Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 443 การรวมตัวของเหล่าผู้กล้า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 443 การรวมตัวของเหล่าผู้กล้า
โลหิตข้นคลั่กย้อมท้องฟ้าเป็นสีแดง!
ปรากฏการณ์ประหลาดนั่นกว้างใหญ่เกินไปจนหลินสวินอดหัวใจเต้นแรงไม่ได้
“โลหิตโบราณสะท้อนฟ้า นี่เป็นสัญญาณว่าเส้นทางสู่แหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นกำลังจะเปิดออก!”
หญิงกระโปรงม่วงตะลึง สายตาเผยแววแปลกประหลาด
“แหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นหรือ?”
หลินสวินถามอย่างหาได้ยาก ทำให้หญิงกระโปรงม่วงอดตะลึงไม่ได้ พลันรีบอธิบาย
“ในนั้นจะมีสมบัติโบราณมากมาย…”
หลินสวินเองก็อดหวั่นไหวไม่ได้ สมบัติที่หลงเหลือจากยุคโบราณ ถูกกัดกร่อนจากสายธารแห่งกาลเวลามายาวนานแต่ไม่ถูกทำลาย แค่คิดก็รู้ว่าจะมีพลังแข็งแกร่งเพียงใด
“ใช่แล้ว ว่ากันว่าซากแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นเป็นหนึ่งในดินแดนต้องห้ามที่สำคัญที่สุดในภูเขาราหู ทุกครั้งที่เปิดออก จะดึงดูดผู้กล้าชั้นยอดมากมายมาแสวงหาโชควาสนา”
อาจเพราะต้องการรักษาชีวิต หญิงกระโปรงม่วงจึงให้ความร่วมมืออย่างมาก “สิ่งที่พิเศษที่สุดคือทางเดินนั้นถูกปกคลุมด้วยข้อจำกัดโบราณอันลึกลับ มีเพียงผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้อย่างปลอดภัย หากพลังสูงเกินไปก็จะถูกสะท้อนกลับ”
“แต่ในขณะเดียวกัน หากพลังอ่อนแอเกินไป ก็ไม่สามารถอยู่รอดในแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นได้ แม้ที่นั่นมีโชควาสนา แต่ก็มาพร้อมกับอันตรายและการสังหารอันน่ากลัว”
พูดถึงตรงนี้หญิงกระโปรงม่วงก็เตือนอย่างตั้งใจ “เพราะฉะนั้นผู้ที่จะเข้าไปไขว่คว้าวาสนาในแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น จึงล้วนเป็นผู้เก่งกาจชั้นยอดในระดับมหาสมุทรวิญญาณ”
ไม่เตือนยังพอว่า แต่พอเตือนแบบนี้หลินสวินก็ตาเป็นประกายขึ้นมา ตอนนี้เขาปรารถนาการต่อสู้ที่สุด หากได้เจอคู่ต่อสู้ที่เก่งกาจย่อมเป็นเรื่องที่ดีมาก
ทันใดนั้นหลินสวินจึงตัดสินใจว่าจะมุ่งหน้าไปแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่น ไม่เพียงเพื่อแสวงหาวาสนาเท่านั้น สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าคือใช้โอกาสนี้ก่อรวมชีพจรวิญญาณเส้นใหม่!
หญิงกระโปรงม่วงคิดไม่ถึงเลยว่า การเตือนของตนไม่เพียงไม่สามารถทำให้หลินสวินถอยทัพได้ แต่กลับตัดสินใจมุ่งหน้าเข้าไป
นางอดตกใจไม่ได้ เอ่ยว่า “พวกคนที่สามารถเข้าไปในแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นล้วนไม่ธรรมดา ต่างมาจากสำนักโบราณของแดนวิญญาณโบราณทั้งสิ้น คนที่ความสามารถไม่ถึง ไปแล้วก็มีแต่จะโดนฆ่า”
หลินสวินเหลือบมองนาง “เจ้ากลัวหรือ?”
