Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 507 ผู้กล้าหญิงแห่งยุค
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 507 ผู้กล้าหญิงแห่งยุค
หลินสวินเองก็ผิดคาดอยู่บ้าง ไม่คิดว่าจ้าวเสวียนจะร้องขอเช่นนี้
“มาเถอะ ลองดูสักหน่อย แค่ศึกษาแลกเปลี่ยนวิถียุทธ์กันเท่านั้น”
จ้าวเสวียนยิ้มน้อยๆ อาภรณ์ม่วงพลิ้วไหว นิ้วทั้งห้าเหยียดกางเป็นกรงเล็บ โคจรพลังน่ามหัศจรรย์ออกมา บอบบางนุ่มนวลประหนึ่งเด็ดบุปผา
ฮูม~
อากาศภายในโถงครวญคร่ำทรุดตัวลงโดยมีจ้าวเสวียนเป็นศูนย์กลาง ก่อให้เกิดพลังพังทำลายอันน่าหวาดกลัว หมายกำราบหลินสวินลงในนั้น
ทันทีที่ผู้เชี่ยวชาญออกมือก็รู้ว่ามีหรือไม่มีความสามารถ แค่กางนิ้วออกแผ่วเบาเท่านั้น กลับปรากฏพลังทำลายล้างอันน่าพรั่นพรึงอย่างฟ้าถล่มดินทลาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในวิถียุทธ์จ้าวเสวียนมาอยู่ในระดับยอดเยี่ยมร้ายกาจแล้ว
หลินสวินใช้ก้าวย่างชือน้ำแข็งโดยไม่ต้องคิด ไม่ถอยร่นแต่กลับบุกเข้าไป กำหมัดจู่โจมออกไปราวสายฟ้าฟาด เรียบง่าย หมดจด ตรงไปตรงมา พุ่งเข้าใส่จุดบอบบางของพลังกรงเล็บของจ้าวเสวียน
เสียงปึงดังสนั่น อากาศภายในโถงไหลหลั่งพวยพุ่ง ม้วนกลืนไปรอบทิศ
“ไม่เลวดังคาด”
จ้าวเสวียนนัยน์ตาเป็นประกายเอ่ยเสียงชม ร่างดุจสายลมเย็นสายหนึ่ง ก้าวย่างอย่างมั่นคง พริบตานั้นนิ้วมือก็ตัดขวางมุ่งมายังลำคอหลินสวิน
หลินสวินผงะในใจวูบหนึ่ง เบี่ยงร่างหลีกหลบฉับพลัน เท้ายังไม่แตะพื้นก็เหินทะยานเข้าโจมตีประหนึ่งการหมุนวนของลูกข่าง
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินคาดไม่ถึงคือ ไม่รอให้เข้าประชิด ร่างจ้าวเสวียนพลันพุ่งเข้าหา ราวมังกรฟ้าออกจากหุบเหวลึก นิ้วมือประสานกระแทกใส่กำปั้นหลินสวิน
ปึง!
ทั้งสองปะทะกัน หลินสวินรู้สึกเพียงกระดูกราวกับถูกค้อนฟาด ถึงขั้นรู้สึกชา นัยน์ตาหดรัดทันใด ร่างกายเขาในตอนนี้ถูกเคี่ยวกรำจนแข็งแกร่งหาใดเปรียบ ใกล้จะสมบูรณ์แบบเต็มที เพียงพอที่จะเทียบเคียงอาวุธศักดิ์สิทธิ์ ดาบกระบี่ยากทำให้เกิดบาดแผล
แต่การโจมตีเดียวของจ้าวเสวียนถึงกับสามารถทำให้เขาเกิดอาการชาราวกับถูกสายฟ้าฟาด นี่เห็นได้ว่าไม่ธรรมดาเกินไปแล้ว
“พลังกายแข็งแกร่งมาก คงไม่ใช่ว่าใช้วิธีหลอมกายไปด้วยพร้อมกันกระมัง”
จ้าวเสวียนนัยน์ตาวาววาบส่องประกายดั่งดวงดาว ขณะพูดก็ก้าวขึ้นมาเบื้องหน้า แต่ละก้าวพื้นดินล้วนปรากฏรอยสลักมังกรม่วง เสมือนมังกรฟ้าตัวแล้วตัวเล่าฟื้นคืนกลับมา ทำให้พละกำลังของเขาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ!
