝึกปราณมาจนถึงวันนี้!
ถ้าอยากควบคุมพวกมันได้อย่างสมบูรณ์ ก็จำต้องมีวิธีควบคุมที่เหมาะสม
ดังนั้นชีพจรปราณวิญญาณเส้นใหม่เอี่ยมที่ปรากฏขึ้นในจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจ จึงกลายเป็นโอกาสเดียวที่หลินสวินจะควบคุมทั้งหมดนี้ได้
สิ่งที่น่าทึ่งที่สุดคือ ในระหว่างการต่อสู้ ทุกครั้งที่เสียเปรียบและถูกกดดัน ก็ราวกับเป็นการหล่อหลอมและขัดเกลาอย่างหนึ่ง ทำให้ชีพจรวิญญาณเลือนรางราวกับมายาเส้นนั้นเปลี่ยนเป็นหลอมรวมและสมจริงมากขึ้นเรื่อยๆ!
ดังนั้นแม้จะเผชิญหน้ากับแรงกดดันจากยอดฝีมือระดับหยั่งสัจจะอย่างนักพรตสยง หลินสวินก็ไม่กลัวแม้แต่น้อย
ตรงกันข้าม เขาถือว่าศึกนี้เป็นการฝึกสนามหนึ่ง ส่วนนักพรตสยงก็เป็นเสมือนหินลับมีดของเขา
ชิ้ง!
นักพรตสยงเดือดดาลอย่างถึงที่สุด ดาบจันทร์เสี้ยวทองฟาดฟันอย่างดุร้าย ทุกครั้งที่ปะทะกันล้วนเกิดเสียงกึกก้องดังสนั่นไปทั่วฟ้าดิน
หลินสวินยิ่งตกเป็นรองยิ่งห้าวหาญ ยิ่งสู้ก็ยิ่งแข็งแกร่ง ทำให้เขาทั้งตะลึงและเดือดดาล ยิ่งไปกว่านั้นคือทำให้เขาขายหน้า เป็นถึงผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะ แต่กลับสู้เด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณไม่ได้ เป็นความอับอายอย่างที่สุด
นักพรตสยงไม่รู้ว่า เมื่อไม่นานนี้เฉียนไหวซึ่งเป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะก็คิดเช่นนี้ เพียงแต่ภายหลังเฉียนไหวได้สิ้นชีพภายใต้การโจมตีของไข่มุกสะเทือนสวรรค์
แต่ยามนี้แม้หลินสวินจะไม่มีไข่มุกสะเทือนสวรรค์ให้ใช้แล้ว แต่พลังในกายเขาก็พลุ่งพล่านราวกับภูเขาไฟระเบิด อานุภาพเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักพรตสยงไม่สามารถฆ่าเขาได้ในทันที
ซ่า~
ทันใดนั้นนักพรตสยงพลันส่งเสียงคำราม ดาบจันทร์เสี้ยวเปล่งแสงทองนับหมื่น ส่องสว่างไปทั่วทุกที่ ราวกับพระอาทิตย์ดวงใหญ่ที่ค่อยๆ ปีนป่ายขึ้นสู่ผืนฟ้ายามราตรี
ฉึก!
ดาบจันทร์เสี้ยวแผ่แสงสีทองพาดขวางกลางฟ้า เฉียดผ่านศีรษะหลินสวินและตัดผมออกไปกระจุกหนึ่ง ก่อนจะตัดภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจนขาด
ทุกคนตื่นกลัว เห็นได้ชัดว่านักพรตสยงใช้กระบวนท่าพิฆาตแล้ว อานุภาพนั้นเรียกได้ว่าท่วมฟ้า!
ในขณะเดียวกันลมหมัดของหลินสวินก็ราวกับบันดาลโทสะ หลอมรวมกระบวนท่าทลายภูผา ทลายสมุทรและทลายวิญญาณเข้าเป็นหนึ่งเดียวกัน และปล่อยออกมาพร้อมเสียงดังสนั่น
ตูม!