สีหน้าของหญิงกระโปรงม่วงเปลี่ยนไปเล็กน้อย พูดอย่างขมขื่น “กลัวสิ ที่แบบนั้นมิใช่ที่ที่คนอย่างข้าจะกล้าเข้าไป”
พูดถึงตรงนี้ คล้ายต้องการยืนยันว่าตัวเองไม่ได้ขี้ขลาด นางจึงพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ไม่เพียงเท่านี้ ผู้สืบทอดของสำนักโบราณเหล่านั้นล้วนมีข้ารับใช้ที่มีพลังปราณระดับหยั่งสัจจะคอยติดตาม ในสถานการณ์แบบนี้ คนอื่นๆ ไม่มีสิทธิ์แข่งกับพวกเขาด้วยซ้ำ”
หลินสวินขมวดคิ้ว “ไหนบอกว่ามีเพียงผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณเท่านั้นที่เข้าไปได้อย่างปลอดภัย”
หญิงกระโปรงม่วงพยักหน้า “ใช่ แต่สำนักโบราณเหล่านั้นกลับครอบครองวิชาลับที่สามารถกดพลังปราณของระดับหยั่งสัจจะเหล่านั้น ปะปนเข้าไปด้วยพลังของระดับมหาสมุทรวิญญาณ!”
“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้”
หลินสวินพึมพำ ถัดมาเขาพลันหรี่ตามองหญิงกระโปรงม่วงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “ตอบคำถามข้าไม่กี่ข้อ แล้วข้าจะปล่อยเจ้าไปทันที”
หญิงกระโปรงม่วงหัวใจสะท้าน คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มที่ดุร้ายราวปีศาจคนนี้จะใจอ่อนเป็นด้วย
นางถึงขั้นรู้สึกสงสัยว่า หลินสวินกำลังทดสอบตนหรือเปล่า
แต่ไม่นานนางก็ได้รู้ว่าตนคิดมากเกินไป หลังจากถามคำถามไม่กี่ข้อ หลินสวินก็หมุนตัวจากไปโดยไม่เคยคิดสังหารตนเลย
หญิงกระโปรงม่วงอึ้งค้างอยู่กับที่ ทั้งแปลกใจ ดีใจและงุนงง
ปล่อยตนง่ายๆ แบบนี้เลยหรือ
หญิงกระโปรงม่วงนึกถึงสิ่งที่ประสบตลอดสิบวันที่ผ่านมาแล้วรู้สึกเหมือนฝันไป
สิ่งที่ทำให้นางไม่อยากจะเชื่อคือ คำถามที่หลินสวินถามเมื่อครู่นี้ง่ายมากเกินไป อย่างเช่นรูปแบบพลังในแดนวิญญาณโบราณ ที่มาของเทือกเขาราหู… คำถามเหล่านี้ไม่ใช่ความลับอะไรเลย
“หรือว่าเขา…มาจากดินแดนภายนอก ไม่ใช่คนในแดนวิญญาณโบราณ?”
ทันใดนั้นหญิงกระโปรงม่วงพลันตระหนักบางอย่างขึ้นได้ ในใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง
นางนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้หลินสวินถามเกี่ยวกับ ‘ดินแดนรกร้างโบราณ’ อยู่หลายข้อ และแดนวิญญาณโบราณแห่งนี้ก็เป็นจุดเชื่อมต่อหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณ!
……
ฟุ่บ!
กลางอากาศ เงาร่างของหลินสวินแวบไปท่ามกลางเมฆหมอก
เหรินเมี่ยวเมี่ยวคือชื่อของหญิงกระโปรงม่วงคนนี้ นางมาจากสำนักหลอมไฟแห่งแดนวิญญาณโบราณ เป็นศิษย์ร่วมสำนักกับเหวยจวิ้นที่หนีหัวซุกหัวซุนไป
หลินสวินได้เบาะแสที่สำคัญยิ่งจากปากนาง นั่นก็คือแดนวิญญาณโบราณที่เขามาในครั้งนี้ เป็นดินแดนหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ!
