Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 524 ความแค้นในปีนั้นขาดสะบั้นในวันนี้ (สาม)
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 524 ความแค้นในปีนั้นขาดสะบั้นในวันนี้ (สาม)
เหยาชิงหัวเราะลั่นอีกครั้งพลางกล่าว “มันแน่อยู่แล้ว ใต้เท้าของข้าเคยพูดเอาไว้ ขอแค่เจ้ากล้าปรากฏตัวที่นี่เพียงลำพัง ก็พิสูจน์แล้วว่าชาวบ้านหมู่บ้านเฟยอวิ๋นมีความสำคัญต่อเจ้าอย่างยิ่ง มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่กล้าเสี่ยงอันตรายตัวคนเดียวเด็ดขาด”
เขาหยุดไปชั่วชณะก่อนจะกล่าวต่อ “ดังนั้นขอเพียงเจ้ายังสนใจชีวิตของชาวบ้านพวกนั้นอยู่ เจ้าก็ทำได้แค่ตามข้าไปอย่างว่าง่าย”
ในน้ำเสียงนั้นมีความย่ามใจเจืออยู่ นั่นเป็นความรู้สึกที่ถือไพ่เหนือกว่า ราวกับคำนวณไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วน
กล่าวเสร็จเหยาชิงพลันหมุนกายเดินเข้าไปในประตูข้างของเรือนใต้ดิน ตอนที่ปรากฏตัวอีกครั้ง ในมือของเขาหิ้วชายวัยกลางคนซึ่งหมดสติอยู่คนหนึ่ง
ชายวัยกลางคนผู้นี้ผิวคล้ำกรำแดด รูปร่างบึกบึน แกนกระดูกใหญ่ สวมชุดหนังสัตว์คร่ำคร่า มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นชาวบ้านที่มักทำงานตรากตรำกลางทุ่งนา มีร่องรอยถูกแดดเผาลมพัดตามร่างกาย
ท่านอาเถี่ยซาน!
ในที่สุดหลินสวนิก็ไม่อาจรักษาความเยือกเย็นได้อีกต่อไป หัวใจบีบแน่นรุนแรง ชายวัยกลางคนที่หมดสติผู้นี้คือเถี่ยซานจริงๆ
ครั้งแรกที่หลินสวินเข้าสู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋น ชาวบ้านคนแรกที่ได้เจอ ยังจำได้แม่นว่าเป็นเถี่ยซานที่นั่งทอดถอนใจใบหน้ากลัดกลุ้มอยู่ในนาข้าววิญญาณ
และยังจำได้ถึงอาการกระโดดโลดเต้น ยินดีมีความสุขของเขาหลังจากที่ตนช่วยกำจัดศัตรูพืชในนาข้าววิญญาณ
นี่คือชายวัยกลางคนที่ซื่อตรง กระตือรือร้นและเรียบง่ายคนหนึ่ง หากไม่ใช่การแนะนำของเขา คงยากที่หลินสวินจะเข้าสู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นได้ตั้งแต่แรก
ทว่าตอนนี้ เถี่ยซานกลับถูกคนคุมขัง หมดสติ เป็นตายไม่อาจรู้!
สัมผัสได้อย่างฉับไวถึงการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ของหลินสวิน ทำให้เหยาชิงอดส่งเสียงหัวเราะอย่างพึงพอใจออกมาไม่ได้ กล่าวเนิบนาบ “เจ้าดู นี่เป็นหนึ่งในชาวบ้านที่เจ้าเป็นห่วงมากที่สุด เชื่อว่าเจ้าน่าจะมั่นใจอย่างที่สุดแล้วว่าพวกเราไม่ได้หลอกลวงเจ้า ชาวบ้านคนอื่นๆ ตอนนี้ล้วนถูกจัดแจงอย่างดีให้อยู่ในจังหวัดชิงเฟิง ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นอกจากจะตามข้าไปแล้ว ข้าก็นึกไม่ออกว่าเจ้าจะยังมีทางเลือกอื่นอยู่อีก”
เวลานี้แม้แต่อวี๋ชางหลินที่อยู่ข้างๆ ยังมีสีหน้าตะลึง เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าแผนการและกลยุทธ์ของเหยาทั่วไห่จะละเอียดถี่ถ้วนเยี่ยงนี้ นี่มันแหฟ้าตาข่ายดินชัดๆ ทำให้หลินสวินไม่มีแม้แต่ช่องว่างให้ดิ้นรนขัดขืน!