พลังหมัดปะทะกับดาบทอง เกิดเสียงดังกึกก้องสะเทือนฟ้า ราวกับเทพแห่งสายฟ้ากำลังลั่นกลอง สะเทือนจนผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ที่อยู่ห่างออกไปขวัญหนีดีฝ่อ
อานุภาพของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ยิ่งใหญ่อย่างที่สุด แต่ละกระบวนท่าสามารถผสานทับซ้อนกันได้ พลังที่ปล่อยออกมาก็เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นกัน
ถ้าเป็นเมื่อก่อน หลินสวินสามารถผสานได้เพียงสองกระบวนท่าเท่านั้น
แต่ตอนนี้ด้วยพลังที่พรั่งพรูขึ้น รวมทั้งพลังรอบกายที่เปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เขาสามารถผสานสามกระบวนท่าแล้วสำแดงออกมาพร้อมกันได้อย่างง่ายดายแล้ว!
เหมือนกับหมัดที่ปล่อยออกไปเมื่อครู่นี้ ก็เป็นหมัดที่รวมพลังของสามกระบวนท่าหลักเอาไว้!
ตูม! ตูม! ตูม!
ในการต่อสู้หลังจากนั้น หลินสวินได้ใช้เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์จนถึงขีดสุด สำแดงกระบวนท่าผสานทุกท่าไล่เรียงกันตามลำดับ
กระบวนท่าทลายภูผาสมุทรวิญญาณ กระบวนท่าทลายสมุทรวิญญาณอากาศ กระบวนท่าทลายวิญญาณอากาศมังกร กระบวนท่าทลายอากาศมังกรปักษาเพลิง…
รวบรวมและผสมผสานเป็นหมัดเดียวอย่างต่อเนื่อง พลังที่แสดงออกมาก็น่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด
แม้ว่าหลินสวินยังคงถูกการโจมตีของนักพรตสยงกดดันจนสะเทือนเซถอยทุกครั้ง ทว่าไม่เพียงแค่คู่ต่อสู่ แต่ทุกคนต่างดูออกว่า พลังที่แข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องของหลินสวินยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่เคยลดลงหรือหยุดเลย!
“น่ากลัวเกินไปแล้ว เด็กหนุ่มคนนี้มีที่มาอย่างไรกัน เหตุใดจึงแข็งแกร่งพลิกฟ้าเพียงนี้ พลังต่อสู้ของเขาเปลี่ยนเป็นดุดันรุนแรงเกินไปแล้ว!”
“เหตุใดจึงรู้สึกว่าภายในร่างของเขาราวกับมีคลังสมบัติ สามารถทำให้เขายิ่งสู้ก็ยิ่งห้าวหาญ?””
ทุกคนต่างวิพากษ์วิจารณ์ อกสั่นขวัญแขวน
ระดับหยั่งสัจจะแทบจะสามารถกวาดล้างยอดฝีมือระดับมหาสมุทรวิญาณทุกคนที่ขวางหน้าได้ พวกเขาครอบครองพลังแห่งสัจจะมหามรรค มีพลังควบคุมฟ้าดิน อานุภาพท่วมท้น
ทว่ายามนี้กลับมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งต่อสู้ข้ามระดับ แม้จะบาดเจ็บแต่ไม่เคยถูกสยบลงได้ แบบนี้ไม่เรียกว่าพลิกฟ้าแล้วจะเรียกว่าอะไร
ภายในสนามรบ นักพรตสยงยิ่งตื่นตะลึง เขาฝึกปราณมานับพันปี อีกทั้งร่างเดิมยังเป็นผู้ฝึกปราณเผ่าอสูร มีพลังแห่งเส้นปราณโลหิตอันแข็งแกร่ง แต่ตอนนี้กลับทำอะไรเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณไม่ได้เสียที นี่เป็นเรื่องที่ฟังแล้วน่าตะลึงมาก
อีกทั้งเขายังสังเกตเห็นว่าพลังของหลินสวินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แม้ยังไม่ถึงขั้นคุกคามเขา แต่แนวโน้มที่แข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นี้กลับทำให้เขาใจสะท้าน!
ตูม!
