Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 513 การประมูลที่ดุเดือดหาใดเปรียบ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 513 การประมูลที่ดุเดือดหาใดเปรียบ
“ทุกท่าน เพราะสิทธิ์นี้มีความเกี่ยวพันยิ่งใหญ่ จึงมีเรื่องที่ต้องกล่าวไว้ก่อน”
บนยกพื้น หลีอันสีหน้าเคร่งขรึม “ผู้ที่มีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับตระกูลฉือ ตระกูลจั่วและตระกูลฉินห้ามเข้าร่วมประมูล”
ทั้งงานพลันเงียบลงในทันใด ความหมายของข้อเรียกร้องนี้ก็ชัดเจนยิ่งแล้ว เป็นการแจ้งแก่ทุกคนในใต้หล้าว่าหลินสวินไม่มีทางให้ความช่วยเหลือด้านการหลอมอาวุธใดๆ แก่สามตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงนี้อย่างไม่ต้องสงสัย!
“เช่นเดียวกัน หลังจากการประมูลนี้จบลง หากถูกอัครการค้าของข้าค้นพบว่าสิทธิ์นี้ตกอยู่ในมือของผู้ที่ข้องแวะกับตระกูลฉือ ตระกูลจั่ว และตระกูลฉิน จะมีสิทธิ์เรียกคืนสิทธิ์นี้”
เมื่อหลีอันพูดออกไปเช่นนี้ ก็เป็นการแสดงท่าทีของอัครการค้าอย่างชัดเจนเช่นกัน ทำให้ผู้มีอำนาจในที่นั้นระส่ำระสาย
เห็นได้ชัดว่าอัครการค้าตัดสินใจหนุนหลังหลินสวินแล้ว และไม่เสียดายว่าจะผิดใจกับสามตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงนั้น!
นี่ทำให้หลายคนลอบทอดถอนใจ หลินสวินในตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว แนวโน้มความรุ่งเรืองของเขาเริ่มทำให้กลุ่มอำนาจใหญ่ระดับอัครการค้าแสดงท่าทีสนับสนุนอย่างเปิดเผยแล้ว นี่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่ง
ไม่นานนักการประมูลก็เริ่มขึ้น ราคาขั้นต่ำสามหมื่นเหรียญทอง ราคาพอๆ กับเรือรบวีรชนม่วงรุ่นใหม่หนึ่งลำ เรียกได้ว่าน่าตกใจ แต่เมื่อได้เห็นความพิเศษของอาสัญสลายแล้ว ทุกคนก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผล
“ห้าหมื่น!”
มีคนส่งเสียงขึ้น เสนอราคาครั้งแรกก็ขึ้นไปถึงห้าหมื่น ทำให้หลายคนสูดหายใจเย็นเยียบ
เหรียญทองจักรวรรดิมีมูลค่าสูงยิ่ง สำหรับขุมอำนาจใหญ่กลุ่มหนึ่งแล้ว ห้าหมื่นเหรียญทองก็เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยแล้ว
เพียงเพื่อประมูลสิทธิ์หลอมชุดศึกสลักวิญญาณสิทธิ์หนึ่งเท่านั้น ก็เกิดการประชันราคาที่บ้าคลั่งเช่นนี้แล้ว นี่ทำให้คนใหญ่คนโตที่กำลังจะเคลื่อนไหวอยู่เดิมล้วนลังเล
“หกหมื่น!”
ผู้ที่เสนอราคาคือราชันเลือดเหล็กหนิงปู้กุย นี่ทำให้ราชันแห่งทะเลตะวันออกเย่ฉิงเทียนที่อยู่ข้างๆ เขาพลันขมวดคิ้ว สื่อจิตพึมพำว่า ‘ตาแก่ เจ้าเข้าไปร่วมเฮโลกับเขาทำไม’
สีหน้าดุดันน่าเกรงขามของหนิงปู้กุยปรากฏแววเจ้าเล่ห์รางเลือน แต่ฉับพลันก็เปลี่ยนเป็นราบเรียบไร้อารมณ์ สื่อจิตกลับไปว่า ‘เจ้าแก่เย่ เจ้าจะเข้าใจอะไร นี่ข้ากำลังช่วยเจ้าหนูหลินสวินนั่นหาเหรียญทองเพิ่มอีกหน่อย ที่นี่มีคนกระเป๋าหนักไม่น้อย ไม่ถือโอกาสนี้บีบเอาเงินสักก้อน พลาดไปก็น่าเสียดายยิ่ง’
เย่ชิงเทียนหัวเราะ ‘เช่นนั้นข้าก็สร้างความครึกครื้นด้วยดีกว่า”
เพียงแต่ไม่ทันที่เขาจะเอ่ยปากเสนอราคา ในงานก็มีคนเสนอราคาสูงเทียมฟ้าแล้วว่า “หนึ่งแสนเหรียญทอง!”
