Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 504 ข้าชื่อซย่าจื้อ ข้ามาฆ่าคน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 504 ข้าชื่อซย่าจื้อ ข้ามาฆ่าคน
พลบค่ำ
ตะวันเคลื่อนคล้อยใกล้ลับแผ่นฟ้า ชายชราคนหนึ่งจูงลาหนุ่มตัวหนึ่งเข้ามายังนครต้องห้าม
บนลาหนุ่มมีร่างบางอรชรนั่งอยู่ สวมชุดคลุมสีดำ หมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้ากว่าครึ่ง เผยให้เห็นเพียงคางน้อยๆ ขาวกระจ่างเรียบเนียน ผิวพรรณไร้รอยตำหนิราวหยกมันแพะ
ในเมืองอึกทึกครึกครื้นดั่งเช่นเคย เรื่องราวทางโลกมากมาย เจริญรุ่งเรืองราวกับกลุ่มควันลอยตลบ
“หลินสวินคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ ใครจะกล้าจินตนาการว่าเขาจะประสบความสำเร็จ”
“อะไรคือปาฏิหาริย์งั้นรึ ก็นี่อย่างไร ได้ยินว่าเมื่อทวนเล่มนั้นปรากฏขึ้น สวรรค์ก็ประทานด่านเคราะห์อสนีม่วง แต่โบราณกาลมายากที่จะได้พบเห็น!”
“นับจากนี้ไปใครยังจะกีดขวางหนทางผงาดง้ำของหลินสวินได้อีก บ้าระห่ำแล้วอย่างไร กำเริบเสิบสานแล้วอย่างไร คนเขามีความสามารถแน่จริง!”
ชายชราจูงลาหนุ่มย่างก้าวไปบนท้องถนนที่คึกคักคราคร่ำไปด้วยผู้คน ตลอดทางสิ่งที่ได้ยินมากที่สุดเห็นจะเป็นบทสนทนาเกี่ยวกับหลินสวิน
นั่นทำให้บนสีหน้าของชายชราเจือแววประหลาดสายหนึ่ง ไม่เจอกันเพียงไม่นาน เด็กหนุ่มคนนี้สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้แล้วงั้นรึ
ชายชราเหลือบตามองร่างบางอรชรซึ่งนั่งอยู่บนลาหนุ่มร่างนั้นอย่างอดไม่ได้
น่าเสียดาย เนื่องจากถูกหมวกปีกกว้างบดบังใบหน้า ทำให้เขาไม่อาจมองเห็นสีหน้าของนางได้ชัดเจน
“หลินสวินมานครต้องห้ามตั้งแต่เมื่อไหร่”
ทันใดนั้นภายใต้หมวกปีกกว้างพลันมีเสียงสงบเงียบเสนาะหูดุจเสียงจากธรรมชาติดังขึ้น ใสเย็นสะอาดเหมือนกับน้ำพุที่หลั่งไหลเรื่อยเฉื่อย ไพเราะเพราะพริ้งยากจะอธิบาย
“ประมาณหนึ่งปีแล้ว”
ชายชรากล่าวตอบ
“ทำไมข้าถึงไม่รู้”
“ต่อให้รู้แล้วก็ไม่อาจพบหน้ากันได้ ท่านยังต้องเติบโตและบำเพ็ญตน เขาก็ต้องเดินไปบนเส้นทางของตนเอง ทางที่ดีไม่พบกันเสียดีกว่า”
ชายชราอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทนหนึ่งประโยค
บนลาหนุ่ม ร่างบางอรชรตกอยู่ในความเงียบ
“กลับมาคราวนี้ อาจจะพบเจอเรื่องราวที่เสี่ยงอันตรายกว่าเดิม เวลาของคุณหนูมีไม่มากแล้ว นางหวังว่าท่านจะสามารถเติบโตขึ้นโดยเร็วที่สุด”
ชายชราเดินไปข้างหน้าพลางเอ่ยปากพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “เมื่อท่านมีพลังที่แข็งแกร่งพอ ก็สามารถทำเรื่องที่ตนเองต้องการทำได้ และไม่ต้องได้รับการคัดค้านอันใดอีก”
“เจ้าหมายถึงหลังจากกลับไปคราวนี้ มีช่วงเวลายาวนานที่ข้าไม่สามารถออกมาได้อีกงั้นรึ”