หลินสวินเองก็ถูกกระตุ้นอารมณ์แห่งการต่อสู้ สำแดงเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ออกมาหักล้าง
ชั่วขณะนั้นเงาร่างพลิกทะยานทั่วโถง คลื่นลมรุนแรงส่งเสียงกัมปนาท หากไม่ใช่ทั้งสองต่างตั้งใจยั้งพลังและลมปราณเอาไว้ โถงใหญ่แห่งนี้คงถูกทำลายไปนานแล้ว
หลังจากนั้นครู่หนึ่งทั่วร่างจ้าวเสวียนพลันส่องแสงระยับ ตบฝ่ามือหนึ่งออกไปเบาๆ ทว่ากลับเหมือนพญามังกรทะยานสู่ฟากฟ้า แรงกดดันปกคลุมไปทั่วทั้งจตุรทิศ มุ่งไปอย่างอาจหาญไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ตูม!
ภายใต้การโจมตีเดียว หลินสวินต้องถอยหลังไปถึงสามก้าว เลือดลมทั่วร่างโหมซัด นี่ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
นับตั้งแต่ฝึกปราณถึงระดับมหาสมุทรวิญญาณขั้นสมบูรณ์ เขาเพิ่งเคยปะทะกับผู้ที่มีพลังทรงอานุภาพอย่างจ้าวเสวียนเช่นนี้เป็นครั้งแรก และเป็นครั้งแรกที่รู้สึกได้ถึงแรงกดดันซึ่งไม่เคยได้รับมาก่อน
คนอื่นต่างมองเห็นเขาเป็นปีศาจมีพลังสามารถพลิกฟ้าได้ แต่จ้าวเสวียนที่อยู่ตรงหน้าเห็นชัดว่าก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากัน ถึงขั้นมองเห็นว่าร้ายกาจกว่าด้วยซ้ำ!
เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่
เหตุใดก่อนหน้านี้ไม่เคยได้ยินมาก่อน
ถึงขั้น… เทียบกับกู้อวิ๋นถิงนั่นแล้วมีแต่จะเหนือกว่า!
ขณะคิดในใจเช่นนั้น การเคลื่อนไหวของหลินสวินก็ไม่ได้ช้าลงเพียงนิด ไม่กล้าเก็บงำเอาไว้อีก เผยพลังยุทธ์ที่ตนมีออกมาจนหมด
ปังๆๆ!
ภายในโถงหลินสวินปล่อยหมัดอย่างรุนแรง บ้างประหนึ่งทลายภูผาผ่าสมุทร บ้างดุจมังกรทะยานทำลายฟ้า บ้างเกิดแรงกดดันปกคลุมทั่วทั้งแปดทิศ บ้างมีพลังอำนาจกลืนสวรรค์ผลาญอากาศ
“เยี่ยม!”
จ้าวเสวียนชายเสื้อพลิ้วไหว อาภรณ์ม่วงดั่งเพลิงผลาญ นัยน์ตาสว่างวาบยิ่งกว่าเดิม ไม่ปิดบังความชื่นชมของตนแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับหลินสวินแล้ว เขาก็เหมือนมังกรฟ้าตัวหนึ่ง คำรามก้องฟ้าดิน ก้มมองใต้หล้า มีจิตใจห้าวหาญที่เหลือบแลใต้หล้าบุกตะลุยทั่วทิศ
เพียงแต่เมื่อได้ยินคำชมเหล่านี้ ในใจหลินสวินกลับไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง
เขาฝึกปราณมาถึงทุกวันนี้ เรียกได้ว่าอยู่เหนือคนรุ่นเดียวกันโดยตลอด ถึงกับเคยข้ามระดับสังหารผู้ฝึกปราณระดับหยั่งสัจจะมาแล้ว ในใจจึงถูกปลูกฝังความเชื่อมั่นว่าไร้คู่ต่อกรนานแล้ว ไม่มีทางยอมรับคำชื่นชมเช่นนี้เป็นธรรมดา
ตูม!