เกิดการปะทะอีกครั้ง นักพรตสยงส่งเสียงคำราม ตัดสินใจใช้ท่าไม้ตาย ฆ่าหลินสวินให้ตายในคราวเดียว
พลันเห็นรอบตัวเขาราวกับมีเงาหมีทองปรากฏขึ้นอย่างเลือนราง แสงสมบัติวิญญาณพลุ่งพล่าน ดาบทองฟาดฟันลงไป!
พริบตานั้นทุกคนรู้สึกเพียงแสบตา ร่างกายอ่อนยวบ ตกใจราวกับร่วงสู่โพรงน้ำแข็ง น่าสะพรึงกลัวเกินไปแล้ว การโจมตีนี้ราวกับสามารถตัดทำลายวิญญาณได้เลย!
ยามนี้หลินสวินเองก็สู้มาจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าลุกไหม้แล้ว ซึ่งแตกต่างจากที่ผ่านมา เพราะชีพจรวิญญาณเส้นใหม่บนจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจส่องประกาย ก่อให้เกิดพลังคลุ้มคลั่งเผด็จการ ทำให้พลังทั่วร่างของเขาเดือดพล่าน
ฆ่า!
แรงหมัดประหนึ่งกราดเกรี้ยว อากาศทรุดตัวลงทุกขณะ
เพียงการโจมตีเดียวก็สามารถผสานกระบวนท่าทลายอากาศ ทลายอเวจี ทลายสวรรค์และทลายจักรวาล สี่กระบวนท่าเอาไว้ด้วยกัน
เมื่อสำแดงพลังออกมาก็มีอานุภาพปานแผดเผาสรรพสิ่ง โหมกระหน่ำจักรวาล ทำให้แม้แต่ฟ้าดินยังเปลี่ยนสี
ครืน~~
เสียงปะทะดังกึกก้องไปทั่วหล้า ในรัศมีหลายพันจั้งนี้ ทุกอย่างแหลกละเอียดกลายเป็นฝุ่นผง อากาศแตกกระจาย เต็มไปด้วยหายนะอันน่าตกใจ!
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ห่างออกมาต่างรับรู้ได้ถึงความอันตรายตั้งนานแล้ว จึงหลบไปไกลอย่างตระหนก แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ตอนที่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นพวกเขาก็ยังตื่นกลัวจนหัวใจสะเทือน สีหน้าซีดขาว
เสียงฟุ่บดังขึ้น พลันเห็นเงาร่างของหลินสวินทะยานถอยหลังแล้วกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง เศษฝุ่นฟุ้งกระจาย
ส่วนนักพรตสยงเพียงหายใจหอบเล็กน้อย การโจมตีนี้คือท่าไม้ตายของเขา จึงมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าสามารถฆ่าหลินสวินได้
ทั่วทุกที่เงียบสงัด
ราวกับว่าหลินสวินถูกฆ่าไปแล้วจริงๆ
นักพรตสยงใช้พลังจิตวิญญาณกวาดมองไป เพื่อดูให้แน่ใจเป็นครั้งสุดท้าย
ใครจะคิดว่าจังหวะนี้เอง ในหลุมใหญ่ที่ยุบลงจะมีแสงดาบส่องสว่างขึ้น ทะยานขึ้นสู่เบื้องฟ้า!
พร้อมกันนั้นเงาร่างของหลินสวินก็พุ่งออกมา!
“เป็นไปไม่ได้!”
นักพรตสยงคำรามเดือดดาล สีหน้าเปลี่ยนไป ใครจะกล้าจินตนาการว่าขนาดใช้ท่าไม้ตายแล้วยังไม่สามารถฆ่าเด็กนี่ได้
ตูม!
เขาสะบัดมือตบแสงดาบจนแตกกระจายแล้วหันไปมองหลินสวิน
พลันเห็นว่าหลินสวินในตอนนี้เลือดอาบตัว เปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน เผ้าผมยุ่งเหยิง เผยดวงหน้าเรียบเฉยหล่อเหลา
เห็นได้ชัดว่าเขาบาดเจ็บสาหัสแล้ว ร่างกายมีบาดแผลที่ดูสยดสยอง หลายตำแหน่งถึงขั้นมองเห็นกระดูกขาว ดูอนาถอย่างที่สุด
แต่พลังของเขาในตอนนี้กลับแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่ไปอีกหนึ่งระดับ!
เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นราวกับเหวลึกที่เดือดดาล ลมพายุพลุ่งพล่านพวยพุ่งราวกับจะกลืนกินสรรพสิ่ง!
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่อยู่ห่างออกไปตะลึงจนจิตวิญญาณว่างเปล่า ไม่อาจจินตนาการถึงทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ขนาดนี้แล้วยังไม่ตายอีกหรือ เด็กคนนี้เป็นอมตะจริงๆ หรืออย่างไร
“เข้ามาอีก”
สู้กันมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดหลินสวินก็ส่งเสียงออกมาเป็นครั้งแรก คำสั้นๆ เพียงไม่กี่คำ แต่กลับเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งอย่างแท้จริง
ดวงตาดำขลับราวหุบเหว เงาร่างประหนึ่งเหวลึก เขายืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบายๆ อากาศรอบตัวกลับแปรปรวน ราวกับถูกลมพายุล่องหนกดดันจนทรุดทลาย
ชิ้ง!
ดาบวิญญาณม่วงส่งเสียงกระจ่าง เป็นฝ่ายฟันออกไปเอง
ชีพจรวิญญาณเส้นใหม่ในร่างควบรวมได้ครึ่งหนึ่งและเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นแล้ว มันกำลังส่องประกาย เชื่อว่าถ้าสู้กันต่อไปจะต้องผสานตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ และแปรเปลี่ยนเป็นแหล่งกำเนิดของจุดปราณทั้งสี่แห่งเส้นปราณหัวใจ กลายเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวหลินสวินมาตั้งแต่เกิด…หุบเหวกลืนกิน!
ฉะนั้นหลินสวินในตอนนี้จึงต้องการการต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง
“หึ! ข้ามีเรื่องด่วนต้องจัดการ เจอกันคราวหน้าจะเป็นวันตายของเจ้า!”
สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือ นักพรตสยงกลับไม่สู้ต่อ ทิ้งคำพูดร้ายกาจไว้ประโยคหนึ่งแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
คำพูดแม้จะสวยหรู แต่มีเพียงนักพรตสยงที่รู้ว่า ในใจเขาทั้งไม่จำยอมและเคียดแค้นเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้นคือรู้สึกอับอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เป็นฝ่ายลงมือจู่โจมเอง แต่ไม่เพียงไม่สามารถฆ่าเด็กหนุ่มระดับมหาสมุทรวิญญาณให้ตายได้ กลับยังถูกอีกฝ่ายตามพัวพันจนถึงตอนนี้ เท่านี้ก็น่าอับอายมากพอแล้ว
ทว่านักพรตสยงยิ่งรู้ดีว่า เขาไม่มีโอกาสจะฆ่าหลินสวินแล้ว เด็กหนุ่มตัวประหลาดปานพลิกฟ้าคนนี้มีพลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระหว่างการต่อสู้ จวบจนถึงตอนนี้ แม้แต่ท่าไม้ตายของเขาก็ยังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ แค่คิดก็รู้ว่าแม้จะสู้กันต่อไปก็ไม่มีความหมาย
สิ่งที่นักพรตสยงเป็นห่วงที่สุดคือ ถ้าสู้กันจนถึงที่สุดแล้วพลังของหลินสวินยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีความเป็นไปได้สูงมากที่สถานการณ์จะพลิกผัน เริ่มเปลี่ยนมาคุกคามเขาแทน!