จะเห็นได้ว่าเพื่อต่อกรกับหลินสวิน เขาเตรียมการและวางแผนไว้ไม่น้อย เล่ห์เหลี่ยมและฝีมือเช่นนี้ เห็นชัดว่าน่ากลัวเกินไปจริงๆ
หลินสวินนิ่งเงียบ นับตั้งแต่แวบแรกที่ได้เห็นเถี่ยซาน เขาก็รู้ทันทีว่าเรื่องย่ำแย่ที่สุดเกิดขึ้นจนได้
ไม่ได้ถึงขนาดเกินความคาดหมาย เพียงแต่…
ภายในใจกลับมีความเกลียดชังยากบรรยายอย่างหนึ่งกำลังก่อหวอดอยู่ ดั่งภูเขาไฟที่ใกล้ปะทุ แทบจะควบคุมไม่อยู่
ในส่วนลึกของนัยน์ตาดำขลับของเขา มีหุบเหวอันยากจะหยั่งถึงปรากฏขึ้น ประหนึ่งมีลมมรสุมสั่งสมอยู่ในนั้น เยียบเย็นจนผู้คนใจสะท้าน
พริบตานั้นอวี๋ชางหลินตัวแข็งทื่อ ในใจหนาวเยือกอย่างอธิบายไม่ได้ ทั่วสรรพางค์กายเริ่มสั่นเทิ้ม สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่ากลัวหาใดเปรียบจากร่างของหลินสวิน ทำให้เขารู้สึกประหนึ่งจวนเจียนสิ้นลม
นี่…
เหตุใดถึงได้แข็งแกร่งเยี่ยงนี้
หัวใจของอวี๋ชางหลินสั่นสะท้าน เมื่อสามปีก่อน ในสายตาเขาหลินสวินเทียบมูลฝอยยังไม่ได้ด้วยซ้ำ ปราชัยในการโจมตีเดียว ทว่าหลินสวินในปัจจุบัน เพียงแค่อึดใจเดียวเท่านั้นก็ทำให้เขารู้สึกตะลึงงันสั่นสะท้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน!
สวบ!
ตอนที่อวี๋ชางหลินยังงุนงงอยู่นั้น หลินสวินก็ขยับตัว ก้าวสวบออกไปดุจสายฟ้า คว้าลำคอเหยาชิงไว้ได้ในคราเดียว
จิตสังหารน่ากลัวราวกับคมดาบไร้เทียมทาน กรีดแทงจนสีหน้าเหยาชิงซีดเผือด รูม่านตาขยายกว้าง จิตหลุดวิญญาณกระเจิง
“เจ้า…เจ้ายังกล้ากระทำอุกอาจอีก เจ้าคงรู้ว่าหากสังหารข้าไป ชาวบ้านพวกนั้นก็ต้องจ่ายค่าชดเชยเป็นเลือดด้วยเหมือนกัน!” เหยาชิงแผดเสียง พยายามทำให้ตนเยือกเย็นลง
กร๊อบๆ…
หลินสวินไม่ไยดีเขา มือขวาบีบลำคอเขาแน่น มือซ้ายกลับเหมือนคีมเหล็ก บีบกระดูกไหล่และท่อนแขนของเขาแตกทีละชุ่น พลันเห็นเลือดเนื้อของเขาระเบิดกระจายออกมา กลายเป็นฝนโลหิตเข้มข้นไหลหลั่งลงมา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้ง
เหยาชิงส่งเสียงโหยหวน น่าอนาถหาใดเปรียบ ดิ้นรนอย่างบ้าคลั่ง ทว่ากลับไม่สามารถหลุดพ้นได้แม้แต่น้อย ยิ่งไม่สามารถทำให้หลินสวินหยุดการเคลื่อนไหวลงได้
ตั้งแต่ต้นจนจบ สีหน้าของหลินสวินล้วนไม่เปลี่ยนแปลง
วิธีที่เขาใช้ตอนนี้ มีชื่อเป็นที่รู้จักในค่ายกระหายเลือดว่า ‘น้ำตกแดงชาด’ นี่คือการทรมานรูปแบบหนึ่ง เป็นการใช้ฝีมือที่เชี่ยวชาญแม่นยำบดขยี้ร่างศัตรูทีละชุ่น ฝนโลหิตราวกับน้ำตกไหลริน เป็นภาพสีแดงชาดงดงาม
