Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 479 เล็งกระดานทองคำ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 479 เล็งกระดานทองคำ
ยังมีใครอีกหรือไม่?
ประโยคนี้ของหลินสวินไม่ได้มีความทรงพลังเลยสักนิด เห็นชัดว่าพูดขอไปที เบาหวิวอย่างมาก
ทว่าก็เพราะท่าทีที่เผยออกมาอย่างไม่ใส่ใจนี้นี่เอง ทำให้ศิษย์จากสาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นต่างมีโทสะยิ่ง โอหัง โอหังมากเกินไปแล้ว!
แต่แม้ในใจจะเดือดดาล แต่ชั่วขณะนั้นไม่มีใครกล้าเหยียบย่างลงไปบนลานแสดงยุทธ์เพื่อประลองกับหลินสวินเลย
พวกเขาต่างกระจ่างแจ้งกันหมดแล้ว เหตุที่หลินสวินโอหังเช่นนี้หาใช่ความอวดดีไม่ แต่เพราะพลังที่แท้จริงนั้นไม่อาจดูเบาได้เลย
ความพ่ายแพ้ของสืออวิ๋นเผิง เซวียอวิ้น และจินจู๋หลิวก่อนหน้านี้ได้พิสูจน์ข้อนี้ไปแล้ว
ในเวลานี้หากใครดูถูกหลินสวินอีก เช่นนั้นคงเป็นเจ้าทึ่มอย่างแน่นอน
และมีผู้คนจำนวนมากที่ตกใจ พวกสืออวิ๋นเผิงสามคนนั้นเป็นถึงกลุ่มคนชั้นแนวหน้าในสาขายุทธ์วิถี จัดอยู่อันดับต้นๆ บนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ชื่อเสียงเกรียงไกร
แม้แต่พวกเขายังไม่ใช่คู่มือของหลินสวิน แค่คิดก็รู้แล้วว่าพลังปราณของหลินสวินในยามนี้แข็งแกร่งแค่ไหน หากไม่ส่งบุคคลไร้เทียมทานออกไป คงเป็นการยากที่จะสยบเขาได้
ฉือฉางเหมย ฮวาอู๋โยวและคนอื่นๆ ที่เคยมีความแค้นต่อหลินสวินบัดนี้ในใจค่อนข้างซับซ้อน เพียงสองเดือนเท่านั้น หลินสวินดุจดั่งถอดกระดูกเกิดใหม่ เปลี่ยนไปจนยากหยั่งถึงมากขึ้นเรื่อยๆ
พวกเขายังจำได้ แรกเริ่มในงานเลี้ยงฉลองพระชนมพรรษาจักรพรรดินี ตอนที่หลินสวินเอาชนะหลิงเทียนโหวนั้น เพิ่งจะมีพลังปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นกลางเท่านั้น
แต่หลินสวินในปัจจุบันกลับยืนอยู่ในจุดสูงสุดของระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อย!
“เฮ้อ บทละครแสร้งเป็นหมูหลอกกินเสือถูกคนมองออกแล้ว คราวนี้พวกโง่ต่างรู้ว่าไม่ควรกระโดดลงไปในหลุมแล้ว”
สืออวี่ที่อยู่ห่างออกไปทอดถอนใจ
หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี กงหมิงต่างก็เชื่อเช่นนั้น อีกทั้งส่วนลึกภายในใจ พวกเขาล้วนรู้สึกตกตะลึงต่อพลังแท้จริงในปัจจุบันของหลินสวินเช่นเดียวกัน
เจ้าหมอนี่วิปริตขึ้นทุกที ก้าวกระโดดฉับพลันบนวิถีฝึกตน นำหน้าทิ้งห่าง ทำให้พวกเขาต่างมีความรู้สึกยากจะไล่ตามได้ทันอย่างหนึ่ง
กลางลานแสดงยุทธ์ หลินสวินมองเห็นทุกอย่างในสายตา อดถอนใจกลางทรวงไม่ได้ รู้ว่าคิดจะล่อคนแบบเมื่อครู่อีกคงเป็นไปไม่ได้แล้ว
ฉับพลันเขามองไปทางหลี่เซียวเฟยที่อยู่ในลาน มุมปากผุดรอยยิ้มขี้เล่นขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นจึงร้องตะโกน “เจ้าอัปลักษณ์ ถึงตาเจ้าแล้ว”