ในที่นั้นเงียบลง คนใหญ่คนโตที่นั่งอยู่ล้วนสีหน้านิ่งขรึม นิ่วหน้าไม่หยุดหย่อน สำหรับพวกเขาหลายคนแล้ว หนึ่งแสนเหรียญทองไม่ถือเป็นตัวเลขที่เกินเลย แต่หากเพียงเพื่อประมูลสิทธิ์สิทธิ์เดียว ก็ดูน่าตกใจพอสมควร
อย่างไรเสียในโลกนี้ก็ไม่ได้มีเพียงหลินสวินผู้เดียวที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณได้
ทันใดนั้นก็มีผู้มีอำนาจส่วนหนึ่งถอนตัวจากการประมูล เพราะพวกเขาดูออกแล้วว่า คนใหญ่คนโตที่เสนอราคาหนึ่งแสนนั้นมาจากตระกูลเซี่ยที่เป็นหนึ่งในเจ็ดตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูง!
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า การประมูลต่อมาต้องเป็นเวทีที่สุดยอดผู้มีอำนาจในใต้หล้าประชันกัน ขุมอำนาจอื่นที่ด้อยกว่าไม่มีทางยื่นมือไปแทรกได้เลย
หนิงปู้กุยกับเย่ฉิงเทียนสบตากัน ทันใดนั้นก็พากันยิ้มแป้น เดิมทีพวกเขายังคิดจะเป็นหน้าม้า แต่เห็นได้ชัดว่าสถานการณ์แปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องใช้พวกเขาแล้ว
“หนึ่งแสนหนึ่งหมื่น”
“หนึ่งแสนสามหมื่น!”
“หนึ่งแสนห้าหมื่น!”
อย่างที่คิด การประมูลต่อมาผู้ที่เสนอราคาเป็นขุมอำนาจที่มีอำนาจเทียมฟ้าอย่างตระกูลเซี่ย ตระกูลฮวา ตระกูลซ่ง ขุมอำนาจขุนนางบรรดาศักดิ์ กรมทหาร ภาคีใหญ่นักสลักวิญญาณก็ล้วนเข้าร่วมอย่างที่ทุกคนคาดไว้
“สองแสน”
คนใหญ่คนโตจากตระกูลฮวาผู้นั้นหงุดหงิดแล้ว จึงเสนอราคาสูงเสียดฟ้าที่พาให้ทุกคนอ้าปากค้าง ทำให้รอบตัวพลันไร้เสียง ราคาเท่านี้น่าหวาดหวั่นอยู่บ้างจริงๆ
“สามแสน”
ทันใดนั้นเสียงรื่นหูเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น
ในที่นั้นอื้ออึงขึ้น เพื่อสิทธิ์เดียวเท่านั้น ตัวเลขนี้น่าตื่นตะลึงยิ่งแล้ว ซื้อได้กระทั่งเรือรบขนาดใหญ่ของจักรวรรดิลำหนึ่ง
แต่ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจที่สุดก็คือ ผู้ที่เสนอราคากลับเป็นฮูหยินเป่าหวาแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต!
แต่คิดดูก็เข้าใจได้ ฮูหยินเป่าหวามีฐานะเป็นปฐมาจารย์สลักวิญญาณที่มากประสบการณ์ผู้หนึ่ง สิ่งที่นางไม่ขาดที่สุดน่ากลัวว่าจะเป็นเงินทอง!