นี่มันเหลือเชื่อมากเกินไปแล้ว ด่านทดสอบที่สี่ของห้องโถงมรรคาสวรรค์ ‘อาณาเขตเดินทาง’ ได้ส่งตัวเขามายังแดนวิญญาณโบราณแห่งนี้ หรือว่าการดำรงอยู่ของห้องโถงมรรคาสวรรค์จะเกี่ยวข้องกับดินแดนรกร้างโบราณด้วย?
ถึงขั้นที่มองจากมุมนี้ ในเมื่อแดนวิญญาณโบราณเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนรกร้างโบราณ ถ้าอย่างนั้นจักรวรรดิจื่อเย่าจะเป็นหนึ่งในดินแดนของดินแดนรกร้างโบราณด้วยหรือไม่?
คำถามมากมายผุดขึ้นในหัวหลินสวิน
ไม่ว่าคำตอบจะเป็นเช่นใด แต่ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้หลินสวินได้เปิดโลกทัศน์ ราวกับได้เห็นโลกใบใหม่ ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่สายตาของเขายึดติดเพียงแต่จักรวรรดิจื่อเย่า
นี่ถือเป็นประสบการณ์ การมองฟ้าจากก้นบ่อน้ำ ไม่รู้ว่าโลกนี้กว้างใหญ่เพียงใดเป็นเรื่องที่น่าสลดใจ
ความโชคดีของหลินสวินคือ การบังเอิญเข้ามาในแดนวิญญาณโบราณ ทำให้เขาแตกต่างไปจากตอนอยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่า ทั้งสายตาและประสบการณ์ล้วนก้าวข้ามขอบเขตตอนที่อยู่ในจักรวรรดิจื่อเย่าไปแล้ว
ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดตอนงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาสามร้อยปีของจักรพรรดินี ไป๋หลิงซีจึงยืนกรานว่าจะไปดินแดนรกร้างโบราณ
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อฝึกปราณ เพื่อไปเห็นโลกแห่งการฝึกปราณที่กว้างใหญ่กว่าเดิม!
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
หลินสวินพลันตื่นจากภวังค์ รับรู้ได้ว่าในบริเวณอันไกลโพ้นมีลำแสงมากมายปรากฏ งดงามดึงดูดสายตา และกำลังพุ่งมาทางนี้
นั่นเป็นกลุ่มผู้ฝึกปราณ มีทั้งชายทั้งหญิง และต่างยังหนุ่มสาว มีพลังกล้าแกร่ง รอบตัวมีผู้คุ้มกันและคนรับใช้ติดตามอย่างเกรียงไกร
“เหอะ พวกเจ้าดูสิ เด็กนั่นเสื้อผ้าเปรอะเปื้อนมอมแมม แผลเต็มตัว ดูน่าสงสารมาก เหมือนเพิ่งถูกสัตว์อสูรรุมมาอย่างไรอย่างนั้น เขาก็จะไปแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นด้วยหรือ”
ชายชุดคลุมสีทองหัวเราะเยาะตอนที่เห็นหลินสวิน
“ฮ่าๆๆ พวกคนไม่รู้ที่ต่ำที่สูงแบบนี้มีเยอะมาก แต่ละคนต่างคิดว่าวาสนาในเทือกเขาราหูมีมากนับไมถ้วน จึงหวังจะได้รับวาสนาที่นี่เพื่อประสบความสำเร็จ เสียดายที่พวกเขาไม่เคยคิดว่า พวกที่ความสามารถยังไม่ถึงอย่างพวกเขา มาก็เหมือนรนหาที่ตาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจะได้รับโชควาสนาอะไร”
ชายหนุ่มชุดฟ้าอีกคนเงยหน้าหัวเราะลั่น
“ศิษย์พี่เหวินพูดถูก คำว่าวาสนานี้ก็ต้องแลกด้วยชีวิต”
ชายหญิงคนอื่นๆ ต่างเสริม
‘ศิษย์พี่เหวิน’ ยิ่งย่ามใจ สะบัดมือพูด “ทุกท่าน เราเร่งเดินทางกันเถิด ข้าได้ยินมาว่า คราวนี้นอกจากคนในสำนักยอดกระบี่บูรพาของเราแล้ว ยังมีคู่แข่งที่เก่งกาจจากสำนักอื่นๆ อีกจำนวนไม่น้อย เราต้องเตรียมตัวให้พร้อม”
ตอนที่คุยกัน กลุ่มของพวกเขาทะยานผ่านกลางอากาศ ไม่เห็นหลินสวินอยู่ในสายตาตั้งแต่ต้นจนจบ ทั้งยังวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไม่เกรงใจ ดูเย่อหยิ่งอย่างที่สุด
‘อย่าให้ข้าเห็นพวกเจ้าที่แหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นล่ะ!’
