Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 512 บุญคุณความแค้นในตอนนั้น
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 512 บุญคุณความแค้นในตอนนั้น
ร่างในชุดสีขาวนวลทั้งตัว รูปร่างสูงโปร่ง ผมยาวสีดำรวบไว้หลังศีรษะอย่างลวกๆ เผยให้เห็นใบหน้าสุภาพหล่อเหลาอบอุ่น ดวงตากระจ่างลึกล้ำ
เมื่อหลินสวินปรากฏกายบนยกพื้น สายตาของทุกคนทั้งที่นั้นก็พากันทอดมองไปที่เขาทันใด เมื่อได้เห็นหลินสวินด้วยตาเข้าจริง หลายคนก็ยังไม่อาจทำใจเชื่อได้อยู่บ้าง
อ่อนวัยเกินไปแล้ว
ก็เหมือนเด็กหนุ่มข้างบ้านท่าทางงดงาม ในช่วงวัยของเขา ส่วนใหญ่ยังกำลังฝึกปราณและพัฒนาตัวเองอย่างแข็งขันราวกับลูกวัวแรกเกิด แม้เต็มไปด้วยชีวิตชีวา แต่คิดจะให้เขาบนหัวงอกออกมาสุดท้ายก็ต้องใช้เวลาสั่งสมอยู่ดี
แต่หลินสวินนั้นต่างออกไป ความสำเร็จที่เขาทำได้ถึงตอนนี้ ก้าวข้ามคนวัยเดียวกันไปนานแล้ว ทำให้ทั้งใต้หล้าล้วนหวั่นกลัวเขา
ใครจะคาดคิดได้ว่าเด็กหนุ่มเช่นนี้ผู้หนึ่ง ตอนนี้จะบรรลุเข้าสู่ขั้นเกินธรรมดาในศาสตร์สลักรอยวิญญาณ พาให้ปรมาจารย์สลักวิญญาณรุ่นอาวุโสมากมายล้วนล้าหลังไล่ไม่ทันได้เล่า
อีกทั้งใครจะคาดคิดว่า ความรุ่งเรืองราวดาวหางของเด็กหนุ่มผู้นี้ ผ่านลมฝนและการเคี่ยวกรำมากมาย แต่กลับไม่เคยถูกเล่นงานให้ล้มลง
อย่างไรเรียกผู้กล้าจากสวรรค์
ก็อย่างนี้อย่างไรเล่า!
โดดเด่นเกินใครในโลกา พรสวรรค์น่าตื่นตาต่างจากทั่วไป!
เวลานี้ในใจผู้มีอำนาจในที่นั้นล้วนอดบังเกิดความคิดหนึ่งไม่ได้ว่า เด็กหนุ่มที่ราวปีศาจเช่นนี้หากให้เวลาเขาได้ก้าวหน้ามากพอ ภายหลังจะเปล่งประกายน่าตื่นตะลึงเช่นใดกัน
มีเพียงหลัวเฟิงที่สีหน้าอึมครึม ถ้อยคำยามหลินสวินเพิ่งปรากฏตัวนั้นเห็นได้ชัดว่าไม่เกรงใจอยู่บ้าง
“เหอะๆ ที่ข้าพูดก็เป็นเรื่องจริง ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นนักสลักวิญญาณคนใด ยามหลอมชุดศึกสลักวิญญาณก็ไม่อาจรับรองว่าจะประสบความสำเร็จได้ สหายน้อย เจ้าโดดเด่นน่าตื่นตา พาให้ข้าเกิดความคิดเสียดายผู้มีความสามารถ แต่อย่างไรก็ยังอ่อนวัยนัก การไม่รู้ชัดเรื่องหลอมชุดศึกสลักวิญญาณก็พอจะเข้าใจได้”
หลัวเฟิงเอ่ยพร้อมยิ้มบางๆ วาจาราบเรียบ ท่าทางสมเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณ เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าถ้อยคำท่อนหลังมีน้ำเสียงกระทบกระเทียบหลินสวิน
นัยแฝงในคำพูดก็คือ เจ้าโดดเด่นสะดุดตาก็จริง แต่ยังอ่อนวัยเกินไป สิ่งที่ต้องเรียนรู้ยังมีอีกมากนัก!