ก็เหมือนคำพูดนั้นที่ลือกันนานที่สุดในจักรวรรดิว่า สิ่งที่ลอดผ่านสิบนิ้วมือของนักสลักวิญญาณล้วนเป็นทรายสีทองที่ไหลมาอย่างไม่ขาดสาย
“หลังจากมีสถานะและพลังปราณถึงระดับหนึ่งแล้ว เงินทองตามความหมายของคนทั่วไปก็จะกลายเป็นของไม่มีราคา เงินทองมากมายสามารถแลกเปลี่ยนกับวิชาตกทอดของตระกูลวิชาหนึ่งหรือ ทั้งสามารถแลกโอกาสอายุยืนครั้งหนึ่งได้หรือ ไม่ได้หรอก!”
บางคนทอดถอนใจ ก่อให้เกิดเสียงเออออมากมาย
“ดังนั้นสิทธิ์นี้ ข้าต้องได้มา”
ฉับพลันเสียงหัวเราะดังก็ก้องกังวานขึ้น แล้วเสนอราคาประมูลออกมา “ห้าแสน!”
“เจิ้นไห่อ๋อง เจิ้นไห่อ๋องนี่!”
“ฮ่า คราวนี้มีละครฉากเด็ดให้ดูแล้ว ขนาดผู้มีอำนาจในราชวงศ์ก็นั่งไม่ติดแล้ว”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นในงาน
เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวเป็นบุคคลระดับตำนาน ต่อหน้าเขา ขนาดคนระดับหนิงปู้กุยหรือเทพเศรษฐียังต้องเกรงใจอยู่สามส่วน ไม่ใช่เพราะหวาดหวั่นเกรงกลัว แต่เป็นเพราะเคารพ
ฮูหยินเป่าหวาใคร่ครวญเล็กน้อย ในที่สุดก็ส่ายหน้าแล้วถอนตัวจากการประมูล ห้าแสนเหรียญทอง ตัวเลขนี้บ้าระห่ำไปแล้ว
ต่อให้ตระกูลนางจะร่ำรวยกว่านี้ก็ต้องชั่งใจไตร่ตรองว่าคุ้มค่าหรือไม่กันแน่
“หกแสน!”
ตัวแทนตระกูลฮวาผู้นั้นยังดึงดันกัดฟันเสนอตัวเลขที่ยิ่งน่าหวาดหวั่นออกมา เขาเทหน้าตักแล้ว ในหมู่ตระกูลทรงอิทธิพลชั้นสูงทั้งเจ็ด มีเพียงตระกูลฮวาของเขาที่ขาดแคลนชุดศึกสลักวิญญาณ พวกเขาไม่อยากพลาดโอกาสนี้ไป
ต่อให้ต้องประชันกับราชนิกูลอย่างเจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียว พวกเขาก็ถอยไม่ได้
“เจ็ดแสน”
เพียงแต่ที่ทำให้ตัวแทนตระกูลฮวาผู้นั้นหนักใจก็คือ เสนอราคากันถึงขั้นนี้แล้ว นอกจากเจิ้นไห่อ๋อง กลับยังมีคนแทรกเข้ามาอีก
ตระกูลเซี่ยนั่นเอง!
“ขออภัย คุณชายเก้าตระกูลข้ากำลังจะไปฝึกปราณที่ดินแดนรกร้างโบราณ จำต้องมีชุดศึกสลักวิญญาณติดมือ พวกข้าก็ตั้งใจว่าต้องได้สิทธิ์นี้”
ผู้มีอำนาจจากตระกูลเซี่ยผู้นั้นเอ่ยปากพลางยิ้มบางๆ
คุณชายเก้าตระกูลเซี่ย ย่อมเป็นดรุณจ้าวกระบี่เซี่ยอวี้ถัง!