สีหน้าของหลี่เซียวเฟยเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที ส่งเสียงคำราม “หลินสวิน เจ้าหยุดกำเริบเสียที เห็นว่าสาขายุทธ์วิถีของข้าร้างผู้คนจริงๆ หรือ”
หลินสวินมุ่นคิ้วกล่าว “ในเมื่อเป็นแบบนี้ไยไม่ก้าวมาสู้กันสักตั้งเล่า”
“ข้า…”
สีหน้าของหลี่เซียวเฟยไหววูบไม่แน่นอน ถ้าหากเป็นก่อนหน้านี้เขาจะต้องพุ่งทะยานออกไปโดยเร็วเป็นแน่ ทว่าตอนนี้แม้แต่สืออวิ๋นเผิง เซวียอวิ้น จินจู๋หลิวต่างพ่ายแพ้กันหมด เขายังจะอาจหาญประลองกับหลินสวินได้อย่างไรกันเล่า
“ฮ่าๆ นี่หรือคือศิษย์ของสาขายุทธ์วิถี ช่างทำให้คนผิดหวังจริงๆ”
หลินสวินดูหมิ่น
คราวนี้กลายเป็นยั่วโทสะศิษย์ในบริเวณนั้นแล้ว ต่างเริ่มร้องตะโกนสนั่นไม่ขาดสาย
“เจ้าไฝ เจ้าเป็นอะไรไปเล่า แม้แต่ความใจกล้ารับคำท้าประลองยังไม่กล้าหรือ”
“รีบขึ้นไปทำลายเขาซะ! ไม่ได้ยินเขาด่าเจ้าว่าเจ้าอัปลักษณ์รึ”
“ต่อให้แพ้ก็ต้องแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี ไหนเลยจะกลัวจนเลี่ยงศึก”
หลี่เซียวเฟยเกือบจะร้องไห้แล้ว มารดามันเถอะ ให้เข้าไปรับหมัดหรือไร ไม่เห็นหรือว่าเมื่อกี้จินจู๋หลิวถูกต่อยจนร้องหาบิดามารดรและสลบเหมือดไปทั้งอย่างนั้น
“เอาเถิด ในเมื่อเจ้ายอมจำนน ข้าก็จะปล่อยเจ้าไปสักหน”
กลางลานแสดงยุทธ์ หลินสวินถอนใจเสียงแผ่วหนึ่งครา สายตากวาดมองทั่วบริเวณ ศิษย์แต่ละคนที่ถูกเขามองต่างกระวนกระวาย เหมือนกังวลใจว่าจะถูกหลินสวินขานชื่อเชิญต่อสู้อย่างไรอย่างนั้น
สุดท้ายสายตาของหลินสวินไปตกบนร่างของหลันอวี่ชายหนุ่มผมขาว
“ผมขาว คิดว่าเจ้าคงรอจนอดรนทนไม่ไหวแล้วเป็นแน่ มา ตอนนี้จะให้โอกาสเจ้า เข้ามาสู้กับข้าสักครา”
หลินสวินหัวเราะอย่างสดใสยิ่ง
สีหน้าหลันอวี่แปรปรวน เห็นชัดว่าภายในจิตใจกำลังดิ้นรนอย่างหนัก
ตัวเขาก่อนหน้านี้ถูกยั่วโทสะจนแทบอดไม่ไหว อยากลงสนามไปทำลายหลินสวินให้สิ้นซากเป็นคนแรก ทว่าเมื่อได้เห็นการต่อสู้แต่ละศึกเมื่อครู่นี้ ก็ทำให้เขาหวนคืนสู่ความเยือกเย็นตั้งนานแล้ว รู้ว่าหากตนลงออกไปสู้ ท้ายที่สุดเกิดพ่ายแพ้ขึ้นมาก็จะเสียหน้าครั้งใหญ่
ดังนั้นต่อให้ในใจของเขาจะขุ่นข้องอัดอั้น แต่ก็เลิกล้มความคิดด้วยไม่อาจสู้ได้ ไม่อยากปะทะรุนแรงกับหลินสวินในเวลานี้
ทว่าเขาคิดไม่ถึงเลยสักนิด ในช่วงเวลานี้หลินสวินถึงขั้นขานชื่อเขาออกมา!
ผมขาว!
เป็นคำเรียกอันเปี่ยมความอัปยศนี้อีกแล้ว สิ่งนี้ทำให้หลันอวี่โกรธจนแทบคลั่ง
“ทำไม เจ้าก็เหมือนเจ้าไฝ ขวัญหนีแล้วหรือ”
หลินสวินมุ่นคิ้ว
“ในเมื่อเจ้ารนหาที่ตาย ข้าก็จะทำให้เจ้าสมหวัง!”
หลันอวี่บันดาลโทสะอย่างสมบูรณ์ ร้องคำราม หายตัวพุ่งเข้าสู่ลานแสดงยุทธ์ เขาไม่สนสิ่งใดแล้ว หากถอยหนีไปอีก ไม่ต้องรอนาน เขาก็จะกลายเป็นตัวตลกคนหนึ่งในสาขายุทธ์วิถีแน่
ทันใดนั้นทั้งลานพลันส่งเสียงโห่ร้องชื่นชม
หลันอวี่เป็นบุคคลน่าทึ่งห้าอันดับแรกแห่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ บัดนี้ได้ลงสนามไปพร้อมโทสะ จะต้องสำแดงการต่อสู้อันยอดเยี่ยมแน่!