หลินสวินบนยกพื้นยิ้มสดใส เผยให้เห็นฟันขาวสะอาดราวหิมะ “ข้าจำได้ว่าท่านเพิ่งพูดว่า เหล่าโม่ไม่มีคุณสมบัติมากพอให้ท่านแจกแจงอะไรได้ เช่นนั้นตอนนี้ข้าก็อยากพูดว่า แม้ข้ายังเด็ก แต่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้แล้ว คิดจะชี้แนะข้าหรือ ท่านคิดว่ามีคุณสมบัติไหม”
กลุ่มคนบนที่นั่งผู้ชมอดแสดงสีหน้าเหยเกไม่ได้ ไม่คิดว่าทันทีที่หลินสวินปรากฏตัว กลับพูดจาท้าทายหลัวเฟิงเสียก่อนแล้ว
หลัวเฟิงเป็นใคร
คนผู้นี้เป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่ประสบความสำเร็จยิ่งผู้หนึ่งของสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ ได้รับความเคารพยกย่องจากนักสลักวิญญาณในใต้หล้า สถานะสูงส่งเกินธรรมดา
หลินสวินกลับไม่เกรงใจไปขัดแย้งกับเขาเช่นนี้ ย่อมทำให้ผู้อื่นประหลาดใจ
แต่เมื่อคิดดู ทุกคนก็เข้าใจ ในนครต้องห้ามตอนนี้ ใครไม่รู้บ้างว่าหลินสวินเป็นคนหนุ่มผู้หนึ่งที่เหิมเกริมไม่หวั่นเกรงใคร ไม่รู้จักว่าความหวาดกลัวคืออะไร
ขนาดกลุ่มคนระดับตระกูลฉือ ตระกูลจั่ว ตระกูลฉินและราชวงศ์แห่งจักรวรรดิยังไม่อยู่ในสายตา ย่อมไม่หวั่นเกรงหลัวเฟิงแน่แล้ว
หลัวเฟิงสีหน้าถมึงทึง ถูกคนรุ่นหลังเยาว์วัยผู้หนึ่งตั้งคำถามต่อหน้าประชาชี ทั้งวาจายังไม่น่าฟัง นี่ย่อมเป็นการท้าทายอำนาจและเกียรติภูมิของเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
“หลินสวิน คนหนุ่มชอบเอาชนะหยิ่งยโสเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ แต่หากคิดว่าหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งออกมาก็จะไม่สนขื่อแป จาบจ้วงใต้หล้า เช่นนั้นก็ถือว่าผิดมหันต์แล้ว!”
เขาเอ่ยเสียงขรึม ท่าทางเกรงขามน่ากลัว
“หลัวเฟิง เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร หลินสวินไปทำตัวไม่สนขื่อแปตั้งแต่เมื่อไร เจ้าอย่าปรักปรำมั่วสิ เรื่องนี้เดิมทีก็เป็นเจ้าใช้ความอาวุโสเข้าข่มก่อน อะไรกัน หลินสวินเพียงโต้กลับประโยคเดียว ก็ทำให้เจ้าอับอายจนเดือดดาลแล้วหรือ”
เหล่าโม่ผุดลุกขึ้น ตะคอกออกไปอย่างโกรธเคือง
เขารู้ดีว่าบางครั้งคำพูดก็สามารถทำลายคนคนหนึ่งได้ ฐานะของหลัวเฟิงในแวววงสลักวิญญาณของจักรวรรดิสูงส่งยิ่ง ทันทีที่คำพูดในวันนี้ของเขาแพร่งพรายออกไปย่อมต้องก่อให้เกิดข่าวลือโคมลอย ทำให้นักสลักวิญญาณที่ไม่รู้เรื่องจริงไม่พอใจหลินสวินได้
เช่นนั้นแล้วย่อมกระทบกระเทือนชื่อเสียงของหลินสวินอย่างรุนแรงแน่
“เหล่าโม่ ดูฐานะเจ้าด้วย ตอนนี้เจ้ายังดำรงตำแหน่งในสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ เบื้องล่างหมิ่นเบื้องสูงเช่นนี้ คิดว่าข้าไม่กล้าลงโทษเจ้าหรือ”
หลัวเฟิงส่งเสียงหึหยัน สีหน้ายิ่งน่าเกรงขาม
เขาหัวเสียแล้ว ผู้ที่อยู่ที่นี่วันนี้ล้วนเป็นคนใหญ่คนโตที่มีชื่อไปทั่ว แต่เขากลับถูกหลินสวินและเหล่าโม่ท้าทายอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ ทำให้ระงับสีหน้าไว้ไม่อยู่
“ขู่ข้าหรือ”
เหล่าโม่สีหน้าอึมครึม
เวลานี้หลินสวินพลันยิ้มเอ่ยว่า “ถ้าไม่เตือนข้าก็เกือบลืมไปแล้ว แต่ว่าตอนนี้ยังทัน ตอนนี้ ข้าขอเชิญเหล่าโม่เข้าสู่ภูเขาชำระจิตตระกูลหลินของข้าอย่างเป็นทางการ!”