บนลาหนุ่ม น้ำเสียงไพเราะใสเย็นดังขึ้น
สีหน้าของชายชราเปลี่ยนเป็นจริงจัง ก่อนพยักหน้าตอบ “ประมาณนั้น”
ตลอดทางที่เดินไปข้างหน้า เด็กสาวตัวน้อยนิ่งเงียบตลอด จนกระทั่งมาถึงทางแยกอันคึกคักเส้นทางหนึ่ง นางพลันยกมือขึ้นให้ลาหนุ่มหยุดลง
ข้างทางแยกนั้นคือโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง มีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในสำนักศึกษามฤคมรกตวันนี้จนน้ำลายแตกฟอง
“เจ้าสำนักออกหน้า ถอนตำแหน่งของจ้าวจั้นเย่ราวลมสารทฤดูพัดกวาดใบไม้ที่ร่วงหล่นก็มิปาน ขับไล่เขาออกจากสำนักศึกษา แล้วยังทำให้เหล่าบุคคลสำคัญคนอื่นๆ ไม่อาจไม่ก้มหัวลง ไม่กล้าเป็นศัตรูกับหลินสวินอีก เห็นจะมีเพียงตระกูลจั่ว ฉิน ฉือ สามตระกูลที่ไม่ยอมอ่อนข้อให้ เห็นได้ว่าพวกเขาไม่เคยคิดปล่อยหลินสวินไปแต่แรก”
“นั่นน่ะสิ กล้าไม่เห็นแก่หน้าเจ้าสำนัก เกรงว่าจะมีเพียงตระกูลจั่ว ฉิน ฉือ สามตระกูลเท่านั้นแหละ ไม่รู้จริงๆ ว่าหลังจากนี้พวกเขาจะต่อกรกับหลินสวินเช่นไร”
“ความแค้นนี้ยากจะคลี่คลายลงได้จริงๆ ได้ยินมาว่าเหตุการณ์นองเลือดที่เกิดขึ้นบนภูเขาชำระจิตเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็มีสามตระกูลนี้อยู่เบื้องหลัง ความแค้นบาดหมางใหญ่หลวงถึงขั้นนี้ ไม่อาจคลี่คลายเช่นนี้ได้ตั้งแต่แรก”
สาวน้อยฟังอยู่ข้างๆ ครู่ใหญ่แล้วพลันกล่าว “ก่อนจะกลับไป ข้าอยากไปดูสถานที่บางแห่ง”
ชายชราเหมือนเดาอะไรออก บนใบหน้าเมตตาอ่อนโยนปรากฏความจนปัญญาที่ยากจะได้เห็น ครู่ใหญ่จึงพูดว่า “มากสุดหนึ่งชั่วยาม”
“ได้”
คำตอบของสาวน้อยสั้นกระชับได้ใจความ
…
ยอดเขากระเรียนเหิน
นี่คือหนึ่งในเจ็ดสิบสองภูเขาแห่งอำนาจของตระกูลทรงอิทธิพล เป็นอาณาเขตของตระกูลฉือ รูปร่างคล้ายกับกระเรียนเหินทะยานขึ้นเหนือเมฆ ซึบซับพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน
ยามโพล้เพล้วันนี้ เด็กหญิงคนหนึ่งที่นั่งบนลาหนุ่มโดยมีชายชราผู้หนึ่งจูงได้มาถึงเบื้องหน้ายอดเขากระเรียนเหิน
หน้ายอดเขามีผู้คุ้มกันกร้าวแกร่งจำนวนหนึ่งปกป้องประตูทางเข้าอยู่ หลังจากเห็นชายชราและเด็กหญิงก็มีคนหนึ่งเดินออกมาทันที ตะโกนถามเสียงดัง “พวกเจ้าเป็นใคร มายังตระกูลฉือข้าด้วยเรื่องอันใด”
แม่นางน้อยเงยหน้าขึ้น สายตามองยอดเขากระเรียนเหินเงียบๆ ครู่หนึ่งถึงค่อยกล่าวตอบ “ข้าชื่อซย่าจื้อ ข้ามาฆ่าคน”
น้ำเสียงช่างงดงามดุจเสียงธรรมชาติ แต่ความหมายในคำพูดกลับพาให้ผู้คนตระหนกตกใจ
ผู้คุ้มกันคนนั้นชะงักงันไปครู่หนึ่ง แทบไม่กล้าเชื่อหูตนเอง หลายปีที่ผ่านมามีใครหน้าไหนกล้ามาลำพองในอาณาเขตของตระกูลฉือบ้าง
แต่วันนี้กลับมีแม่นางน้อยคนหนึ่งมาประกาศว่าจะฆ่าคนซะอย่างนั้น!
