Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 497 สถานการณ์พลุ่งพล่านใต้น้ำ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 497 สถานการณ์พลุ่งพล่านใต้น้ำ
ครั้นจ้าวจั้นเย่เอ่ยประโยคนี้ออกมา ทั่วทั้งลานต่างตกใจ
เห็นได้ชัดว่ารองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถีคนนี้ไม่เชื่อเลยสักนิดว่าหลินสวินจะสามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้ ที่เขามาครั้งนี้เห็นชัดว่าเพื่ออาศัยโอกาสนี้กำราบหลินสวิน
“ฮ่าๆ ที่พี่จ้าวพูดเป็นความจริงอย่างยิ่ง ถึงจะบอกว่าเจ้าเด็กหลินสวินคนนี้มีพรสวรรค์เหนือปวงชน แต่ไม่เห็นกฎระเบียบในสายตา กระทำเรื่องไร้ยางอาย ความประพฤติเหลือทน พฤติกรรมด่างพร้อย ผู้มีความสามารถพรรค์นี้ ต่อให้โดดเด่นสักเพียงใดก็เป็นหายนะอย่างหนึ่งโดยแท้”
ฉู่ซานเหอหัวเราะเบาๆ เขาในฐานะรองหัวหน้าสาขาสลักวิญญาณ แต่กลับปฏิเสธหลินสวินในทุกแง่ มีเจตนาที่ชัดเจนยิ่งยวด
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนมากมายต่างตระหนักได้อย่างเฉียบแหลมว่าการหลอมอาวุธของหลินสวินในครั้งนี้ เกรงว่าอาจจะกลายเป็นหายนะที่พุ่งเป้าไปที่หลินสวินฉากนั้นเท่านั้น!
เว้นเสียแต่เขาจะสามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณออกมาได้จริงๆ มิเช่นนั้นสถานการณ์คงน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง!
“พูดได้ถูกต้อง สำนักศึกษามฤคมรกตไม่ใช่สถานที่อำพรางความชั่ว คนรุ่นหลังที่เลือกเดินทางผิดอย่างหลินสวินนั้น หากไม่ถูกลงโทษและอบรมก็จะกลายเป็นหายนะอย่างหนึ่งไม่ช้าก็เร็ว”
ฉินเป่าจี้มหายุทธ์ระดับหยั่งสัจจะขั้นปลายยอดที่อยู่อีกด้านหนึ่งก็เอ่ยปากเช่นกัน นัยน์ตาทอแววเย็นเยียบดุจคมดาบ ทรงพลังยิ่งใหญ่
“หากเด็กคนนี้กล้าเล่นเล่ห์เพทุบาย หลอกลวงพวกข้า ต้องถูกตัดหัวไม่มีข้อยกเว้น!”
ทันใดนั้นเสียงโครมครืนประหนึ่งอสนีฟาดก็ดังสนั่น ทำให้ทั่วทั้งลานเปลี่ยนท่าที นั่นคือไป๋จั้นโหวจั่วฝูกวง รอบกายมีกลิ่นอายมหามรรครายล้อม นั่งอยู่ตรงนั้นประดุจราชันที่เหยียบย่างลงบนเขาศพทะเลเลือด
ชั่วขณะหนึ่งทั่วทั้งลานพลันเงียบสงัด ไร้เสียงนกเสียงกา
นับตั้งแต่บุคคลสำคัญอย่างจ้าวจั้นเย่เอ่ยวาจา ตามด้วยฉู่ซานเหอ ฉินเป่าจี้ จั่วฝูกวง ทำให้ผู้คนทั้งหมดต่างมองออกว่าพวกเขามาเพื่อพุ่งเป้าไปที่หลินสวิน โดยไม่เคยปกปิดสักนิด เปี่ยมอำนาจแกร่งกล้าอย่างเห็นได้ชัด!