สีหน้าหลินสวินหนักแน่นจริงจัง
นี่เป็นสิ่งที่เขาต้องการทำนานแล้ว ตอนนี้ในเมื่อหลัวเฟิงกล้าบีบเหล่าโม่ เช่นนั้นเขาย่อมไม่เกรงใจแล้ว
เมื่อเอ่ยออกไป ทั้งที่นั้นก็ฮือฮา เป็นเพียงงานแถลงเท่านั้น ตอนนี้กลับผูกบุญคุณความแค้นที่ข้องเกี่ยวกับเหล่าโม่ครั้งหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่อาจคาดคิดได้
เวลานี้เหล่าโม่ตื่นเต้นจนมุมปากกระตุก เขารับรู้ได้ว่าสาเหตุที่พอหลินสวินปรากฏตัวก็พุ่งเป้าต่อกรกับหลัวเฟิงนั้น เห็นได้ชัดว่าเพื่อช่วยเหลือตน!
“น่าขัน! เจ้าหนุ่ม เจ้าเหิมเกริมเกินไปแล้ว นักสลักวิญญาณของสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ เจ้าคิดจะพาไปก็พาไปได้ที่ไหน”
หลัวเฟิงหัวเราะเสียงดัง “ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมเรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่ได้อย่างเหล่าโม่ มีคุณูปการใหญ่ยิ่งต่อจักรวรรดิ ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมให้เขาออกไป”
วาจาเด็ดขาด ไม่ให้โอกาสหลินสวินเลย!
ทุกคนล้วนลอบพยักหน้า สำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ นั่นเป็นสถานที่สำคัญยิ่งของจักรวรรดิ ถูกราชวงศ์และกองทัพควบคุมโดยตรง
หลินสวินคิดจะดึงเหล่าโม่ไปย่อมเป็นเรื่องยากยิ่ง
กลับเห็นว่าหลินสวินสีหน้าเย็นชา กล่าวว่า “ท่านพูดผิดแล้ว เรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่เป็นสิ่งที่ข้ากับเหล่าโม่คิดค้นขึ้นมาด้วยกัน และในตอนนั้นเหล่าโม่ก็ถูกพวกท่านบีบบังคับจับไป ไม่ได้รับใช้พวกท่านอย่างสมัครใจ หากไม่ใช่ว่าเวลานั้นเหล่าโม่ปกป้องข้าอย่างสุดความสามารถ เกรงว่าข้าก็คงถูกพวกท่านจับไปด้วยนานแล้ว! จนกระทั่งวันนี้ข้าไม่ได้คิดบัญชีกับพวกท่านก็ถือว่าปรานีมากแล้ว!”
เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกไป ทั้งที่นั้นล้วนตื่นตระหนก!
ต่างคิดไม่ถึงว่า ที่แท้เรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่ที่ลือชื่อในจักรวรรดิขณะนี้จะเป็นผลงานของหลินสวินด้วย!
ที่น่าตกใจกว่านั้นคือ ตอนนั้นสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิถึงกับเคยลงมือกับเหล่าโม่และหลินสวิน… หากนี่เป็นเรื่องจริงก็น่าตระหนกเกินไปแล้ว
ชั่วครู่เดียวทั้งงานก็เงียบสนิท เหล่าคนใหญ่คนโตมีสีหน้าแปลกแตกต่างกัน
“โกหกทั้งเพ!”