ไม่ต้องพูดให้มากความ ลักษณะพลังของหลินสวินเปลี่ยนไปอีกครั้ง กระบวนท่าแปรเปลี่ยนเป็นเรียบง่ายธรรมดา ไม่ลึกลับซับซ้อน ไม่เจือกลิ่นอายผลาญเผาสักนิด
แต่อานุภาพของวิชาหมัดกลับแข็งแกร่งกว่าเมื่อครู่หนึ่งช่วง แฝงไปด้วยแก่นจริงแท้อันยอดเยี่ยมของการกลับคืนสู่สามัญ
ทว่าสิ่งที่ทำให้หลินสวินคิ้วขมวดก็คือ ขณะที่เขาแข็งแกร่งขึ้น จ้าวเสวียนที่อยู่ตรงหน้าก็แข็งแกร่งขึ้นด้วยเช่นกัน ไม่ยอมให้ตัวเองเสียเปรียบแม้แต่น้อย
“เจ้าหมอนี่เป็นคนวิปริตคนหนึ่งจริงๆ!” หลินสวินลอบพึมพำกับตัวเองประโยคหนึ่ง
เขาไม่รู้หรอกว่าในใจจ้าวเสวียนตกใจเสียยิ่งกว่าเขาด้วยซ้ำ เดิมทีแค่อยากศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้ หยั่งเชิงพลังยุทธ์ของหลินสวินสักหน่อยว่าแท้จริงแล้วแข็งแกร่งเหมือนดังข่าวลือหรือไม่
แต่ผลปรากฏว่า ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ของหลินสวินนั้นมากยิ่งกว่าข่าวลือเสียอีก!
“ช่างเป็นตัวประหลาดจริงๆ”
จ้าวเสวียนเองก็แอบพึมพำกับตัวเอง
สำหรับการเรียกหลินสวินว่าตัวประหลาดนั้น จ้าวไท่ไหลในตอนนี้ก็คิดแบบเดียวกัน เมื่อเห็นหลินสวินและจ้าวเสวียนต่อสู้กันอย่างสูสี ดวงตาเขาก็แทบถลนออกมาอยู่แล้ว เป็นสิ่งยากพบเห็นจนน่าตกตะลึงอยู่บ้าง
เขาเองรู้ดีว่าจ้าวเสวียนน่ากลัวมากขนาดไหน แต่หลินสวินกลับสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ ก็มีเพียง…ใช้คำว่าตัวประหลาดคำนี้มาอธิบายแล้ว!
ตูม!
เมื่อการจู่โจมของหลินสวินถูกสลายลงอีกครั้งก็ไม่มีการโต้กลับ จ้าวเสวียนพลันหยุดมือ
“ไม่สู้แล้ว?” หลินสวินคิ้วขมวด
“หากสู้ต่ออีกก็ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนความรู้แล้ว” จ้าวเสวียนยิ้มน้อยๆ เผยให้เห็นฟันขาวดุจหิมะเรียงเป็นระเบียบ รอยยิ้มสะอาดบริสุทธิ์ประหนึ่งแสงตะวัน
“เจ้าหนู เจ้าอย่าได้ไม่ยอมเลย เจ้าสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ก็นับว่ายากมากแล้ว” จ้าวไท่ไหลทอดถอนใจ
หลินสวินยิ้มน้อยๆ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ เขายังไม่ได้ใช้ไพ่ตายที่แท้จริง แน่นอนว่าไม่อาจเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้
“เจ้าไม่เลวเลยจริงๆ อย่างน้อยในระดับมหาสมุทรวิญญาณก็ยากจะหาคู่ต่อกร”
จ้าวเสวียนดูเหมือนจะยอมรับหลินสวินแล้ว คำพูดจึงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนขึ้นมาก กล่าวด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หากมีโอกาส ข้าหวังว่าเจ้าก็จะไปดินแดนรกร้างโบราณเช่นกัน ผู้กล้าที่รวมตัวกันที่นั่นล้วนเป็นเหล่าผู้ที่ช่วงชิงความเป็นใหญ่ มีบุคคลแห่งยุคที่เจิดจรัสราวดาวหางนับไม่ถ้วน มีเพียงอยู่ที่นั่นจึงจะสามารถทำให้เจ้าและข้าเข้าใจความหมายของการประลองยุทธ์อย่างแท้จริง”
ในสีหน้าปรากฏแววใฝ่ฝันรางๆ
“หากมีโอกาสจะต้องไปสักครั้งแน่นอน” หลินสวินดับความต้องการต่อสู้ภายในใจ กล่าวตอบอย่างเรียบง่าย
จ้าวเสวียนยิ้มน้อยๆ ไม่กล่าวมากความอีก บอกลาแล้วจากไป
แต่จ้าวไท่ไหลกลับยังคงอยู่ เขายังต้องพูดคุยกับหลินสวินเกี่ยวกับเรื่องการหลอม ‘กระถางสมบัติเก้ามังกร’ ต่อ
มองส่งจ้าวเสวียนจากไป หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพลันเอ่ยถาม “แม่นางคนนี้เป็นใครกันแน่”
จ้าวไท่ไหลชะงักกึก กล่าว “อย่างที่คิด ปิดบังเจ้าไม่ได้จริงๆ นางก็คือทายาทเพียงคนเดียวของจักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน… องค์หญิงจิ่งเซวียน”
องค์หญิงจิ่งเซวียน?