สีหน้าของเสิ่นทั่วดูอึมครึมไหววูบเป็นที่เรียบร้อย นี่หลินสวินเพิ่งจะเริ่มหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ เหล่าบุคคลสำคัญพวกนี้ก็ทยอยกันเปล่งวาจาต่อต้านและข่มขู่กันเสียแล้ว ทำให้เขารู้สึกหนาวจับใจ ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่ชอบมาพากล
“หลินสวินมีโทษผิดสถานใด ถึงขั้นทำให้พวกท่านไม่สนใจฐานะ พากันเอ่ยว่าจะสั่งสอนเขาไม่หยุดหย่อน”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งพลันดังขึ้น สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนทั่วลาน ในบรรยากาศแบบนี้ยังมีคนกล้าเอ่ยวาจาโต้แย้งเหล่าบุคคลสำคัญอยู่เชียวหรือ
ทว่ากลับเห็นเด็กหนุ่มผ่าเผยคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามา ท่าทางองอาจ มีกลิ่นอายทระนงดุจดูแคลนใต้หล้าอย่างหนึ่ง
“หนิงเหมิง หลานชายราชันเลือดเหล็ก!”
ผู้คนจำนวนไม่น้อยจำฐานะของเด็กหนุ่มได้ในทันที และมีท่าทีผิดแผกไปอย่างอดไม่ได้
“เจ้าหนูน้อย ที่นี่คือสถานที่แบบใด ใช่ที่ที่เจ้าจะมาสอดปากหรือ”
ฉินเป่าจี้มหายุทธ์ตระกูลฉินแค่นเสียงเย็น แสงนัยน์ตาเจิดจ้า ฉีกทึ้งห้วงอากาศดั่งดาบคม ทำให้ผู้คนหวั่นใจ
“น่าขัน นี่คือสำนักศึกษามฤคมรกตของข้า คนแก่อย่างท่านมาเองโดยไม่ได้รับเชิญ ยังกล้าออกปากพูดสั่งสอนข้าอีกหรือ”
หนิงเหมิงตะโกนลั่น ทำให้ฝูงชนใจสะท้าน เจ้าเด็กนี่ก็แข็งกร้าวเหลือเกิน คิดจริงๆ หรือว่าอาศัยเพียงอำนาจของราชันเลือดเหล็กแล้วจะกล้าไม่เห็นตระกูลฉินอยู่ในสายตาได้
ยามนี้สีหน้าฉินเป่าจี้พลันเคร่งขรึม ไม่รอให้เขาปริปาก ไป๋จั้นโหวจั่วฝูกวงที่อยู่ด้านข้างก็โบกมือ กล่าวเนิบนาบ “พี่ฉิน อย่าได้ทำตัวเหมือนอยู่ระดับเดียวกับคนหนุ่มสาวเลย”
กล่าวพลางเหลือบมองไปทางหนิงเหมิง “เจ้าหนู เหตุใดถึงไม่เข้าใจกฎเกณฑ์สักนิด ผู้หลักผู้ใหญ่ในตระกูลเจ้าอบรมเจ้าเช่นนี้หรือ รีบถอยออกไปเสีย อย่าได้ทำร้ายตัวเอง!”
หนิงเหมิงเดือดดาล “นี่ท่านกำลังด่าว่าข้าไม่ได้รับการสั่งสอนหรือ”
จั่วฝูกวงมุ่นคิ้ว กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าหนู ต่อให้บิดาเจ้าอยู่ที่นี่ก็ยังไม่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ คิดว่าพวกข้าไม่กล้าลงโทษเจ้าจริงๆ หรือ”
ฮูม~
พลังอำนาจบีบคั้นผู้คนแผ่ขยาย พุ่งมากดทับใส่หนิงเหมิงอย่างดุดัน หมายจะสยบเขา บีบให้เขาไม่กล้าพูดมากความอีก
หนิงเหมิงหน้าเปลี่ยนสี “เจ้าแก่นี่ เจ้ากล้า!”
จั่วฝูกวงหัวเราะเสียงเย็น “ชนรุ่นหลังตัวน้อย อาละวาดเยี่ยงนี้ วันนี้ข้าจะอบรมสั่งสอนเจ้าให้ดีแทนผู้ใหญ่ตระกูลเจ้าเอง! ทำให้เจ้ารู้ว่าอะไรคือกฎระเบียบ!”