หลินสวินหัวเราะเย็นเยียบในใจ ยามนี้เขากำลังคลั่งการต่อสู้ กำลังกลัวว่าจะไม่มีคู่ต่อสู้ อยากจะกระโดดออกไปฝึกปรือกับพวกไม่ดูตาม้าตาเรือพวกนั้นแทบไม่ไหวแล้ว
พอออกเดินทางอีกครั้ง สีเลือดที่ปรากฏบนฟากฟ้าเข้มขึ้นเรื่อยๆ น่าสะพรึงกลัวประหนึ่งปีศาจ และยอดฝีมือที่เจอระหว่างทางก็มากขึ้นเรื่อยๆ และครึกครื้นขึ้นเรื่อยๆ
ตอนที่ใกล้จะถึงบริเวณที่เกิดแสงเลือดนั้น พลันเห็นลำแสงแพรวพราวพาดผ่านท้องฟ้า ตัดสลับไปมาแน่นขนัด เหินทะยานโคจรอยู่ตรงนั้น เป็นเหล่าผู้กล้าแห่งยุคที่เริ่มปรากฏเป็นกลุ่มๆ
ตอนที่ไปถึง หลินสวินไม่จำเป็นต้องตามหาทาง เพียงตามลำแสงพวกนั้นไปก็พอแล้ว
สุดท้ายพวกเขาก็มาถึงที่พื้นที่รกร้างแห่งหนึ่ง
ที่นี่ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า ทุกอย่างแห้งเหี่ยว ราวกับเป็นเพียงที่ราบว่างเปล่า
แต่กลิ่นอายของที่นี่กลับน่าสะพรึงกลัวอย่างที่สุด พื้นดินเป็นสีแดงราวกับถูกเลือดสดๆ ท่วมทับ แผ่กลิ่นอายดุดันชวนขนลุก
เห็นได้ชัดว่าแสงเลือดที่ปรากฏบนฟ้าล้วนมาจากที่นี่!
หลังจากลำแสงมากมายมาถึงที่นี่ก็เริ่มระมัดระวังมากขึ้น
ใจกลางที่ราบสีเลือดที่ไม่มีแม้แต่ต้นไม้ใบหญ้า มีเสาหินสีเลือดพันจั้งตั้งตระหง่านอยู่ มันบุบสลายไม่เหลือสภาพนานแล้ว พื้นผิวประทับด้วยร่องรอยแห่งกาลเวลา
ยามนี้มีแสงเลือดหมุนวนออกมาจากเสาหิน ปกคลุมไปทั่วฟ้าดินแห่งนี้ ราวกับเป็นแดนนรกสีเลือด ดูน่ากลัวมากเป็นพิเศษ
หลังจากผู้ฝึกปราณมากมายมาถึงที่นี่ ต่างยืนอยู่ห่างๆ ไม่กล้าเข้าใกล้เสาสีเลือดนั่น ราวกับกลัวว่าจะเปื้อนประกายเลือด
ใบหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความระแวง คาดหวังและตื่นเต้น ต่างยืนรออยู่อย่างนั้น
เพราะพวกเขารู้ว่า อีกไม่นานจะมีเส้นทางเปิดออกจากกลางเสาหินที่มีแสงสีเลือดแผ่กระจาย!