นี่มันแปลกประหลาดเกินไปแล้ว
“ฆ่าคน?”
ผู้คุ้มกันสีหน้าพิลึกพิลั่น “หนูน้อย เจ้ารู้ไหมว่าที่นี่คือที่ใด”
“รู้ ตระกูลฉือ”
เด็กหญิงน้ำเสียงราบเรียบ
ผู้คุ้มกันไม่พอใจทันที “รู้แล้วยังจะกล้ามาพูดเพ้อเจ้อ นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายหรือ รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นพวกเจ้าก็อย่าหวังจะได้กลับไป!”
เคร้ง!
แม่นางน้อยน้อยเหยียดมือบางขาวกระจ่างออกมาข้างหนึ่ง กลางฝ่ามือปรากฏทวนหนึ่งเล่ม ความยาวประมาณหนึ่งจั้ง ตัวทวนแผ่แสงดาราเย็นยะเยือกพร่าเลือนเสมือนภาพมายา
นางสวมชุดคลุมสีดำ หมวกปีกกว้างปิดบังใบหน้าไว้ เรือนร่างอรชร เห็นได้ชัดว่าเป็นเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เมื่อนางกุมทวนประกายดาราเล่มนั้นกลับประหนึ่งเปลี่ยนไปเป็นคนละคน!
ไอสังหารยากอธิบายเข้าปกคลุมพื้นที่แถบนั้น ราวกับความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์มาเยือน ทำให้ฟ้าดินล้วนมืดสลัว ประหนึ่งจมดิ่งลงสู่ความมืดมิด
แต่แม่นางน้อยกลับเสมือนราชันที่ยืนเด่นท่ามกลางความมืดนั้น มือจับทวนมั่น กลายเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิด!
ฟุ่บ!
พริบตาเดียวเท่านั้น ผู้คุ้มกันคนนั้นไม่ทันได้ตอบสนองด้วยซ้ำ ลำคอก็ถูกปลายทวนไร้รูปตัดขาด เลือดสดสาดกระจาย ล้มลงกับพื้นโดยไร้สุ้มเสียง
ดวงตาเขาเบิกโพลงเต็มไปด้วยความงุนงง แม้ตายแล้วก็ยังไม่เข้าใจ เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเช่นนี้ เหตุใดจึงกล้ามาฆ่าคนหน้ายอดเขากระเรียนเหินตระกูลฉือ!
นางเป็นใคร?
ชายชราจูงลาหนุ่มยืนเงียบๆ อยู่อีกด้าน สีหน้าราบเรียบไร้คลื่นลม ยังคงมีความอ่อนโยนเมตตาเหมือนก่อนหน้านี้ เพียงแต่สายตาที่มองแม่นางน้อยในบางครั้ง จะเผยแววซับซ้อนยากเข้าใจวูบหนึ่ง
“บังอาจ!”
“ถึงกับกล้าฆ่าคนในอาณาเขตตระกูลฉือของข้า รนหาที่ตาย!”
ผู้คุ้มกันพวกนั้นที่เฝ้าประตูเขาอยู่ห่างๆ ต่างถูกทำให้ตื่นตกใจ แผดเสียงคำรามด้วยความเดือดดาล ชัดดาบศึกพุ่งตรงเข้ามา
ฟุ่บ! ฟุ่บ! ฟุ่บ!