เพียงแต่ที่ต่างไปจากเมื่อครู่ คือในฝูงชนมีคนจำนวนไม่น้อยที่ออกจะกังวลใจ หากหลันอวี่ก็พ่ายแพ้เหมือนกัน เช่นนั้นจะต้องทำอย่างไรดี
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงเห็นดังนี้ก็หัวเราะหึๆๆ ขึ้นมาอีกครั้ง แววตานั้นราวกับมองดูหมูตัวหนึ่งออกจากคอก อีกประเดี๋ยวก็จะถูกเชือดทิ้ง
บนลานแสดงยุทธ์ การต่อสู้ปะทุเดือด
ครั้งนี้หลินสวินไม่คิดจะปิดบังอีกแล้ว และก็คงจะซ่อนไว้ไม่อยู่
ตูม!
หลินสวินเหยียดหลังตรง เส้นผมดำพลิ้วน้อยๆ เท้าใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็ง ประหนึ่งเดินเหินท่ามกลางหมอกเมฆ รอบกายห้อมล้อมด้วยแสงสีฟ้าอ่อน
ท่ามกลางความงุนงง ฝูงชนรู้สึกเพียงว่าหลินสวินเปลี่ยนไป มีกลิ่นอายว่างเปล่าแผ่วเบายากจับต้อง นัยน์ตาดำขลับของเขาลึกล้ำสงบนิ่ง รูปลักษณ์งดงาม ดุจดั่งน้ำพุบริสุทธิ์สายหนึ่งกลางเขาลึก ทั้งเหมือนสายลมโชยท่ามกลางแดนพิสุทธิ์ ไม่แปดเปื้อนแม้แต่นิด
แม้แต่การโจมตีของเขา ยังธรรมดาเรียบง่าย เป็นไปอย่างธรรมชาติ เบาหวิวดั่งภาพลวงตา ทว่ากลับทำให้ผู้คนรู้สึกถึงความสมบูรณ์แบบ หลอมรวมกับฟ้าดิน กลมกลืนกับจักรวาล
เต็มสมบูรณ์ดุจจันทรา ผสานรวมกับธรรมชาติ เปี่ยมล้นคล้ายว่างเปล่า หวนคืนสู่สัจธรรม!
“นี่จึงจะเป็นฝีมือที่แท้จริงของเขารึ”
มีคนพึมพำ น้ำเสียงสั่นเครือ
ศิษย์สาขายุทธ์วิถีจำนวนมากในลานต่างออกสั่นขวัญแขวน หลินสวินในยามนี้มีท่วงท่าที่ไม่สามารถบรรยายได้อยู่รำไร ทำให้หัวใจผู้คนต่างเกิดความพรั่นพรึง
นั่นคืออานุภาพอันไร้รูปร่างอย่างหนึ่ง สมบูรณ์พร้อมและว่างเปล่า สั่นสะเทือนจิตใจ
อาจารย์บางส่วนที่ชมการต่อสู่อยู่ห่างๆ ยามนี้ต่างไหวหวั่นอย่างกลั้นไม่อยู่ ด้วยพลังปราณของพวกเขาทิ้งห่างนัก ย่อมมองออกว่าในระดับมหาสมุทรวิญญาณ หลินสวินมาถึงขั้นสมบูรณ์สูงสุดแล้ว ดุจดั่งราชาที่สามารถกวาดล้างผู้แข็งแกร่งร่วมรุ่นได้มากมาย!
“เขาฝึกปราณแบบไหนกันแน่นะ”
พวกสืออวี่ หนิงเหมิงต่างผุดแววเคร่งขรึมออกมา ประหลาดใจกับท่วงท่าอันน่าตะลึงที่หลินสวินสำแดงออกมา
แม้แต่ศิษย์สาขายุทธ์วิถีซึ่งก่อนหน้านี้จับจ้องอาฆาตดูหมิ่นหลินสวิน ยังอดยอมรับไม่ได้ ยามหลินสวินสำแดงพลังแท้จริงของตนออกมา ช่างเหนือล้ำเกินไปแล้ว!
เพียงชั่วครู่
หลันอวี่เป็นฝ่ายเอ่ยปากยอมรับความพ่ายแพ้โดยไร้ซึ่งท่าทีกราดเกรี้ยว กลับมีแววขมขื่นและมึนงงอยู่ในที
ยามประมือกันอย่างแท้จริง ในที่สุดเขาก็เข้าใจความแข็งแกร่งของหลินสวิน ไม่ว่าเขาจะสำแดงฝีมือและวิชาลับสารพัด ล้วนถูกอีกฝ่ายทลายลงอย่างง่ายดาย กำราบเสียจนปราศจากเรี่ยวแรงขัดขืนแม้แต่น้อย
เขารู้ หาใช่ว่าตนไม่แข็งแกร่ง แต่เป็นคู่ต่อสู้ที่ทรงพลังเกินไป หยัดยืนอยู่เหนือผู้คนมานานแล้ว เว้นแต่จะครอบครองทักษะระดับเดียวกับเขา มิเช่นนั้นไม่ว่าเป็นใครต่างก็ถูกกำหนดให้พ่ายแพ้แน่นอน!