“ฮ่าๆ ดูท่าทุกคนจะมีเป้าหมายเดียวกัน หลานข้าคนหนึ่งก็กำลังคิดจะไปดินแดนรกร้างโบราณอยู่พอดีเลย ข้าเป็นผู้อาวุโส ย่อมต้องมอบสมบัติคู่มือชิ้นหนึ่งให้เขา”
จ้าวจิ่วเซียวกล่าวพลางหัวเราะเสียงดัง ทั้งเสนอราคาประมูลแปดแสนออกมา
นี่ทำให้หลายคนไม่อาจนิ่งสงบได้ รับรู้ว่าการประมูลวันนี้เห็นได้ชัดว่าเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นดุเดือดนองเลือดเสียแล้ว รูปการณ์ที่บ้าระห่ำปานนี้ บุคคลสำคัญหลายคนก็เพิ่งพบเป็นครั้งแรก ช่างเป็นภาพที่น่าสะท้านใจยิ่งแล้ว
“เก้าแสน!”
ตัวแทนตระกูลฮวากัดฟันกรอด
“หนึ่งล้าน!”
ตัวแทนตระกูลเซี่ยแน่วแน่ไม่ลังเล
“หนึ่งล้านหนึ่งแสน!”
จ้าวจิ่วเซียวยิ่งไม่เกรงใจสักนิด
บ้าไปแล้ว!
เมื่อได้ยินตัวเลขที่พาให้ใจหายใจคว่ำออกมา ทำให้ผู้มีอำนาจทั้งงานล้วนอึ้งไปบ้าง พวกเขาเป็นเจ้าเป็นนายที่ไม่ขาดเงิน แต่สู้เอาเป็นเอาตายอย่างดุเดือดเช่นนี้เพื่อสิทธิ์เพียงสิทธิ์เดียว กลับไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน
ในที่สุดสิทธิ์นี้ถูกประมูลไปด้วยราคาสูงเสียดฟ้าที่หนึ่งล้านหกแสนเหรียญทอง เมื่อได้รู้ผล ทั้งงานก็ตกอยู่ในความเงียบเชียบ ขนาดหลีอันที่อยู่บนยกพื้นยังนิ่งเหม่ออยู่เช่นนั้น คืนสติกลับมาไม่ได้
……
วันนี้ข่าวที่สิทธิ์หลอมอาวุธชิ้นเดียวของหลินสวินถูกประมูลไปในราคาหนึ่งล้านหกแสน กลายเป็นข่าวพาดหัวที่ครึกโครมไปทั่วนครต้องห้ามอีกครั้งหนึ่ง
ไม่ว่าอยู่ที่ใดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่เกี่ยวกับอาสัญสลายก็มืดฟ้ามัวดิน ทุกคนกำลังถกเถียงกันว่าชุดศึกสลักวิญญาณที่รอดจากด่านเคราะห์อสนีมาได้มีพลังโดดเด่นขนาดไหน ถึงกับทำให้ผู้มีอำนาจต้องประมูลสิทธิ์หลอมอาวุธสิทธิ์หนึ่งมาให้ได้โดยไม่เสียดายค่าตอบแทน
พลานุภาพที่แท้จริงของอาสัญสลายนั้นเป็นความลับไม่ได้แสดงออกมา แต่เพียงผู้มีอำนาจที่เข้าร่วมงานแถลงต่างยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่านี่เป็นสมบัติล้ำค่าที่มีเพียงหนึ่งเดียว เมื่อเทียบกับชุดศึกสลักวิญญาณอื่นที่มีอยู่บนโลกย่อมเกินล้ำทุกสิ่ง
นี่ทำให้คนยิ่งสงสัย ยังไม่ต้องยกเรื่องอาสัญสลายมาพูด เพียงแค่เจิ้นไห่อ๋องจ้าวจิ่วเซียวใช้เงินสูงลิ่วถึงหนึ่งล้านหกแสนเหรียญทองชิงสิทธิ์มา จะคุ้มหรือไม่กันแน่
“คุ้ม!”
ว่ากันว่า นี่เป็นความเห็นต่อเรื่องนี้ของฮูหยินเป่าหวาแห่งสำนักศึกษามฤคมรกต เพียงคำง่ายๆ คำเดียว กลับมีพลังโน้มน้าวที่สะท้านใจคนได้
ส่วนหลินสวินอาศัยงานแถลงนี้ทำให้ชื่อเสียงโด่งดังไม่เป็นสองรองใครในคราเดียว กลายเป็นปฐมาจารย์เพียงผู้เดียวในรุ่นเยาว์ที่เป็นที่จับตามองของใต้หล้า!