เด็กหญิงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างนิ่งสงบ ชายชุดคลุมดำพลิ้วไหว ประหนึ่งเปลี่ยนเป็นเงาในความมืดมิด มีเพียงทวนในมือที่ตลบอบอวลไปด้วยประกายดาราราวภาพฝัน
เพียงนางสะบัดข้อมือ ผู้คุ้มกันแต่ละคนที่พุ่งเข้ามาก็ราวกับถูกใบมีดคมกริบไร้รูปกวาดผ่าน ลำคอถูกตัดขาด ร้องทุรนทุรายก่อนจะล้มลงกับพื้นแล้วตายไป
นี่เป็นภาพวาดนองเลือดอันน่าพรั่นพรึง ความมืดมิดดุจผืนฉากปกคลุมที่แห่งนี้ บนพื้นมีร่างไร้วิญญาณนอนเลือดอาบทั่วผืนดิน
ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีใครเห็นว่าเด็กหญิงลงมืออย่างไร และไม่มีใครสามารถดิ้นรนขัดขืนได้อย่างสิ้นเชิง
เหมือนกับว่าเมื่อถูกปกคลุมด้วยความมืดมิดลึกล้ำนั้น ชีวิตจักถูกปลิดชีพวาย
“รีบๆ ไปรายงานเร็วเข้า มีศัตรูบุกโจมตี!”
ในประตูหน้ามีคนตะโกนเสียงดังลั่น
ไม่นานก็มีคนในตระกูลฉือถูกทำให้ตื่นตระหนก ทยอยกันออกมา
ที่นี่คือนครต้องห้าม ตระกูลฉือเป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพล เกือบพันปีมานี้ล้วนไม่เคยมีผู้ใดกล้ามาล่วงเกิน
แต่มาวันนี้กลับมีคนกล้ามาประชิดประตูหน้า ฆ่าสังหารอย่างเปิดเผย ถือเป็นการยั่วยุตระกูลฉืออย่างร้ายแรง!
เด็กหญิงยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับแม้สักก้าว นิ่งเงียบราวราตรีรัตติกาลที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ ประหนึ่งว่าในสายตาของนาง ไม่เคยรู้ว่าอะไรที่เรียกว่าถอยหนีและหวาดกลัว
ฟุ่บๆๆ!
เมื่อผู้ฝึกปราณตระกูลฉือพุ่งออกมากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า ล้วนถูกความมืดมิดแถบนั้นปกคลุม และถูกช่วงชิงชีวิตไปอย่างรวดเร็วรุนแรงโดยไม่มีข้อยกเว้น
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่มีใครสามารถดิ้นรนหลบหนี
ตะวันสาดแสงดั่งโลหิต แต่กลับไม่อาจขับไล่ความมืดมิดและกลิ่นคาวเลือด ณ ที่แห่งนี้ไปได้ บนพื้นเรียงรายไปด้วยศพ เลือดสีแดงสดข้นคลั่กไหลชโลม ย้อมพื้นดินให้กลายเป็นสีโลหิต
นี่คือการสังหารหมู่
เด็กหญิงยืนนิ่งสงบอยู่อย่างนั้น มือคว้าจับทวนยาวราวกับภาพฝันเล่มหนึ่ง ทำให้ความมืดมิดมาเยือน ตัดสินเป็นตายอย่างเย็นชาไร้น้ำใจ
จนกระทั่งผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะสี่คนเข้าโจมตี ในที่สุดเด็กหญิงก็เริ่มขยับตัว เพียงแต่การขยับตัวนั้นดูตามแต่ใจและเรียบง่ายมากเช่นเดิม
เพียงแค่โบกสะบัดทวนยาวในมือเล็กน้อย ในความมืดนั่นก็ปรากฏดวงดาวสีเลือดดวงแล้วดวงเล่าร่วงหล่นจากกลางอากาศ
ทว่าในเวลาเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งระดับหยั่งสัจจะทั้งสี่คนกลับถูกพิฆาต ณ ตรงนั้น พวกเขาเพิ่งจะเรียกสมบัติของตนเองออกมา เตรียมสำแดงวิชาลับของตน กำลังจะฆ่าศัตรูด้วยเพลิงพิโรธที่สุมอก… แต่กลับกลายเป็นเหมือนต้นหญ้าไร้ค่า ถูกกวาดล้างสังหารสิ้น!
เวลานี้ในที่สุดบุคคลสำคัญของตระกูลฉือก็ถูกทำให้ตื่นตระหนก บนยอดเขากระเรียนเหินบังเกิดเสียงตะโกนดังลั่นราวฟ้าผ่า…
“ตำหนักรัตติกาล! พวกเจ้าถึงกับกล้าลงมือกับตระกูลฉือของข้ารึ!?”