ขณะที่เอ่ยคำ พลานุภาพดุจดั่งภูเขาก็กดทับลงมาอย่างรุนแรง
เขาคือไป๋จั้นโหวเชียวนะ เคยทำศึกนองเลือดที่ชายแดน สังหารบุคคลสำคัญต่างเผ่ามาเป็นร้อยคน พลังอำนาจคับปฐพี แค่คิดก็รู้ว่าอานุภาพของเขาน่ากลัวเพียงใด มิใช่คนที่ผู้ฝึกปราณระดับมหาสมุทรวิญญาณจะต้านทานไหวเลยสักนิด
“ฮ่าๆ อานุภาพยิ่งใหญ่นัก จั่วฝูกวง ไม่เจอกันหลายปี เจ้าถึงขั้นกล้ามาสั่งสอนหลานของข้าแทนข้าเชียวหรือ”
ทันใดนั้นเสียงคำรามปานอสนีฟาดก็ดังขึ้น สั่นสะเทือนจนผู้ฝึกปราณทั้งลานได้ยินเสียงวิ้งที่หู ตาลายเห็นเป็นดาวสีทอง สีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน
เพียงแค่เสียงเดียวเท่านั้น กลับเหมือนค้อนหนัก ทำให้สภาพจิตใจของพวกเขาสั่นสะท้าน!
สวบ!
เงาร่างกำยำประหนึ่งภูเขาศักดิ์สิทธิ์ปรากฏกายกลางลาน เขามีผมขาวรุงรังทั่วศีรษะ หนวดเคราดั่งทวน ในรอยแยกของเปลือกตานั้นสะท้อนให้เห็นปรากฏการณ์ประหลาดน่าสะพรึงของภูเขาศพทะเลเลือด ดาราล่มจันทร์สลาย
นี่ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่น่ากลัวหาใดเปรียบคนหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่อเขามาเยือน ฟ้าดินแถบนี้ล้วนเปี่ยมด้วยกลิ่นอายแห่งการเข่นฆ่าประหัตประหาร ห้วงอากาศกรีดร้อง ลมเมฆพลุ่งพล่าน
ทั้งลานต่างตกตะลึง ล้วนมีท่าทีไม่อยากเชื่อ
หนิงปู้กุยราชันเลือดเหล็ก!
ราชันที่ ‘มีชีวิตเพื่อการต่อสู้ แม้ตายก็ต้องหนุนบนภูเขาศพ ร่างเอนบนทะเลเลือด เทียบท้านภา หลับใหลไปกับปฐพี’!
ยอดฝีมือที่ตายด้วยเงื้อมมือเขา หากไม่ใช่หนึ่งพันก็ต้องแปดร้อย เป็นราชันที่ถือกำเนิดจากการเข่นฆ่าสังหาร อำนาจเหลือร้ายสะท้านโลก ชื่อเสียงเลืองลั่นจักรวรรดิ!
กระทั่งมีคำกล่าวว่า ต่อให้นำห้าพยัคฆ์ร้ายแห่งจักรวรรดิรวมเข้าด้วยกัน ก็ยากจะเทียบอานุภาพน่าเกรงขามสามส่วนของราชันเลือดเหล็ก!
เพียงแต่ผู้ใดก็ไม่คาดคิดว่า บุคคลผู้เป็นตำนานแห่งจักรวรรดิเช่นนี้จะถึงขั้นหวนสู่นครต้องห้ามในเวลานี้ และปรากฏตัวในสำนักศึกษมฤคมรกต!
“หนิงเลือดร้อน! เป็นเจ้าได้อย่างไรกัน!”