ความรู้สึกนี้สำหรับหลินสวินถือว่าแปลกใหม่ เขารู้จักแค่องค์หญิงหลิงหวง นั่นเป็นเด็กสาวที่หยิ่งยโสทะนงตนเสียจนทำให้ผู้คนอิดหนาระอาใจคนหนึ่ง
“เจ้าไม่รู้จักองค์หญิงจิ่งเซวียนถือว่าปกติ ตั้งแต่นางเกิดมาก็ถูกส่งไปดินแดนรกร้างโบราณ กราบเป็นศิษย์ฝึกตนในแดนศักดิ์สิทธิ์โบราณแห่งหนึ่ง ปีที่แล้วเพิ่งจะกลับมายังจักรวรรดิ ปรากฏตัวน้อยมาก คนทั่วไปยากนักที่จะรู้ถึงการมีอยู่ของนาง”
จ้าวไท่ไหลทอดถอนใจ “แต่ไม่ต้องสงสัยเลย องค์หญิงจิ่งเซวียนคือบุคคลยอดเยี่ยมที่มีรูปลักษณ์หาใครเสมอเหมือน สืบทอดสายเลือดของจักรพรรดิและจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ตั้งแต่เด็กได้ศึกษามรดกชั้นยอดแห่งราชวงศ์ ‘คัมภีร์จักรพรรดิพญามังกร’ และตำราลับบรรพกาล ‘คัมภีร์ยอดอมตะ’”
“ที่หาได้ยากที่สุดคือองค์หญิงจิ่งเซวียนฉลาดเฉียบแหลม พรสวรรค์ไม่เป็นสองรองใคร อายุได้เจ็ดปีก็ก้าวเข้าสู่ระดับมหาสมุทรวิญญาณแล้ว”
“ยามอายุสิบสามปีก็ก้าวเข้าสู่ระดับหยั่งสัจจะ สิ่งนี้ในดินแดนรกร้างโบราณเรียกได้ว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างหนึ่ง”
“เพียงแต่หลังจากนั้นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันเห็นว่านางบำเพ็ญเพียรได้ราบรื่นเกินไป หากเผชิญกับความล้มเหลวเพียงครั้ง คงจะเกิดอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาเป็นแน่ ด้วยเหตุนี้จึงลงมือสะกดข่มระดับปราณของนางเอาไว้ด้วยตัวเอง เวลาล่วงเลยจวบจนทุกวันนี้ก็สิบปีได้แล้ว”
“หากไม่ใช่เพราะถูกสะกดไว้ตลอดสิบปีมานี้ เฮ้อ ด้วยพลังขององค์หญิงจิ่งเซวียนเกรงว่าคงเริ่มเข้าสู่ระดับกระบวนแปรจุตินานแล้ว!”
ฟังถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็ยากที่จะนิ่งสงบได้ ถูกทำให้ตกตะลึงแล้ว
เป็นจริงดังคาด บนโลกนี้ไม่เคยขาดผู้มีพรสวรรค์ หากเป็นดังที่จ้าวไท่ไหลกล่าวมา องค์หญิงจิ่งเซวียนคนนี้ก็คือผู้ฝึกปราณอัจฉริยะโดยกำเนิดอย่างแท้จริง มีพรสวรรค์และพลังแฝงเหนือจินตนาการ
ประกอบกับบิดาของนางเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน มารดาเป็นจักรพรรดินีองค์ปัจจุบัน ตั้งแต่เด็กยังไปฝึกตนในแดนพิสุทธิ์แห่งหนึ่งในดินแดนรกร้างโบราณ ทำให้นางสามารถเดินบนเส้นทางการฝึกปราณได้อย่างราบรื่นสมบูรณ์ กล้าพุ่งไปข้างหน้าอย่างไม่มีสิ่งใดกีดขวาง!
บางทีผู้กล้าหญิงแห่งยุคเช่นนี้จึงจะเรียกได้ว่าเป็นผู้กล้าอย่างแท้จริง เปรียบดังตะวันจันทราบนผืนฟ้า เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนอับแสง
“ตอนนี้เจ้าน่าจะเข้าใจแล้วกระมัง ว่าการได้รับการยอมรับจากองค์หญิงจิ่งเซวียนเมื่อครู่ถือว่าโชคดีมากเพียงใด” จ้าวไท่ไหลกล่าวอย่างทอดถอนใจ
“นางมีวิถีของนาง ข้ามีเส้นทางของข้า ยอมรับหรือไม่ยอมรับล้วนไม่มีอะไรแตกต่าง” หลินสวินพูดอย่างเรียบง่าย
เป็นผู้ฝึกปราณต้องยืนหยัดบนหนทางแห่งตน มิฉะนั้นก็จะสูญเสียเจตจำนงและใจแสวงหาความก้าวหน้า!