และในกระบวนการนี้ ต้องให้ผู้ถูกทรมานรู้สึกตัวตลอดเวลา ให้ตระหนักถึงความเจ็บปวดยามร่างกายถูกบดขยี้ทีละชุ่น ทำให้เกิดความสะท้านสะเทือนคาวเลือดทั้งทางตา หู และวิญญาณ
หากการทรมานยังไม่สิ้นสุด แต่ศัตรูชิงตายไปก่อน นั่นคือฝีมือยังไม่ดีพอ ไม่อาจเข้าถึงแก่นแท้ของ ‘น้ำตกแดงชาด’ พูดออกไปคงถูกครูฝึกของค่ายกระหายเหล่านั้นหัวเราะเยาะเอาได้
แน่นอน การทรมานรูปแบบนี้โดยปกติมักใช้กับพวกเผ่ามืด เพียงแต่ตอนนี้ถูกหลินสวินนำมาใช้กับเหยาชิงเท่านั้น
ความเชี่ยวชาญใน ‘น้ำตกแดงชาด’ ของหลินสวินย่อมเยี่ยมยอดไร้ใดเปรียบ
เขาในปีนั้นภายใต้การชี้แนะด้วยตัวเองของเสี่ยวเคอและเสี่ยวหม่าน ได้ฝืนทนกลิ่นคาวเลือดฉุนจมูก สังหารสัตว์ปีศาจไปไม่รู้ตั้งเท่าไรกว่าจะจับเคล็ดสำคัญของการทรมานรูปแบบนี้ได้อยู่หมัด
หากครูฝึกค่ายกระหายเลือดเหล่านั้นได้มาเห็นฉากนี้เข้า คงจะต้องร้องชื่นชมฝีมืออันน่าทึ่งของหลินสวินอย่างแน่นอน
นี่เป็นเหมือนงานศิลปะอย่างหนึ่งชัดๆ!
เพียงแต่เป็นงานศิลปะที่นองเลือดและโหดเหี้ยม บังเกิดอานุภาพที่พาให้คนใจสั่นสะท้านไหวเป็นพิเศษอย่างหนึ่ง คนทั่วไปได้เห็น กลัวแต่จะตกใจขวัญหนีดีฝ่อ สำรอกจนลมจับ
ใต้ดินอันกว้างใหญ่ว่างเปล่า เลือดเนื้อดั่งสายฝน ไหลหลั่งร่วงริน แดงชาดร้อนระอุ ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องชวนอนาถ เจ็บปวด และน่าสังเวชใจจนไม่คิดว่าจะมีอยู่บนโลกมนุษย์ได้
ภายใต้การควบคุมของหลินสวิน อย่าว่าแต่วางวายเลย แม้แต่หมดสติยังเป็นไปไม่ได้!
อวี๋ชางหลินที่อยู่ห่างออกไปอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลง ประดุจมองดูเพชฌฆาตจากอเวจี สำแดงคาวเลือดและความโหดเหี้ยมด้วยวิธีการแสนอำมหิตถึงขีดสุด
สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเผือด เหงื่อกาฬดุจสายฝน ทั่วร่างสั่นเทิ้ม เกิดความครั่นคร้ามที่ทิ่มแทงรุนแรงจนแทบอยากอาเจียน
ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสในระดับมหาสมุทรวิญญาณที่กรำแดดกรำฝนมานานคนหนึ่ง อวี๋ชางหลินก็นับว่ามากประสบการณ์ ทว่าตอนที่ได้เห็นฉากนองเลือดเช่นนี้กับตาตัวเอง เป็นครั้งแรกที่เขาตระหนักได้ว่า อะไรที่เรียกว่าตายดีกว่าอยู่!
สิ่งที่ทำให้เขาสั่นสะท้านมากที่สุดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบสีหน้าของหลินสวินเยือกเย็นยิ่งนัก เฉยเมยประหนึ่งเป็นคนนอกวง
และในเวลานี้อวี๋ชางหลินเพิ่งตระหนักถึงเรื่องหนึ่ง โดยไม่รู้ตัว เขาปลุกปลอบความคิดเข้าไปช่วยชีวิตเหยาชิงไม่ขึ้นเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว!