และเส้นทางนั้น ก็เป็นเส้นทางเดียวที่สามารถไปยังแหล่งโลหิตสมบัติร่วงหล่นได้!
จำนวนผู้ฝึกปราณที่มารอที่นี่เยอะเกินไป ทั้งยังมีลำแสงสายแล้วสายเล่าเข้ามาไม่หยุด จนแทบจะแออัดกันเต็มพื้นที่แห่งนี้แล้ว
ตอนที่หลินสวินไปถึงก็อดหรี่ตาไม่ได้ ในนั้นเต็มไปด้วยผู้สืบทอดจากสำนักโบราณมากมาย มีทั้งศิษย์จากสำนักใหญ่ๆ ยิ่งไปกว่านั้นคือมีผู้ฝึกปราณสายอสูรและผู้อาวุโสที่ไม่รู้บรรลุสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณมานานเท่าไหร่แล้วอีกมากมาย
แน่นอนว่าคนที่ดึงดูดสายตาที่สุดก็คือผู้สืบทอดจากสำนักโบราณที่ปรากฏตัวกันเป็นกลุ่มก้อน แต่ละคนรูปงามบุคลิกโดดเด่น ดูก็รู้ว่าต้องเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นผู้กล้าชั้นยอดอย่างไม่ต้องสงสัย!
ข้างกายพวกเขามีข้ารับใช้และผู้คุ้มกันมากมาย อำนาจระดับนี้ไม่ใช่สิ่งที่ลูกศิษย์สำนักทั่วๆ ไปจะสู้ได้
เมื่อหลินสวินมาถึงก็ถูกหลายคนชี้นิ้ววิพากษ์วิจารณ์เช่นกัน คนอื่นๆ ต่างสวมเสื้อเกาะวาววับ อยู่กันเป็นกลุ่มเป็นก้อน แต่เขายังคงเสื้อเปื้อนเลือดมอมแมม หัวเดียวกระเทียมลีบ ทั้งยังมีแผลกระบี่เต็มตัว ดูแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
“เฮ้ เจ้าหนูนี่สภาพน่าเวทนานัก ไม่รู้ว่าเป็นพวกปราณแตกซ่านโผล่มากจากรูไหน”
“ดูเหมือนเขาเพิ่งผ่านศึกหนักมา ยามนี้ร่างกายบาดเจ็บ แต่ไม่ยอมตัดใจยังจะมาคว้าโชควาสนา กล้าดีจริงๆ”
ไม่ว่าหลินสวินเดินไปถึงไหน ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นานา ทำให้เขาขมวดคิ้ว เดินหน้าไปเพียงลำพัง หลีกหนีจากกลุ่มคน และมาหยุดอยู่บริเวณใกล้ๆ เสาหินแสงเลือด
ทว่าไม่นานก็ไม่มีใครสนใจหลินสวินอีก ต่างถูกเสียงอุทานด้วยความตะลึงเสียงหนึ่งดึงดูดความสนใจ
“ดูนั่น ผู้สืบทอดจากเขาเมฆาสวรรค์ก็มาด้วย!”
พร้อมกับเสียงอุทานด้วยความตะลึงนั้น กลางอากาศในบริเวณที่ห่างออกไป ท้องฟ้าแปรปรวน กลิ่นหอมอบอวลคละคลุ้ง สายรุ้งศักดิ์สิทธิ์ราวกับภาพฝันก็ปรากฏขึ้น
บนสายรุ้งศักดิ์สิทธิ์มีชายหญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่อย่างสง่า แผ่กระจายกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ราวกับเซียนมาโปรดไม่มีผิด
………………