ดังนั้นหลันอวี่จึงยอมจำนนอย่างซื่อตรง
หลินสวินก็ไม่ได้ทำให้ลำบากใจ ตรงกันข้าม เนื่องจากหลันอวี่เป็นฝ่ายยอมจำนนเอง ทำให้หลินสวินมองเขาดีขึ้นอีกหน่อย
หลันอวี่ยอมแพ้แล้ว!
เห็นดังนี้ทั่วบริเวณต่างเงียบสนิทไร้เสียงนกกา สายตาที่มองไปทางหลินสวินก็เปลี่ยนไป จากการดูหมิ่น โมโห เจ็บแค้นในตอนแรก เปลี่ยนเป็นขลาดกลัว ตื่นตระหนกและพรั่นพรึง
ใครก็คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนหนึ่ง เหตุใดจึงได้ฝึกปราณจนครอบครองความสามารถอันน่ากลัวเยี่ยงนี้ได้
ตอนนี้ใครๆ ต่างก็เริ่มเข้าใจขึ้นมา ว่าสืออวิ๋นเผิง เซวียอวิ้นและจินจู๋หลิวสามคนนี้ ต่างพ่ายแพ้อย่างสมศักดิ์ศรี!
คนอย่างหลินสวิน ต่อให้อยู่ในสาขายุทธ์วิถีก็ยากจะหาคนมาแข่งขันและต่อกรได้
“เด็กคนนี้น่าทึ่งจริงๆ ขับเคลื่อนทะลวงปราณ สมบูรณ์ไร้มลทิน ก้าวสู่ขั้นสุดยอดในระดับมหาสมุทรวิญญาณเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในทุกการเคลื่อนไหวมีสัญญาณของการบรรลุมหามรรคอยู่รางๆ มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว”
ไกลออกไปชายหนุ่มในชุดคลุมหยกถอนหายใจเบาๆ เขาไม่ได้หล่อเหลานัก แต่มีกลิ่นอายห้าวหาญสะกดผู้คน นัยน์ตาดุจดารา คิ้วกระบี่พาดเฉียง ยืนสองมือไพล่หลังอยู่ตรงนั้น ให้ความรู้สึกทรงพลังอันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นอย่างหนึ่ง
เขามีนามว่าจ้าวจิ่งเหวิน สืบเชื้อสายราชวงศ์ สายเลือดสูงส่ง ปู่ของเขายังเป็นน้องชายร่วมอุทรของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน!
และในสาขายุทธ์วิถี ตัวตนของจ้าวจิ่งเหวินก็ประหนึ่งดวงอาทิตย์ร้อนแรง มีพรสวรรค์ชั้นยอดเหนือปวงชน โดดเด่นสะท้านใต้หล้า เป็นอันดับหนึ่งของกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ!
“อีกเดี๋ยวข้าจะไปเจอเขาหน่อย”
ด้านข้างบุรุษแก้มตอบหน้าผากกว้าง รูปลักษณ์น่าประทับใจเอ่ยเสียงแผ่ว นัยน์ตาของเขาไหววูบคมกริบ ประหนึ่งกระบี่หยกไร้เทียมทาน เหยียดหยันสั่นขวัญผู้คน
เขาก็คือจั่วอวี้จิง ทายาทของตระกูลทรงอิทธิพลระดับสูงตระกูลจั่ว เป็นผู้กล้ามากความสามารถ อยู่อันดับสามแห่งกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ
“ช่างเถอะ ครั้งนี้โอกาสจะสยบเขามีไม่มากแล้ว ไม่บังควรประมือกับเขาอีก อย่างไรเสียก่อนหน้านี้เขาก็ต่อสู้ติดกันสี่รอบ ต่อให้ชนะก็ไม่น่าภาคภูมิ”
จ้าวจิ่งเหวินถอนใจเบาๆ
“จะปล่อยไปแบบนี้หรือ”
จั่วอวี้จิงมุ่นคิ้ว
“ไม่ต้องรีบร้อน ที่คราวนี้สู้กับเขาก็แค่อยากลองดูว่าเขาจะมีฝีมือสักเท่าไร ตอนนี้ดูแล้ว สมคำร่ำลือจริงๆ”
สายตาจ้าวจิ่งเหวินล้ำลึก คล้ายกำลังขบคิด “สิ่งสำคัญที่สุดคือ ในสำนักศึกษามฤคมรกตแห่งนี้ไม่สามารถฆ่าเขาได้ จะต้องเจอกับการต่อต้านมากมาย แม้แต่ข้าเองก็ไม่อาจกระทำการผลีผลาม ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้หลีกทางก่อนชั่วคราว อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น”
จั่วอวี้จิงคล้ายจะไม่เต็มใจเท่าไร “ก็แค่เศษเดนของตระกูลย่อยยับคนหนึ่งเท่านั้น ฆ่าแล้วก็ฆ่าไปสิ ไยต้องกังวลมากมายขนาดนี้ด้วย”