คนใหญ่คนโตอื่นๆ ในลานต่างก็ไหวหวั่น หนิงปู้กุยพิทักษ์ชายแดนตะวันตกของจักรวรรดิมาตลอด ไม่เคยหวนสู่นครต้องห้ามมาเป็นเวลาร้อยปีเต็มแล้ว เขากลับมาคราวนี้เพื่ออะไรกันแน่
“ทำไม พวกเจ้าไม่ยินดีต้อนรับข้ากลับมาหรือ”
เสียงหนิงปู้กุยหยาบกระด้าง ทุกคำดั่งสายฟ้าฟาด ไม่ปิดบังอานุภาพร้ายกาจของตนเลยสักนิด ราวกับมีอำนาจน่าสะพรึงห้าวหาญดุจพยัคฆ์ร้าย
“จะกล้าได้อย่างไร เชิญพี่หนิงนั่งลงเถิด”
จ้าวจั่นเย่ยืนขึ้น เอ่ยปากเสียงทุ้ม เขามีฐานะเป็นรองหัวหน้าสาขายุทธ์วิถี ทั้งยังเป็นบุคคลสำคัญแห่งราชวงศ์ สถานะค่อนข้างโดดเด่น
“เฮอะ คนอย่างพวกเจ้ารู้จักแต่รังแกผู้อ่อนอาวุโสกว่า ข้าล่ะคร้านจะนั่งรวมกับพวกเจ้า”
กล่าวพลางเขาก็คว้าหนิงเหมิง แล้วหย่อนก้นนั่งลงกับพื้น ทำให้ทั้งลานต่างตกตะลึง ราชันเลือดเหล็กที่ทรงพลังดุดันคนนี้เผด็จการเหมือนกับที่เล่าขานกันมาจริงๆ มองบุคคลสำคัญทั่วลานราวกับไร้ตัวตน ไม่ไว้หน้ากันเลยสักนิด
สีหน้าของจ้าวจั่นเย่เผยความอึมครึมอย่างอดไม่อยู่
“เฮอะ ต่อให้หนิงเลือดร้อนอย่างเจ้ามาแล้วจะอย่างไรเล่า หลินสวินคนนี้ทำความผิดล้นฟ้า หนิงเลือดร้อนอย่างเจ้าอยากจะปกป้องเขาเอาไว้ คงไม่น่าดูแน่”
จั่วฝูกวงหัวเราะเย็นชา เขากลับสู่ความเยือกเย็นอีกครั้งแล้ว
ไม่ได้มีเพียงเขา ฉู่ซานเหอ ฉินเป่าจี้รวมถึงคนใหญ่คนโตที่มีความสัมพันธ์ไม่เลวกับพวกเขาต่างคิดเช่นนี้กันทั้งนั้น
“เฮ้อ ท่านเต้าเฉินทำศึกเพื่อจักรวรรดิ แม้นตัวตาย แต่วิญญาณกล้าคงอยู่สืบไป เป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแห่งปวงชน ไม่เคยคิดเลยว่าเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่ปี ต้นกล้าหน่อเดียวในตอนนี้ที่ท่านเต้าเฉินเหลือทิ้งไว้ กลับกลายเป็นหนามตำใจของคนบางส่วน ช่างทำให้ผู้คนสะทกสะท้านเสียจริงๆ”
เวลานี้มีคนส่งเสียงทอดถอนใจยาว แม้เสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับดังก้องอยู่ในโสตประสาทของทุกคนอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
พลันเห็นชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนเต็มขั้นคนหนึ่งสาวเท้าเข้ามาอย่างแช่มช้า มองจากระยะไกลเหมือนกับเนินเขาลูกหนึ่งกำลังเคลื่อนที่ตามแนวขวาง สะดุดตาถึงขีดสุด
เจ้าของอัครการค้า…เทพเศรษฐีสือไฉเสิน!
ฝูงชนทั้งลานเบิกตากว้าง เทพเศรษฐีชื่อก้องหล้าผู้นี้ วันนี้ก็มากับเขาด้วย ซ้ำฟังจากน้ำเสียงของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ามาเพื่อยืนข้างหลินสวิน!