หากเป็นเช่นนั้น นั่นก็ถือว่าน่าอับอายอย่างที่สุด
ดังนั้นในท้ายที่สุดนักพรตสยงจึงเลือกจากไป แม้จะไม่จำยอม จนใจ อัดอั้นและอับอาย แต่ก็เป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย
“นี่มัน…”
“นักพรตสยงไปแล้วงั้นหรือ”
“ไม่ไปก็คงไม่ได้แล้ว ไม่เห็นหรือว่าจนถึงตอนนี้เขายังทำอะไรเด็กนั่นไม่ได้เลย ถ้าสู้กันต่อไปสถานการณ์มีแต่จะยิ่งแย่ลง”
“สวรรค์! ถึงขั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะคนหนึ่งต้องล่าถอยไปอย่างจนปัญหา เขา เขา…เขาเป็นผู้สืบทอดของผู้มีอำนาจฝ่ายใดกันแน่”
พอเห็นว่าจู่ๆ นักพรตสยงก็ถอยทัพ เหล่าคนที่อยู่ห่างออกไปต่างตะลึง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหวาดกลัว สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
การต่อสู้อันน่าตระหนกเช่นนี้กลับจบลงแบบนี้ สำหรับนักพรตสยงแล้ว เห็นได้ชัดว่าเป็นความอับอายอย่างไม่ต้องสงสัย
สามารถบีบให้นักพรตสยงจากไปได้ จะเห็นได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นวิปริตเพียงใด!
เขาเป็นใคร
แล้วมีที่มาอย่างไร
มองเด็กหนุ่มที่ยืนถือดาบอยู่กลางอากาศ เลือดอาบตัว เผ้าผมยุ่งเหยิงแล้ว เหล่าผู้แข็งแกร่งต่างตื่นตะลึง ผ่านไปนานก็ยังยากจะสงบลงได้
และด้านหลังกลุ่มคนกลับมีเสียงฮือฮาดังขึ้น
“เหวยจวิ้น นี่ก็คือ…เป้าหมายที่เจ้าจะตามฆ่าหรือ แบบนี้เจ้าให้พวกเราไปตายชัดๆ หึ ข้าไม่เอาด้วยหรอก ลาก่อน”
“ศิษย์น้องเหวยจวิ้น เอาลูกกลอนเสวียนจีทะลุสวรรค์และผลึกวิญญาณระดับสูงหนึ่งร้อยเม็ดมาแลกกับการให้พวกเราไปฆ่าคนวิปริตแบบนั้นงั้นหรือ เจ้าทำเกินไปจริงๆ”
หนุ่มสาวหลายคนเผยความไม่พอใจ สีหน้าอึมครึม ทยอยสะบัดแขนเสื้อจากไป
พวกเขาเป็นลูกศิษย์สำนักหลอมไฟและต่างถูกการต่อสู้อันดุเดือดนี้ดึงดูดเข้ามา เมื่อรู้ว่าเด็กหนุ่มที่กำลังสู้กับนักพรตสยงคือเป้าหมายที่เหวยจวิ้นส่งสารให้ไล่สังหาร สีหน้าของพวกเขาแต่ละคนต่างเปลี่ยนไปทันที โกรธเกรี้ยวอย่างที่สุด
คนที่สามารถสู้กับผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะได้เช่นนี้ ใช่คนที่พวกเขาจะต่อกรได้ซะที่ไหน
เหวยจวิ้นคนนี้คิดจะขุดหลุมฝังพวกเขาชัดๆ!
หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความสัมพันธ์ในสำนักหลอมไฟ พวกเขาคงแตกหักกับเหวยจวิ้นไปนานแล้ว
ไม่นานก็เหลือเพียงหญิงกระโปรงม่วงกับเหวยจวิ้น
สีหน้าของทั้งสองดูแย่อย่างที่สุด โดยเฉพาะเหวยจวิ้น ใบหน้าอันหล่อเหลาบิดเบี้ยว หน้าเขียวดุร้าย
เมื่อครู่เขาเองก็ตะลึงกับพลังการต่อสู้อันพลิกฟ้าที่หลินสวินสำแดงออกมา แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เขามั่นใจว่า เฉียนไหวต้องตายด้วยน้ำมือหลินสวินเป็นแน่!
การที่บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างถอยทัพ เหวยจวิ้นเข้าใจได้ แต่เขากลับไม่อาจยอมรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้!
………………..