ถูกต้อง ปรมาจารย์สลักวิญญาณที่สามารถหลอมชุดศึกสลักวิญญาณด้วยตัวคนเดียวได้ ไม่จำเป็นต้องผ่านการรับรองอะไรอีกก็ได้ตำแหน่ง ‘ปฐมาจารย์’ ไปครองอย่างเต็มภาคภูมิ!
ส่วนผลงานเด่นของเขาอย่าง ‘อาสัญสลาย’´ก็กลายเป็นสมบัติล้ำค่าที่น่าตื่นตาอีกชิ้นหนึ่งของจักรวรรดิ ทำให้นักสลักวิญญาณนับไม่ถ้วนคลั่งไคล้
…….
หลินสวินไม่รู้เรื่องเหล่านี้ชัดนัก ด้วยเมื่อการประมูลเพิ่งเริ่ม เขากับหลินจงก็ออกไปตามทางลับที่อัครการค้าจัดไว้ให้แล้ว
ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้เห็นงานประมูลอันดุเดือดหาใดเทียบนั้นด้วยตาตัวเอง และย่อมไม่รู้ว่าเพียงสิทธิ์เดียวก็ทำให้เขาได้เงินหนึ่งล้านหกแสนเหรียญทองในคราเดียว
หลินสวินเวลานี้นั่นอยู่บนเกี้ยวสมบัติ มุ่งหน้ากลับไปยังภูเขาชำระจิตพร้อมหลินจง
เขาไม่ได้กลับภูเขาชำระจิตมาพักหนึ่งแล้ว มีบางเรื่องที่ต้องหารือกับพวกพญาแร้งเสียหน่อย
“จูเหล่าซานไปฝึกปราณยังหอคอยกระบวนแปรจุติที่อยู่ลึกไปในพระราชวัง หากไม่ผิดพลาด น่าจะใช้เวลาไม่นานก็สามารถบรรลุขั้นได้… ในงานแถลงครั้งนี้ก็ประกาศข่าวเสาะหายาแก้พิษ ‘มารพบเคราะห์’ ด้วย เชื่อว่าเพียงได้ยาแก้พิษมา ก็จะช่วยพญาแร้งคลี่คลายความเจ็บปวดบนร่างกาย ได้รับพลังที่เคยมีมาอีกครั้ง…”
หลินสวินใคร่ครวญเรื่องราวระหว่างทาง นิ่วหน้าพึมพำไม่หยุดหย่อน
หลินจงมองกรอบหน้าหล่อเหลาคมสันของเด็กหนุ่มข้างกาย ในใจพลันบังเกิดความเห็นใจ นายน้อยเพิ่งอายุสิบหกปี คนนอกเพียงเห็นด้านที่เขายิ่งใหญ่ ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความยิ่งใหญ่นี้ เขาต้องแบกรับความกดดันและอันตรายไว้มากน้อยเพียงใด
โครม!
ทันใดนั้นคลื่นการต่อสู้ที่น่าหวาดหวั่นระลอกหนึ่งพุ่งเข้ามาแต่ไกล ทำให้หลินสวินที่ตกอยู่ในภวังค์ในเกี้ยวสมบัติกับหลินจงตื่นตัวขึ้น
“เกิดอะไรขึ้น” หลินจงถาม
“มีพวกตาไร้แววซุ่มอยู่ตรงนั้น แขกทั้งสองท่านไม่ต้องกังวลขอรับ พวกเราอัครการค้าได้ส่งกำลังพลมาเพียงพอ รับรองว่าจะส่งพวกท่านทั้งสองถึงภูเขาชำระจิตอย่างปลอดภัย”
ผู้ขับเกี้ยวสมบัติคือชายสูงวัยผมสีดอกเลาผู้หนึ่งที่มาจากอัครการค้า ถูกเทพเศรษฐีจัดมาเพื่อคุ้มครองและส่งหลินสวินกับหลินจง
‘ดูท่าเพื่อฆ่าข้า พวกเขาคงระงับโทสะไว้ไม่อยู่แล้ว’
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย สงบนิ่งราวกำลังครุ่นคิด
____