“เจ้าไม่เข้าใจ ถ้าเขาฆ่าง่ายขนาดนั้นละก็ ตอนนั้นหลังจากที่เขาบังคับให้ท่านพี่หลิงเทียนโหวของข้าคุกเข่าลง ก็คงถูกกำจัดไปตั้งนานแล้ว ไปเถอะ ต่อไปยังมีโอกาส ก็ให้เด็กนี่ได้โลดเต้นไปอีกสักพักก็แล้วกัน”
จ้าวจิ่งเหวินกล่าวพลางหมุนกายออกไป
จั่วอวี้จิงอึ้งงัน กวาดสายตาเย็นเยียบมองไปยังหลินสวินที่อยู่ไกลออกไป ท้ายที่สุดก็สูดลมหายใจลึกหนึ่งเฮือก ก่อนจากไปพร้อมกับจ้าวจิ่งเหวิน
ในเวลาเดียวกันนั้น หลินสวินที่อยู่กลางลานแสดงยุทธ์ก็มีปฏิกิริยาตอบสนองเสี้ยวหนึ่ง มองมายังทิศทางนี้จากไกลๆ ยามเหลือบเห็นเงาร่างของจ้าวจิ่งเหวินและจั่วอวี้จิง หัวคิ้วของเขาพลันมุ่นขึ้น
ยอดฝีมือสองคน!
อย่างน้อยก็ร้ายกาจกว่าหลันอวี่หนึ่งขั้น
นี่คือการประเมินของหลินสวิน แม้ว่าตอนนี้เขาจะยืนอยู่ในจุดสูงสุดของระดับมหาสมุทรวิญญาณ แต่ก็ยังรู้สึกถึงอันตรายอยู่กลายๆ
พริบตานี้หลินสวินไม่กล้าดูเบาสาขายุทธ์วิถีอีกต่อไป ในฐานะที่เป็นสถานที่รวมเหล่าผู้กล้าในสำนักศึกษามฤคมรกต จะต้องมีพยัคฆ์ซุ่มมังกรซ่อน มีภูมิหลังที่น่ากลัวแน่นอน
ไม่นานหลินสวินก็เก็บความคิด หลังเอาชนะหลันอวี่ได้ เขายังคงไม่คิดจะรามือหยุดอยู่แค่นั้น แต่คิดจะสู้ต่อไป
เขาอยากรู้มากจริงๆ ว่า เบื้องหลังเรื่องทุกอย่างนี้ใครกันที่เป็นคนยุยงและคอยสั่งการ
อย่างไรเสียคนที่เขาหลินสวินล่วงเกินไปคือราชวงศ์ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับศิษย์ในสำนักศึกษามฤคมรกตพวกนี้สักเท่าไร ทว่าในวันแรกที่ตนออกด่านก็ดันเจอการยั่วยุรุนแรงของพวกเขา ขอเพียงไม่โง่ก็จะรู้ว่า เบื้องหลังต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่หลินสวินไม่สามารถสู้ต่อไปได้ ถูกหยุดกลางคันเสียแล้ว ด้วยมีอาจารย์ทรงคุณวุฒิผู้หนึ่งของสาขายุทธ์วิถีปรากฏกาย กล่าวตำหนิศิษย์ทั้งกลุ่มจนสลายตัว ดำเนินการเก็บกวาดลาน
ถึงศิษย์สาขายุทธ์วิถีเหล่านั้นจะไม่เต็มใจ แต่ก็รู้ว่าถ้าสู้ต่อไปโดยปราศจากบุคคลไร้เทียมทานรับหน้า รังแต่จะทำให้หลินสวินชนะต่อไปเรื่อยๆ โดยไร้ข้อกังขา
“หลินสวิน เจ้าเป็นอาจารย์ผู้ทรงเกียรติแห่งสาขาสลักวิญญาณ เหตุใดถึงได้มาขัดแย้งกับศิษย์สาขายุทธ์วิถีของข้ากัน นี่มันเสียเกียรติจริงๆ”
อาจารย์มากประสบการณ์คนนั้นมุ่นคิ้ว เขามีนามว่าหวังชิงเทียน เป็นผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะฝีมือเยี่ยมคนหนึ่ง
“ผู้อาวุโส ข้าถูกคนมาคิดบัญชีท่านเชื่อหรือไม่ เมื่อครู่ท่านเองก็เห็นแล้ว ศิษย์พวกนี้ถึงขั้นคิดจะสยบข้า บังคับข้าให้กล่าวขอโทษยอมรับผิดต่อราชวงศ์”
หลินสวินไหวไหล่กล่าว
หวังชิงเทียนนิ่งงัน คล้ายกับฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้ ก่อนกล่าวพลางทอดถอนใจ “เจ้าวางใจเถิด อย่างน้อยๆ ในสำนักศึกษามฤคมรกตก็ไม่มีใครกล้าทำร้ายเจ้าจริงๆ หรอก”
หลินสวินคลี่ยิ้มสดใส “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นขอรับ”
หวังชิงเทียนคล้ายตระหนักอะไรได้ เพียงแต่เห็นชัดว่าไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับข้อพิพาทฉากนี้ เพียงไม่นานก็รีบร้อนจากไปทันที
“เจ้าตัวดี ตอนนี้เจ้าน่าเกรงขามมากขึ้นทุกทีแล้วนะ!”