กระทั่งไม่กล้าประจัญหน้าสบสายตากับหลินสวินตรงๆ ด้วยซ้ำ…
……
ท้ายที่สุดเหยาชิงก็ไม่ได้ถูกฆ่าตาย เพียงแต่เขามีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการตายไปเลยสักนิด
สองแขนสองเท้าของเขาไม่มีอีกต่อไปแล้ว เหมือนกับ ‘ตะบองมนุษย์’ ที่ถูกตัดกิ่งก้านทิ้ง นอกจากเศษเสี้ยวสติที่เหลืออยู่แล้ว ก็ไม่ได้ต่างอะไรจากคนพิการเลย
และในตอนนี้หลินสวินจึงได้เอ่ยวาจา “ขออภัย จิตสังหารใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว ต้องการระบายออกเสียหน่อย”
นัยน์ตาสองข้างของเหยาชิงเหม่อลอย ริมฝีปากถูกกัดสะบั้นไปนานแล้ว สีหน้าซีดขาว เต็มไปด้วยกลิ่นอายหดหู่สิ้นหวังไร้ทางช่วย
“เจ้า…เจ้าจะต้องไม่ได้ตายดีแน่…” ริมฝีปากสั่นระรัว ลมหายใจของเหยาชิงรวยริน น้ำเสียงคล้ายกับเค้นออกมาจากทรวงอก อ่อนแอหาใดเปรียบ และเคียดแค้นเป็นอย่างยิ่งเช่นเดียวกัน
“อันที่จริงเจ้าเองก็เป็นคนน่าสงสารคนหนึ่ง ในเมื่อเหยาทั่วไห่ส่งเจ้ามา ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าเจ้าเป็นขี้เถ้าดินปืนเหมือนกับพวกตระกูลอู๋นั่นแหละ ไม่ว่าจะเป็นหรือตายล้วนไม่สำคัญเลย”
หลินสวินกล่าววาจาเนิบช้า “ต่อให้ข้าสังหารเจ้าเสียตอนนี้ เจ้าคิดว่าเหยาทั่วไห่จะฆ่าชาวบ้านทั้งหมดในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเพื่อเจ้าหรือ เป็นไปไม่ได้ เขาต้องการใช้ชาวบ้านเหล่านั้นมาข่มขู่ข้า ก่อนหน้าที่ยังไม่ได้พบข้า คงไม่กล้าทำเช่นนี้เป็นอันขาด”
ริมฝีปากเหยาชิงสั่นเทา คล้ายกับปั่นป่วนมาก สายตาที่จดจ้องหลินสวินเคียดแค้นหาใดเปรียบ มีท่าทีไม่เชื่อเลยสักนิด
“ไม่ยอมรับก็เอาเถิด บางครั้งความจริงก็โหดร้ายเช่นนี้แหละ ทำเป็นไม่รู้อะไรเลย บางทีตอนที่ตายไปในใจอาจจะรู้สึกดีขึ้นมาหน่อย”
น้ำเสียงของหลินสวินแผ่วเบาและสงบนิ่ง เหมือนพูดคุยกับสหายเก่าอย่างไรอย่างนั้น ทว่าสิ่งนี้กลับทำให้อวี๋ชางหลินซึ่งอยู่ห่างออกไปมองดูด้วยอาการหนังศีรษะชา มือไม้เย็นเยียบ ประดุจตกสู่หุบเหวน้ำแข็ง
ทั้งที่เด็กหนุ่มคนนั้นดูสุภาพอ่อนโยน ท่าทางไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งใดแท้ๆ ทว่าใครเลยจะจินตนาการได้ว่า ภายใต้หนังหุ้มของเขายังซ่อนปีศาจร้ายที่อำมหิตเลือดเย็นเอาไว้ตนหนึ่ง
“เจ้าก็ต้องตายเหมือนกัน ตายอย่างอนาถยิ่งกว่าข้าเ!” ก็ไม่รู้ว่าเหยาชิงไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน ใบหน้าซับสีเรื่อประหลาด แผดคำรามเสียงแหลม
เพียงแต่น้ำเสียงเพิ่งสิ้นสุด เขาก็คล้ายสูญเสียพลังชีวิต นอนแผ่อยู่ตรงนั้น สีหน้าปกคลุมด้วยสีเทาเขียวชั้นหนึ่ง
“งั้นหรือ”