หลัวเฟิงโกรธจนตะโกนเสียงดัง โมโหเดือดดาล
“จะจริงหรือหลอกกันแน่ ในใจท่านรู้ดีที่สุด ข้าก็คร้านจะโต้เถียงกับท่าน รอภายภาคหน้าข้าย่อมหาวิธีพูดถามหาความเป็นธรรม!”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย ในดวงตาดำมีแววเยียบเย็นไหลเคลื่อน เรื่องนี้อัดอั้นอยู่ในใจเขามานานปี แต่ตอนนี้ในเมื่อถอดหน้ากากออกแล้ว เขาย่อมไม่เกรงใจอีก
เพื่อตอบแทนบุญคุณที่เหล่าโม่ปกป้องตนในตอนนั้น หลินสวินต้องทำเช่นนี้
“นี่เจ้ากำลังท้าทายสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิหรือ”
หลัวเฟิงสีหน้าเหี้ยมเกรียม ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น
“สำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิรับใช้จักรวรรดิ ไม่ใช่อาณาเขตของท่านหลัวเฟิงเพียงผู้เดียว ท่านก็ไม่มีคุณสมบัติเป็นตัวแทนสำนักเสียหน่อย”
หลินสวินสีหน้ายิ่งสงบนิ่ง “ข้าทำเช่นนี้เพียงต้องการจับผู้ร้ายที่ซ่อนอยู่ในความมืด คืนความยุติธรรมให้เหล่าโม่!”
“น่าขัน น่าขันเสียจริง”
หลัวเฟิงลุกขึ้นยืนอย่างเดือดดาล “เด็กรุ่นหลังอย่างเจ้าพูดจาเลอะเทอะ คิดว่าจะพาเหล่าโม่ไปจากสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิเช่นนี้ได้จริงหรือ”
เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์แปรเปลี่ยนเป็นตึงเครียดแทบจะควบคุมไม่ได้อยู่รอมร่อ
“พี่หลัว สงบคำลงหน่อยเถอะ เรื่องในตอนนั้นเกี่ยวข้องแค่กับท่าน เหล่าโม่และข้า อย่าให้อับอายผู้อื่นเลย”
ทันใดนั้นฮูหยินเป่าหวาก็ทอดถอนใจเบาๆ ใบหน้างามสง่าเรียบง่ายฉายแววขุ่นข้อง
ทุกคนยิ่งตื่นตระหนก เวลานี้ถึงเพิ่งรับรู้ว่า ที่แท้เบื้องหลังของการปะทะกันครั้งนี้ยังมีความลับที่ปิดไว้ไม่ให้ผู้อื่นได้รับรู้
“ถูกต้อง เรื่องนี้เป็นเพราะพวกเราสามคนเท่านั้น หลินสวิน เจ้าก็อย่ายื่นมือเข้ามายุ่งเลย ให้ข้าสะสางเอง ข้าเหล่าโม่อ่อนแอมาครึ่งชีวิต หากไม่ตัดบุญคุณความแค้นครั้งนี้ด้วยตัวเองก็คงตายตาไม่หลับ!”
เหล่าโม่กัดฟันพูดออกมาอย่างไม่ลังเล สายตาที่มองไปยังหลินสวินมีทั้งความซาบซึ้งและอ้อนวอน ทำให้หลินสวินอดสะท้านใจไม่ได้
เขาอึ้งไปจนในที่สุดก็ถอนใจเบาๆ แล้วไม่พูดอะไรอีก
หลัวเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปอยู่นาน ส่งเสียงหึออกมาอย่างเย็นชาแล้วสะบัดแขนเสื้อจากไป
ทุกคนมองหน้ากันเลิกลั่ก เป็นถึงปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่ประสบความสำเร็จยิ่งผู้หนึ่งของสำนักเซียนช่างฝีมือแห่งจักรวรรดิ วันนี้กลับถูกทำให้โมโหจนเตลิดไป ใครก็คิดไม่ถึงจริงๆ
ระหว่างเขา เหล่าโม่ และฮูหยินเป่าหวามีความแค้นอย่างไรกันแน่
ไม่มีใครรู้
ขนาดหลินสวินยังรู้เพียงครึ่ง
แต่ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เพราะหลินสวินแทรกแซงในวันนี้ทำให้ความแค้นของพวกเขาถูกยกขึ้นมาใหม่ น่ากลัวว่าใช้เวลาไม่นานก็จะจบลงได้แล้ว
‘เหล่าโม่ ไม่ว่าอย่างไร ขอเพียงเจ้าต้องการความช่วยเหลือ ข้าจะยืนอยู่ข้างเจ้าตลอดไป ข้าล่ะอยากเห็นว่าหลัวเฟิงจะกล้าทำเช่นไร!’