หนิงเหมิงสาวเท้าฉับๆ เข้ามา ฝ่ามือข้างหนึ่งตบเข้าที่หัวไหล่ของหลินสวิน ก่อนหัวเราะเสียงดังลั่น
“จริงดังว่า เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ ใช้เวลาไม่นานเท่าไรคงสร้างแรงสะเทือนไปทั่วสำนักศึกษามฤคมรกตแน่ อย่างไรเสียปรมาจารย์สลักวิญญาณแห่งสาขาสลักวิญญาณอย่างเจ้า ตอนนี้กลับมอบความพ่ายแพ้ให้เหล่าคนโดดเด่นของสาขายุทธ์วิถีติดต่อกัน จะไม่ให้สะดุดตาก็คงยาก”
เย่เสี่ยวชีทอดถอนใจ ไม่ว่าหลินสวินจะอยู่ที่ใดก็ไม่อาจนิ่งเงียบไร้ข่าวคราว นี่เพิ่งจะออกจากการปิดด่าน ก็วิ่งมาก่อคลื่นลมมหึมาเพียงนี้ในสำนักศึกษามฤคมรกตแล้ว
“นี่พวกเจ้าชมข้าหรือถากถางข้ากันแน่”
หลินสวินพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ในใจกลับยินดียิ่ง ตอนแรกที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งอาจารย์ในสำนักศึกษามฤคมรกต พวกสืออวี่ถูกพาตัวออกไปฝึกฝนด้านนอก ท้ายที่สุดก็ไร้วาสนา ไม่อาจได้พบหน้ากัน
แต่ตอนนี้สหายเก่ากลับมาพร้อมหน้ากันอีกครั้ง ย่อมต้องมีความสุขเป็นล้นพ้น
จะว่าไปแล้วหลังจากเข้าสู่นครต้องห้าม เพื่อนของเขาก็มีแต่พวกสืออวี่ หนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี กงหมิง ไม่กี่คนนี้เท่านั้น
“สารภาพมาตามตรง เจ้าหนูอย่างเจ้ากินยาวิเศษอะไรไปหรือเปล่า ทำไมฝึกปราณประเดี๋ยวเดียวก็ทะยานแบบปุบปับ เปลี่ยนเป็นดุดันอำมหิตได้ขนาดนี้แล้ว”
หนิงเหมิงกล่าวอย่างดุเดือด
หลินสวินเอ่ยอย่างพิศวง “การฝึกปราณของข้าพัฒนาเร็วมากหรือ ข้ายังนึกว่าพวกเจ้าฝึกอยู่ในสำนักศึกษามฤคมรกต ด้านการฝึกปราณต้องเหนือกว่าข้าไปตั้งนานแล้วเสียอีก”
หลายคนพลันพูดไม่ออก แต่ละย่างก้าวในเส้นทางแห่งการฝึกปราณแสนลำบากและอันตราย คิดจะพัฒนาให้เร็วยิ่งขึ้นมีหรือจะเป็นไปได้ง่ายๆ มีเพียงพบเจอประสบการณ์แล้วเท่านั้นจึงจะรู้ว่าเส้นทางสายนี้ยากเย็นแค่ไหน!
“เจ้าคิดว่าทุกคนจะวิปริตเหมือนเจ้าหมดหรือไง” เย่เสี่ยวชีกลอกตา
“นั่นน่ะสิ ตอนเพิ่งเข้านครต้องห้ามเจ้ายังเป็นแค่ผู้ฝึกปราณขั้นผสานฟ้าเท่านั้น แม้แต่ระดับมหาสมุทรวิญญาณยังไม่ใช่ แต่ตอนนี้เพิ่งผ่านไปไม่ถึงปี เจ้าก็ก้าวสู่ขั้นสมบูรณ์แห่งระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว ความเร็วในการบรรลุขั้นน่าตกใจแบบนี้ ใครจะเทียบได้”
กงหมิงเองก็อดส่งเสียงพึมพำไม่ได้
“หลินสวิน ตอนนี้สถานการณ์ของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไรนะ”
สืออวี่เอ่ย
หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง ก่อนเล่าสถานการณ์ปัจจุบันในภูเขาชำระจิตโดยสังเขป ทั้งไม่ได้ปิดบังอะไร
“ระยำ ตระกูลจั่วกับตระกูลฉินรังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว!”