หลินสวินหัวเราะ ปิดเปลือกตาของเหยาชิงอย่างแผ่วเบา กล่าวว่า “ขอโทษนะ เจ้ามันก็แค่ตัวประกอบที่วิ่งวุ่นตัวหนึ่งเท่านั้น เมื่อครู่ไม่ควรทรมานเจ้าจริงๆ นอนให้สบายเถิด เพื่อชาติหน้าจะได้ไม่ต้องเป็นขี้เถ้าดินปืนอีก…”
เหยาชิงเบิกตาแทบถลน ก่อนสิ้นลมในเฮือกสุดท้าย
และในเวลานี้ หลินสวินค่อยๆ หยัดตัวขึ้นมองไปทางอวี๋ชางหลินที่อยู่ห่างออกไป
แทบจะในเวลาเดียวกัน อวี๋ชางหลินสั่นเทิ้มไปทั้งกาย กล่าวด้วยสีหน้าปั้นยาก “เจ้าไม่กังวลว่าหากเหยาทั่วไห่โกรธขึ้นมาจริงๆ จะฆ่าชาวบ้านบางส่วนก่อนเป็นการข่มขวัญเจ้าหรือ”
หลินสวินย้อนถาม “เจ้าคิดว่าหากครั้งนี้ข้าไปจังหวัดชิงเฟิง เหยาทั่วไห่จะปล่อยให้ข้ารอดชีวิตหรือ”
อวี๋ชางหลินนิ่งเงียบทันควัน
หลินสวินเอ่ยต่อไป “เช่นนั้นข้าจะถามเจ้าอีก หากข้าตายไป เหยาทั่วไห่จะยอมปล่อยชาวบ้านเหล่านั้นหรือไม่”
อวี๋ชางหลินนิ่งเงียบอีกระลอก ข้อนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ถึงตอนนั้นเพื่อปกปิดความลับที่ฆ่าหลินสวินตาย เหยาทั่วไห่ย่อมไม่มีทางปล่อยให้ชาวบ้านพวกนั้นมีโอกาสรอดชีวิตอีกแน่นอน!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้ากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์”
หลินสวินมีท่าทีเยือกเย็น มองไม่เห็นถึงความแปรปรวนทางอารมณ์เลยสักเสี้ยว แต่ยิ่งเขาเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้อวี๋ชางหลินรู้สึกว่าน่ากลัวมากขึ้นเท่านั้น
“เจ้า…คิดจะจัดการกับข้าอย่างไร” น้ำเสียงอวี๋ชางหลินแผ่วเบาคลุมเครือ เขารู้ดี ชั่วขณะนี้เขาจำต้องเผชิญหน้ากับปัญหาข้อนี้
“โทษตายเลี่ยงได้ แต่โทษเป็นยากหนีพ้น”
หลังจากนั้นไม่นานหลินสวินก็โน้มกายลง แบกเถี่ยซานที่หมดสติอยู่ขึ้นมา จากนั้นจึงหมุนกายออกจากทางใต้ดินแห่งนี้
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยแยแสอวี๋ชางหลินที่ถูกทอดทิ้งเลยสักแวบเดียว เขาแก่แล้ว แม้แต่ความกล้าจะต่อต้านยังมลายสิ้น ไม่อาจเรียกลมพายุอะไรได้อีก
…..
เมืองตงหลินยังคงคึกคักจอแจ รถราวิ่งขวักไขว่
ไม่มีใครรู้ว่าบุคคลสำคัญทั้งหมดของตระกูลอู๋ล้วนสิ้นชีพ และไม่มีใครรู้ว่าอวี๋ชางหลินเจ้าสำนักสำนักศึกษาตงหลินซึ่งเป็นที่รู้จักไปทั่วเมือง วันนี้ได้กลายเป็นคนไร้ประโยชน์ไปเสียแล้ว
นอกเมืองตงหลิน
รถรับส่งสลักวิญญาณที่มุ่งหน้าสู่จังหวัดชิงเฟิงขบวนแรกสุดได้ออกเดินทางแล้ว
แต่ว่า กลับมียานสำเภาเก่าคร่ำเรียบง่ายลำหนึ่งจอดรออยู่ตรงนั้นตลอด ตอนที่หลินสวินแบกเถี่ยซานมาถึง ยานสำเภาก็บรรทุกทั้งสองคนแล้วทะยานสู่อากาศทันที
ยานสำเภาดูคล้ายเก่าคร่ำเรียบง่าย แต่ในเวลานี้กลับหายลับไปที่ขอบฟ้าอย่างกะทันหันด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ!
____