หลินสวินสื่อจิตให้เหล่าโม่ ทำให้ฝ่ายหลังมีสีหน้าอ่านยากขึ้นมา ทั้งซาบซึ้งทั้งทอดถอนใจ
ละครคั่นฉากเล็กๆ นี้จบลงอย่างรวดเร็ว
แม้บรรยากาศในเวลานี้ไม่ครึกครื้นเท่าก่อนหน้านี้ แต่เมื่อหลินสวินประกาศขึ้นเองว่าหากใครสามารถหาวิธีแก้มารพบเคราะห์ได้ ก็จะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณชุดหนึ่งให้คนผู้นั้นด้วยตัวเอง บรรยากาศก็ครึกโครมขึ้นในทันใด
แท้จริงแล้วข่าวนี้หลายคนที่อยู่ในที่นั้นล้วนเคยได้ยินมาแล้ว เพียงแต่ยามนี้เมื่อได้รับการยืนยันจากปากของหลินสวินเอง ถึงทำให้พวกเขามั่นใจว่าหลินสวินไม่ได้พูดเล่น!
มารพบเคราะห์!
นี่เป็นยาพิษที่หายากยิ่งชนิดหนึ่ง พิษสงลึกลับถึงตาย ลือว่าแพร่มาจากเผ่ามืด เมื่อร่างกายถูกพิษนี้ พลังปราณก็จะถูกกักขังเหมือนถูกทำให้พิการ ทั้งต้องรับความทุกข์ยากของการถูกมารในใจจู่โจมไปตลอด
ผู้มีอำนาจที่อยู่ในงานล้วนเริ่มไตร่ตรอง ลอบตั้งมั่นในใจว่าหลังจากงานแถลงครั้งนี้จบลง ก็จะเสาะหาวิธีแก้พิษมารพบเคราะห์อย่างสุดกำลัง!
“แน่นอนว่าตอนที่หลอมชุดศึกสลักวิญญาณ วัตถุดิบวิญญาณต้องเตรียมด้วยตัวเอง ข้ารับภาระเองไม่ไหว ช่วยไม่ได้ หลังจากหลอมอาสัญสลาย ตอนนี้ข้าขัดสนจริงๆ”
หลินสวินพูดพลางยักไหล่
เสียงหัวเราะชอบใจระลอกหนึ่งดังขึ้นในงาน
ไม่นานนักหลินสวินก็เดินลงไปจากยกพื้น ส่งมอบธุระให้หลีอันดำเนินการต่อ
“ทุกท่าน พวกเราอัครการค้าได้รับความเห็นชอบจากปรมาจารย์หลินสวินแล้ว และเพื่อมอบของสมนาคุณให้ทุกท่านในงาน ในฤกษ์งามยามดีนี้จะประมูลสิทธิพิเศษหนึ่ง!”
ทันทีที่หลีอันเอ่ยปากก็ดึงดูดความสนใจจากทั้งงานในทันใด
“สหายที่ประมูลได้สิทธิพิเศษนี้ จะได้รับโอกาสที่ปรมาจารย์หลินสวินแล้วจะหลอมชุดศึกสลักวิญญาณให้ด้วยตัวเองขอรับ!”
ทั้งงานฮือฮาขึ้นเต็มที่ ผู้มีอำนาจหลายคนจิตใจสั่นระรัว ‘วาสนา’ ที่พวกเขารอคอยอยู่ในใจมาโดยตลอด ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!
ใช่แล้ว สิทธิ์หลอมอาวุธวิญญาณของหลินสวิน สำหรับพวกเขาแล้วก็เหมือนวาสนาดีครั้งหนึ่ง
เพราะว่านี่เกี่ยวข้องกับชุดศึกสลักวิญญาณ!
……………………