สีหน้าของคนใหญ่คนโตอย่างจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ จั่วฝูกวง ฉินเป่าจี้ล้วนแปรเป็นมืดทะมึนไปไม่น้อย พวกเขาคิดไม่ถึงว่าวันนี้ไม่เพียงหนิงปู้กุยที่ปรากฏกายมาเท่านั้น เทพเศรษฐีก็โผล่มาอีกคน
“น้องสือ รีบมานั่งเร็ว อยากหาตัวเทพเศรษฐีอย่างเจ้านั้นไม่ง่ายเลย เราสองคนมาพูดคุยกันเสียหน่อย”
หนิงปู้กุยเอ่ยปากพลางยิ้มตาหยี
เทพเศรษฐีพลันระเบิดหัวเราะ และไม่เกรงใจอีก เรือนร่างดั่งภูเขามหึมาก็หย่อนก้นนั่งลงข้างๆ
และในเวลานี้เอง ฝูงชนเพิ่งจะได้เห็นสืออวี่ที่ตามติดอยู่ด้านหลังเทพเศรษฐี เหตุที่เมื่อครู่ไม่ถูกสังเกต ก็เป็นเพราะรูปร่างของเทพเศรษฐีนั้นอ้วนท้วนมหึมามากเกินไปจริงๆ คล้ายกับเนินเขาลูกหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น…
ผู้คนไม่น้อยต่างขบคิด รู้ว่าสืออวี่ หนิงเหมิงและหลินสวินเป็นเพื่อนกัน วันนี้หนิงปู้กุยและเทพเศรษฐีปรากฏตัว คิดดูแล้วจะต้องมีความเกี่ยวข้องกับทั้งสองคนอย่างแน่นอน
สถานการณ์เริ่มจะไม่ชอบมาพากลแล้ว
บางคนเหมือนจะพุ่งเป้าไปที่หลินสวิน และบางคนก็อยากปกป้องหลินสวิน แค่การหลอมอาวุธฉากหนึ่งเท่านั้น แต่กลับก่อให้เกิดลมมรสุมอันไร้สุ้มเสียง และคลื่นใต้น้ำพลุ่งพล่านได้!
“ปีนั้นท่านเต้าเฉินเป็นวีรบุรุษกล้าก้องปฐพี ได้รับการชื่นชมจากผู้คนนับไม่ถ้วนในจักรวรรดิ พวกข้าก็เลื่อมใสไม่สิ้น เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าลูกหลานของเขากลับน่าเหลือทนเช่นนี้ ก่อวีรกรรมชั่วร้ายที่สร้างความขุ่นเคืองไม่พอใจในวงกว้างจำนวนมาก หากไม่ได้รับการอบรมสั่งสอน รังแต่จะแปดเปื้อนชื่อเสียงอันทรงเกียรติของท่านเต้าเฉิน กลายเป็นความอับอายของตระกูลหลิน”
จ้าวจั้นเย่เอ่ยปากด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก ต่อให้หนิงปู้กุยและเทพเศรษฐีมาเยือน ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงความประสงค์ของเขาได้
“อะไรที่เรียกว่าสร้างความขุ่นเคืองไม่พอใจในวงกว้าง ทำไมข้าถึงได้ยินมาว่านับตั้งแต่เจ้าหนูหลินสวินเข้าสู่นครต้องห้าม ก็มีคนบางกลุ่มแอบพุ่งเป้าและกดดันเขาอย่างลับๆ?”
“ข้าว่า เหมือนมีคนไม่อยากให้สายเลือดของท่านเต้าเฉินรอดชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”
มีเงาร่างสองสายปรากฏกายขึ้นกลางลานอีกครั้งพร้อมเสียงการสนทนา คนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนหนวดเคราสีดำสนิท ย่างก้าวทรงพลังยิ่งใหญ่ หน้าผากกว้าง พลังอำนาจสะท้านฟ้า
ส่วนอีกคนเป็นชายชราตัวเตี้ยร่างผอมไว้เคราะแพะ แย้มยิ้มตาหยี เห็นชัดว่าอ่อนโยนเป็นมิตร ปราศจากความน่าเกรงขามให้บรรยาย
ทว่าตอนที่ทั้งสองคนนี้ปรากฏตัว ทั่วลานก็เกิดความปั่นป่วนขึ้นอีกระลอก รู้สึกฉงนสงสัยไม่ขาด
เนื่องจากชายกลางคนหนวดเคราดำเข้มนั้นเป็นถึงผู้ยิ่งใหญ่ที่กุมอำนาจแห่งทะเลตะวันออก… ราชันแห่งทะเลตะวันออกเย่ฉิงเทียน!