“ควรไปแล้ว”
ชายชราที่คอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ มาตลอดได้ยินดังนั้นก็ก้าวมาอยู่ข้างกายเด็กหญิง แต่มิได้ว้าวุ่นอันใด สีหน้ายังคงอ่อนโยนเมตตาและสงบนิ่งดังเดิม
“อืม”
เด็กหญิงพยักหน้า นางมาเพื่อฆ่าคน ไม่ได้มาเพื่อรนหาที่ตาย รู้ว่าหากรั้งอยู่ต่อไปจะต้องเผชิญหน้ากับอันตรายจำนวนมาก
พริบตานั้นสองคนและหนึ่งลาหนุ่มก็หายไปจากตรงนั้น
“เจ้าทาสชั้นต่ำ! พวกเจ้ารังแกคนอื่นเกินไปแล้ว ข้าจะไปปราสาทรัตติกาลทวงคืนความเป็นธรรมด้วยตนเองให้จงได้!”
บนยอดเขากระเรียนเหิน เสียงคำรามด้วยความคับแค้นแผดดังขึ้น ราวกับเทพองค์หนึ่งกำลังระบายความเดือดดาล สั่นสะเทือนเก้าชั้นฟ้า เมฆาวาโยพลันเปลี่ยนสี
…
ยอดเขาเมฆาหวน
อาณาเขตของตระกูลจั่ว หนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
ยามอาทิตย์อัสดง หนึ่งชายชรา หนึ่งเด็กหญิง และหนึ่งลาหนุ่มปรากฏตัว ณ ที่แห่งนี้
“ข้าชื่อซย่าจื้อ ข้ามาฆ่าคน”
หลังจากที่เด็กหญิงเอ่ยประโยคนี้จบ การเข่นฆ่านองเลือดก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้งโดยไม่มีข้อยกเว้น
ครั้งนี้สังหารไปสี่สิบหกศพ เลือดหลั่งย้อมปฐพี
เมื่อพวกคนใหญ่คนโตของตระกูลจั่วมีปฏิกิริยาตอบสนอง ชายชราและเด็กหญิงก็ลอยล่องหายไปอีกครา
ต่อจากนั้นเรื่องราวอย่างเดียวกันก็เปิดฉากขึ้นอีกครั้งที่ยอดเขาตะวันคราม ที่แห่งนี้คืออาณาเขตตระกูลฉิน หนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง
จนกระทั่งดวงตะวันคล้อยลงต่ำ เมื่อราตรีกาลอันมืดมิดมาถึง เวลาหนึ่งชั่วยามได้หมดลงแล้ว
เด็กหญิงเงียบไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กล่าวว่า “ต้องมีสักวัน ข้าจะกำจัดสามตระกูลนี้ให้สิ้นซาก”
ท้ายที่สุดชายชราไม่อาจนิ่งสงบได้อีก ยิ้มขื่นอย่างจนใจ
“ไปเถอะ”
ชายชราจูงลาหนุ่มพาเด็กหญิงจากไป
แต่ในค่ำคืนนี้ เรื่องราวการเข่นฆ่านองเลือดที่เกี่ยวข้องกับตระกูลฉือ จั่ว และฉิน ก็แพร่กระจายไปทั่วนครต้องห้ามด้วยความเร็วที่คาดไม่ถึง นำพาความปั่นป่วนโกลาหล ทำให้ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างรู้สึกถึงความสั่นสะเทือนที่ยากจะเอ่ย
เกือบพันปีมานี้ ใครเล่าจะกล้ายั่วยุตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง นั่นคือขุมอำนาจใหญ่ซึ่งอยู่เหนือสุดในจักรวรรดิ มีอิทธิพลสะท้านฟ้า อานุภาพร้ายกาจ!
แต่มาวันนี้กลับมีเด็กหญิงนามซย่าจื้อปรากฏตัวหน้าตระกูลฉือ จั่ว และฉินติดต่อกัน เปิดฉากฝนโลหิตคาววายุฉากแล้วฉากเล่าด้วยท่าทางเปิดเผย!
…………………