หนิงเหมิงแหกปากด่าลั่น
เย่เสี่ยวชีและกงหมิงต่างก็ขมวดคิ้ว พวกเขาล้วนคิดไม่ถึงว่าปัญหาของหลินสวินในครั้งนี้จะใหญ่โตถึงขนาดนี้
“ไม่ใช่แค่ตระกูลฉินกับตระกูลจั่ว”
สืออวี่ส่ายหน้า เห็นชัดว่าก่อนหน้านี้เขาก็เข้าใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว เอ่ยว่า “ก็เหมือนกับเรื่องในวันนี้ เบื้องหลังต้องมีคนคอยปลุกปั่น มิเช่นนั้นไม่มีทางเกิดความวุ่นวายใหญ่โตขนาดนี้หรอก”
กล่าวถึงตรงนี้ท่าทีของสืออวี่เปลี่ยนเป็นขึงขังขึ้น “และที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ หลินสวิน เจ้าในตอนนี้เป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณคนหนึ่ง รับหน้าที่สอนในสาขาสลักวิญญาณ อีกทั้งยังเป็นปรมาจารย์สลักวิญญาณพิเศษของภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ เคยช่วยจักรพรรดินีองค์ปัจจุบันซ่อมกระบี่เบิกฟ้า ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ หากปราศจากคนสั่งการใครเล่าจะกล้าล่วงเกินเจ้า”
เมื่อเอ่ยออกมาเช่นนี้ พวกหนิงเหมิงต่างก็มีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา จริงด้วย จากฐานะในปัจจุบันของหลินสวิน รวมถึงฐานะปรมาจารย์สลักวิญญาณหนุ่มน้อยของเขา คนธรรมดาแทบไม่กล้าล่วงเกินเลยสักนิด
ถึงอย่างไรการล่วงเกินหลินสวิน ก็เท่ากับล่วงเกินสาขาสลักวิญญาณ ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณและสำนักศึกษาเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิเชียวนะ!
และสามขุมอำนาจนี้ยังเป็นตัวแทนของกลุ่มที่มีเอกลักษณ์มากที่สุด นั่นก็คือ…นักสลักวิญญาณ!
ผิดใจกับนักสลักวิญญาณ ต่อไปใครยังจะหลอมอาวุธวิญญาณให้เจ้าอีก?
ต้องรู้ว่ายิ่งระดับปราณล้ำลึก สิ่งที่ต้องการจากอาวุธวิญาณก็ยิ่งมากตามไปด้วย สินค้าธรรมดาตามท้องตลาดยากจะตอบสนองความต้องการได้
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ จำเป็นต้องหานักสลักวิญญาณผู้เชี่ยวชาญมาช่วยหลอมอาวุธให้
ด้วยเหตุนี้ก็น่าจะรู้ว่า ขอเพียงผิดใจกับนักสลักวิญญาณเข้า ก็ไม่ต้องหวังว่าพวกเขาจะช่วยแล้ว!
แน่นอน เรื่องราวไม่อาจชี้ขาดได้เพียงนี้ หลินสวินคนเดียวยังไม่อาจเป็นตัวแทนของคณะนักสลักวิญญาณทั้งหมดได้ เพียงแต่ปรมาจารย์สลักวิญญาณอายุน้อยอย่างเขา สามารถกล่าวได้ว่าหาตัวจับยาก ต่อไปหากเติบใหญ่ขึ้น อิทธิพลของเขาก็มีแต่จะเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น!
หากเป็นเช่นนี้ เว้นเสียแต่จะเป็นศัตรูอย่างแท้จริง ไม่เช่นนั้นใครจะไปล่วงเกินหลินสวินก็ต้องชั่งใจถึงผลที่จะตามมา
“เจ้ารู้อะไรมาบ้างใช่หรือไม่”
หลินสวินเอ่ยถาม ในบรรดาสหายเหล่านี้ ก็มีแต่สืออวี่ที่มีข้อมูลดีและรวดเร็ว เฉลียวฉลาดมากอุบาย
สืออวี่ก็ไม่ได้ปกปิด กล่าวว่า “หากข้าเดาไม่ผิด เรื่องนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับจ้าวจิ่งเหวิน”
จ้าวจิ่งเหวิน!
พวกหนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี กงหมิงต่างตกตะลึง
คนผู้นี้เป็นถึงบุคคลไร้เทียมทานชั้นยอดในสาขายุทธ์วิถี ครองอันดับหนึ่งในกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณมาหลายปี จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยถูกใครสั่นคลอน
อีกทั้งตัวเขายังเป็นเชื้อพระวงศ์ สายเลือดสูงส่ง สถานะโดดเด่น หากเป็นเขาคอยสั่งการทุกอย่างอยู่เบื้องหลัง เช่นนั้นก็สามารถเข้าใจได้ง่ายๆ แล้ว
เพราะยามนี้ทุกคนต่างรับรู้ว่าหลินสวินเคยล่วงเกินราชวงศ์ จ้าวจิ่งเหวินในฐานะสมาชิกราชวงศ์คนหนึ่ง ย่อมมีเหตุผลที่จะพุ่งเป้าไปที่หลินสวินเป็นธรรมดา
“จ้าวจิ่งเหวินคนนี้ไม่ใช่สามัญ ถึงแม้หลิงเทียนโหวจ้าวจิ่งอิ้นจะเป็นญาติผู้พี่ของเขา แต่ฐานะในราชวงศ์กลับห่างไกลกับเขามาก”
นัยน์ตาสืออวี่เยือกเย็น ก่อนวิเคราะห์อย่างรวดเร็ว “ถ้าจ้าวจิ่งเหวินพุ่งเป้ามาที่เจ้าจริง ความวุ่นวายนี้ก็คงใหญ่เชียวล่ะ อย่างน้อยศัตรูของเจ้านอกจากตระกูลจั่วและฉินสองตระกูลนี้แล้ว ยังมีจ้าวจิ่งเหวินเพิ่มมาอีกคน ถึงจะบอกว่าจ้าวจิ่งเหวินคนเดียวไม่อาจเป็นตัวแทนทั้งราชวงศ์ก็เถอะ แต่อำนาจที่เขามีก็อย่ามองข้ามเป็นอันขาด”
“แล้วแบบนี้จะต้องทำอย่างไร”
หนิงเหมิงกล่าว
“ไม่ต้องกังวลใจ ขอเพียงรู้ว่าผู้สั่งการหลักที่อยู่เบื้องหลังเป็นใครก็พอแล้ว”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเย็นเยียบ
“เจ้าได้วางแผนอะไรไว้แล้วใช่หรือไม่”
สืออวี่พลันเอ่ยถาม เขาพบว่าหลินสวินสงบนิ่งกว่าที่ตนคิดเอาไว้เสียอีก
หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง กล่าวว่า “ต่อไปพวกเจ้าก็จะเข้าใจเอง”
เขาไม่อยากพูดมากความ ไม่ต้องการให้พวกสืออวี่ถูกพัดม้วนเข้าสู่คลื่นพายุครั้งนี้ด้วย อย่างไรศัตรูก็ไม่เหมือนเดิม มันอันตรายเกินไป
“ให้ตาย เจ้ายังเห็นพวกเราเป็นพี่น้องกันอยู่หรือเปล่า”
หนิงเหมิงร้องลั่น ไม่พอใจอย่างมาก
“รอภายภาคหน้าเมื่อข้าต้องการ ย่อมต้องขอให้พวกเจ้าลงมืออยู่แล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่ต้องก็เท่านั้น”
หลินสวินอธิบายหนึ่งประโยค
“เช่นนั้นตอนนี้เจ้าจะทำอย่างไร”
สืออวี่ถาม
หลินสวินทอดสายตามองไปไกลๆ ที่นั่นมีควันเมฆคลุ้งฟ้า ป้ายหินสีทองอร่ามปรากฏขึ้น มีความสูงหลายสิบจั้ง ตั้งตระหง่านอยู่ตรงนั้น โดดเด่นสะดุดตา
นั่นคือกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ!
ด้านบนมีรายชื่อของศิษย์ระดับมหาสมุทรวิญญาณหนึ่งร้อยคนที่โดดเด่นที่สุดในสำนักศึกษามฤคมรกต
“ได้ยินว่าขอเพียงมีชื่อปรากฏบนกระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ ก็จะได้รับคะแนนสะสมที่สอดคล้องกันไปด้วย?”
หลินสวินกล่าว
“ไม่ผิด”
สืออวี่พยักหน้า ก่อนจะมีปฏิกิริยาตอบกลับทันควัน “นี่เจ้าจะไต่ขึ้นกระดานหรือ”
พวกหนิงเหมิง เย่เสี่ยวชี กงหมิงต่างนิ่งงัน สายตามองไปยังหลินสวิน
“ช่วยไม่ได้ ตอนนี้ข้าต้องการคะแนนสะสมอย่างเร่งด่วน คงทำได้แค่ลองดูสักตั้งแล้ว”
หลินสวินถอนหายใจ
ทุกคนต่างพูดไม่ออก ศิษย์ในสำนักศึกษามฤคมรกต ไม่มีใครไม่มองว่า ‘กระดานทองคำมหาสมุทรวิญญาณ’ เป็นสถานที่แห่งเทพศักดิ์สิทธิ์ หากสามารถทำให้ชื่อของตนขึ้นไปอยู่บนนั้นได้ นั่นก็เป็นเกียรติยศหายากอย่างหนึ่งแล้ว
แต่หลินสวินกลับดีนัก มองมันเป็นช่องทางรับคะแนนสะสมอย่างหนึ่ง นี่มัน…หยาบคายเกินไปแล้ว!
……………………