ส่วนชายชราไว้เคราแพะอีกคนก็คือผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลตุ๊กตาล้มลุก ตระกูลกง…กงปู้พั่ว!
คนหนุ่มสาวบางทีอาจจะไม่ค่อยรู้ลึกถึงชื่อเสียงของพวกเขานัก ทว่าสำหรับคนใหญ่คนโตที่อยู่ในลานเหล่านั้นแล้ว สองคนนี้ล้วนแต่เป็นบุคคลร้ายกาจที่พาให้ผู้คนสะพรึงกลัว มีชื่อเสียงมานานหลายปี เป็นระดับเพชรยอดมงกุฎ
ข้างกายของเย่ฉิงเทียนและกงปู้พั่วยังมีเย่เสี่ยวชีและกงหมิงตามติดมาด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย
มาถึงจุดนี้ทุกคนต่างมองออก ไม่ว่าจะเป็นราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุย เทพเศรษฐีสือไฉเสิน หรือว่าราชันแห่งทะเลตะวันออกเย่ฉิงเทียนกับกงปู้พั่ว ต่างมาเพื่อปกป้องหลินสวิน!
สิ่งนี้ทำให้ผู้คนอดตกตะลึงไม่ได้ ตระหนักว่าสถานการณ์มีความละเอียดอ่อนขึ้นเรื่อยๆ แฝงเร้นด้วยการขัดแย้งซึ่งกันและกัน ต่างฝ่ายต่างพุ่งโจมตีใส่กัน
แม้แต่พวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ ในเวลานี้ต่างขมวดคิ้ว รู้สึกถึงอุปสรรคขวากหนามอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าเพียงแค่การต่อกรกับเศษสวะอย่างหลินสวินคนเดียว จะดึงดูดบุคคลร้ายกาจมาตั้งมากมายขนาดนี้
“การหลอมอาวุธเพิ่งเริ่มเท่านั้น ท่านทั้งหลายไยต้องโต้เถียงกันเยี่ยงนี้ รอชมกันอย่างสงบเถิด เจ้าหนูอายุสิบหกปีคนหนึ่ง กลับคิดจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณ เรื่องแบบนี้หาได้ยากตั้งแต่โบราณกาล”
ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียดและเงียบสงัด เสียงถอนหายใจเสียงหนึ่งดังขึ้นเบาๆ กลับเห็นชายวัยกลางคนที่ดวงหน้าดั่งคมมีด สวมชุดคลุมสีเทา มีความเด็ดเดี่ยวหักหาญผู้คนที่ไม่รู้ว่าปรากฏกายขึ้นในลานตั้งแต่เมื่อไร
เขาดูคล้ายไม่สะดุดตา ทว่าคนทั้งหมดต่างคล้ายเกิดภาพมายาบางอย่าง รู้สึกราวกับว่าภายในเรือนร่างซูบผอมของเขาซ่อนภูเขาไฟไว้ลูกหนึ่ง ที่พร้อมจะปะทุออกมาและหลอมละลายปฐพีได้ทุกเมื่อ
บัดนั้นไม่ว่าจะเป็นพวกจ้าวจั้นเย่ ฉู่ซานเหอ หรือฝั่งหนิงปู้กุย เทพเศรษฐี หรืออาจพูดได้ว่าชั่วขณะนี้ บรรดาบุคคลสำคัญทั่วลานต่างหยัดตัวลุกขึ้นพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย ไม่กล้านั่งอยู่ตรงนั้น
นี่ก็คือพลังอำนาจอย่างหนึ่ง!
พลังอำนาจที่เป็นของ ‘เจิ้นไห่อ๋อง’ จ้าวจิ่วเซียวผู้เดียวเท่านั้น!
——