การประลองยุทธ์นี้ใครเหนือกว่า?
เวลานี้พูดถึงความสูงต่ำยังถือว่าเร็วเกินไป!
เห็นท่าทีหลินสวินสงบนิ่ง ไม่ตื่นตระหนกตกใจ ไม่ได้รับผลกระทบเพียงนิด ทำให้จ้าวไท่ไหลรู้สึกผิดคาดโดยพลัน ครู่ใหญ่จึงเอ่ยปากชมอย่างประหลาดใจ “ยอดเยี่ยมมาก เจ้าหนูเจ้าเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่วีรบุรุษรุ่นเยาว์เท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลยทีเดียว”
หลินสวินแย้มยิ้ม “ผู้อาวุโส ท่านก็เป็นผู้สูงศักดิ์ที่ข้าดูไม่ออกที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมาเช่นกัน ตอนนี้เราสองคนมาว่ามาเถอะ การที่องค์หญิงจิ่งเซวียนมาหาข้าคราวนี้ เป็นความคิดของท่านหรือเป็นความคิดของคนใหญ่คนโตท่านนั้นในราชวังกันแน่”
จ้าวไท่ไหลหัวเราะเสียงดัง “เจ้าได้รับการยกย่องจากองค์หญิงจิ่งเซวียนแล้ว ถึงถามเรื่องพวกนี้ไปจะแตกต่างอะไรเล่า ยังจำเรื่องที่ข้าบอกเจ้าครั้งที่แล้วได้ไหม ยิ่งการแสดงออกของเจ้าโดดเด่นเท่าไหร่ก็จะได้รับความสนใจจากจักรวรรดิมากเท่านั้น ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเป็นจริงแล้วหรอกรึ”
หลินสวินปวดศีรษะทันที อดถลึงตาใส่อีกฝ่ายไมได้ ตาแก่นี่ปลิ้นปล้อนเกินไปแล้ว คิดอยากจะได้คำตอบที่แน่ชัดจากปากเขายากยิ่งกว่าตะกายขึ้นฟ้าเสียอีก
“งั้นก็ตามนี้ รอสักสองสามวันหลังงานแถลงของเจ้าที่อัครการค้าเสร็จสิ้นลง ข้าจะส่งวัตถุดิบวิญญาณและแผนภาพสำหรับหลอมกระถางสมบัติเก้ามังกรมาให้เจ้า”
“ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าได้ตกม้าตายตอนจบเด็ดขาดเชียว มีเรื่องกับหลิงเทียนโหวและองค์หญิงหลิงหวงน่ะไม่เป็นไร แต่หากทำให้องค์หญิงจิ่งเซวียนไม่พอใจ เช่นนั้นข้าก็ไม่อาจช่วยเหลืออะไรเจ้าได้อีก”
พูดคุยกันต่ออีกครู่หนึ่ง จ้าวไท่ไหลก็กล่าวอำลาจากไปอย่างรีบเร่ง เหมือนกับกระต่ายเฒ่าตัวหนึ่งวิ่งเร็วเสียยิ่งกว่าใคร กลัวถูกหลินสวินถามเรื่องอะไรอีก
“ดูท่าสถานะขององค์หญิงจิ่งเซวียนในราชวงศ์คงพิเศษโดดเด่นไม่เป็นรองจริงๆ แม้แต่หลิงเทียนโหว องค์หญิงหลิงหวงต่างก็ไม่สามารถเทียบนางได้…”
หลินสวินใคร่ครวญ
เขารู้ว่าจ้าวไท่ไหลเจตนาพูดเรื่องนี้ให้เขาฟัง
ไม่นานหลินสวินก็ส่ายศีรษะไม่คิดมากอีก เขาตัดสินใจแล้วว่าจะต้องไปเจอพวกหลินจง จูเหล่าซานให้เร็วที่สุด
หนึ่งเพื่อจัดการปัญหาการทะลวงระดับของจูเหล่าซาน สองก็คือนำชุดศึกสลักวิญญาณที่หลอมออกมาชิ้นนั้นไปให้หลินจง จะได้เตรียมพร้อมสำหรับการเปิดงานแถลงที่อัครการค้าอันใกล้นี้!
………………